xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

พยัคฆ์ตัดพยัคฆ์ ภาค 2 ตอน...ศึกชุดลายพราง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.ธีรชัย นาควานิช
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -“เรื่องการเสนอข้อมูลที่ออกไปในทางกองทัพมีความขัดแย้งกันนั้น มีความพยายามจากบางส่วนที่จะนำเสนอข่าวในเรื่องนี้ ถ้าเกิดมีความขัดแย้งให้เกิดความแตกแยกในกองทัพ นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันว่า ขณะนี้สถานการณ์ในกองทัพเป็นปกติ กำลังพลทุกนายตั้งแต่ระดับผู้บังคับบัญชา จนกระทั่งถึงกำลังพลคนสุดท้ายนั้น มีความรักความสามัคคีต่อกันดี การบริหารราชการภายในก็คงเป็นไปตามบทบาทภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายของแต่ละท่าน แม้ว่าบางท่านอาจจะมีแนวความคิดที่แตกต่างกันไปบ้าง แต่สิ่งสำคัญคือการเคารพต่อการตัดสินใจ การให้เกียรติซึ่งกันและกันตามหน้าที่ภาระของแต่ละคน ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีคาดหมายว่าจะได้รับความร่วมมือจากสื่อมวลชนที่จะยุติการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่จะออกไปในทางความขัดแย้งอย่างที่ผ่านมา เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่เป็นข้อเท็จจริงและไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลย”

นั่นคือสิ่งที่ เสธ.ไก่อู-พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำคัญนายกรัฐมนตรี อ่านสารฉบับที่ 2 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และนายกรัฐมนตรี ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2558 เกี่ยวกับเรื่องความขัดแย้งในกองทัพบก

แน่นอน คู่ขัดแย้งที่สร้างความสะท้านสะเทือนกองทัพบก รัฐบาลและ คสช.จะเป็นใครเสียมิได้นอกจาก ความขัดแย้งระหว่าง 2 บูรพาพยัคฆ์คือ บิ๊กโด่ง-พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและอดีตผู้บัญชาการทหารบกคนเก่า กับ บิ๊กหมู-พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน

เป็นความขัดแย้งที่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาและส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและคสช.ไม่น้อย ไม่เช่นนั้น พล.อ.ประยุทธ์คงไม่ให้สัมภาษณ์ย้ำ แล้ว ย้ำอีกว่าไม่มีอะไรในกอไผ่หลายครั้ง และถึงกับต้องลงทุนออกสารฉบับที่ 2 เพื่อสื่อสารกับสังคมว่า ยุติลงแล้ว พร้อมกับขอความร่วมมือสื่อมวลชนให้ยุติการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่จะออกไปในทางความขัดแย้ง ด้วยเหตุผลว่า ไม่เป็นข้อเท็จจริงและไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

แต่จะอย่างไรก็ตาม คำถามที่เกิดขึ้นคือเรื่องนี้เป็นเพียง “ความคิดที่แตกต่าง” กันออกไปตามที่ พล.อ.ประยุทธ์พยายามอธิบายแค่นั้นหรือ และเป็นคำถามที่เกิดขึ้นด้วยความเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกันตามภาระหน้าที่ของแต่ละคนเช่นกัน

ย้อนหลังกลับไปก่อนหน้านี้ ความขัดแย้งระเบิดออกมาให้กำลังพลในกองทัพบกและสาธารณชนได้เห็นชัดๆ ในวันที่ 5 ตุลาคม 2558 เมื่อ พล.อ.ธีรชัยมีคำสั่งให้รื้อกำแพงหรือฉากหลังพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 หน้า บก.ทบ. รวมทั้งมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่จากกรมการทหารช่าง นำแผ่นโลหะมาปิดทับบ่อน้ำพุบริเวณ ลานด้านหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์กองทัพบก และอนุญาตให้รถยนต์ของกำลังพล รวมถึงผู้ที่มาติดต่อราชการกองทัพบก ได้จอดรถบริเวณด้านหน้าอาคารได้อีกด้วย ซึ่งบ่อน้ำพุและลานจอดรถได้ทำการปรับปรุงใหม่ในสมัยที่ พล.อ.อุดมเดช เป็น ผบ.ทบ.

และตามต่อด้วยการลงนามคำสั่งแต่งตั้งนายทหารระดับพันเอกพิเศษ รองนายพลและผู้การกรมจำนวน 271 นาย พร้อมกับการเด้ง “ผู้การโจ้-พ.อ.คชาชาต บุญดี (ตท.27) ผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์(ผบ.ป.1 รอ.)ลูกน้องมือขวาของบิ๊กโด่ง ซึ่งบิ๊กโด่งมีคำสั่งแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่ง “รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11(รอง ผบ.มทบ.11) ก่อนเกษียณอายุราชการในเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบกเพียงแค่ 1 วัน เข้ากรุไปเป็น “ฝ่ายประจำเสนาธิการกองทัพภาคที่ 3”

ครั้งนั้น พี่ป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมต้องออกมารับบท “ท้าวมาลีวราช” สงบศึกษาของทั้งสองคน และกลายเป็นที่มาของวลีประวัติศาสตร์ว่า “หมูใจเย็นๆ”

ครั้งนั้น พี่ตู่-พล.อ.ประยุทธ์ก็ออกมารับประกันด้วยการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2558 ว่า “เป็นเรื่องคนละความคิด แต่ไม่ได้ทะเลาะกัน เป็นเพื่อนกันจะทะเลาะกันได้อย่างไร ผมอยู่ตรงนี้ ยังไงก็ทะเลาะกันไม่ได้อยู่แล้ว เว้นแต่สื่อไปเขียนให้ทะเลาะกัน มันจะแตกแยกกันตรงไหน”

ทว่า มหาธรณีพิบัติภัยหรือคลื่นลมสงบไปได้ชั่วครู่ชั่วยาม อาฟเตอร์ช็อกมรสุมลูกที่สองก็ติดตามมาให้เห็นอีกครั้งในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน

เที่ยวนี้เกิดกับกรณีของ “ชุดลายพราง”

เรียกว่าร้อนฉ่าถึงขนาด พล.อ.ประยุทธ์ต้องลงทุนให้เสธ.ไก่อูอ่านสารเพื่อยืนยันความรักกันเลยทีเดียว

พยัคฆ์ตัดพยัคฆ์ ภาค 2 ตอนศึกชุดลายพราง เกิดขึ้นเมื่อมีรายงานข่าวออกมาว่า บิ๊กหมู พล.อ.ธีรชัย มีคำสั่งให้เปลี่ยน “เครื่องแบบสนาม” ซึ่งจัดทำขึ้นในยุคที่บิ๊กโด่ง พล.อ.อุดมเดชดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารบก

กล่าวคือเมื่อวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมาหรือเพียงวันเดียวหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ออกมาสงบศึก พล.อ.ธีรชัยได้เป็นประธานการประชุมหน่วยขึ้นตรงระดับกองทัพภาคลงไปเพื่อหารือเกี่ยวกับเครื่องแบบสนามใหม่ที่กองทัพบกได้อนุมัติให้ใช้เครื่องแบบสนามเมื่อกลางปี 2558

หลังเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขรมไปทั่วกองทัพบก พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบกได้ชี้แจงว่า สาเหตุที่ต้องมีการประชุมดังกล่าวสืบเนื่องมาจากในห้วงที่ผ่านมา กองทัพบกได้รับข้อมูลและสียงสะท้อนจากหน่วยและกำลังพลหลังจากใช้งานเครื่องแบบสนามเพื่อพรางมาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้วพบว่ามีข้อจำกัด และเสนอว่า ควรมีการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งานยิ่งขึ้น เช่น วัสดุบางอย่างที่ใช้ประกอบเสื่อมสภาพได้ง่าย ข้อจำกัดของแขนเสื้อ กำลังพลที่มีรูปร่างอ้วนจะรู้สึกไม่สบายในการสวมใส่ รวมทั้งด้านราคา

ในการประชุมในครั้งนี้ ผู้บังคับหน่วยหลายท่านได้แสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง จนในที่สุดมีความเห็นร่วมกันว่า เครื่องแบบสนามที่กองทัพบก อนุมัติใช้เพื่อพลางไปก่อนหน้านี้นั้น มีข้อจำกัดหลายประการจริง ดังนั้นเพื่อให้เกิดความเหมาะสม และไม่เป็นภาระกำลังพลมากนัก จึงได้มีการพิจารณาปรับเปลี่ยนรูปแบบบางประการของเครื่องแบบสนามใหม่ โดยได้นำเอาเครื่องแบบสนามที่คณะทำงานของกองทัพบก ออกแบบไว้เมื่อปี 2557 แต่ยังไม่ได้ประกาศใช้ เนื่องจากเป็นช่วงสถานการณ์บ้านเมืองไม่ปกติ นำมาพิจารณาร่วมกับแบบใหม่ที่ได้อนุมัติใช้เมื่อปี 2558 จนได้ ข้อสรุปของชุดเครื่องแบบสนามล่าสุด คือใช้เครื่องแบบสนามที่ คณะทำงานของกองทัพบก เคยออกแบบไว้เมื่อปี 57 และให้มีการแก้ไขกระเป๋าเสื้อด้านล่างเป็นแบบเฉียงซ่อนใน ไม่มีซิป ส่วนเครื่องหมายเป็นแบบเย็บติดทั้งหมด สำหรับเครื่องแบบสนามที่ประกาศใช้เมื่อปี 58 นั้น ก็ยังสามารถนำมาใช้งานได้ต่อไป

“กองทัพบกยังไม่ได้มีการยกเลิกเครื่องแบบสนามที่มีการประกาศใช้เพื่อพราง เมื่อปี 2558 แต่เครื่องแบบสนามที่ได้มีการพิจารณาล่าสุด เมื่อวันที่ 9 ตุลาคมนั้น เป็นเครื่องแบบสนามอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ให้กำลังพลสามารถนำไปสวมใส่ได้ ตามความเหมาะสมของภารกิจ เช่นเดินทางไปต่างประเทศ ราชการสนาม ภารกิจกองกำลังชายแดน การปฏิบัติงานในหน่วยที่ตั้งปกติ เป็นต้น”

พ.อ.หญิงศิริจันทร์ อธิบายด้วยว่า กองทัพบกได้มีการปรับปรุง และพัฒนาเครื่องแบบสนามมาเป็นระยะๆ โดยเฉพาะในห้วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จากชุดลายพรางปกติ พัฒนามาเป็นชุดลายพรางดิจิตอล ซึ่งมีความกลมกลืนกับภูมิประเทศ และเป็นเครื่องแบบสนามที่มีอนุมัติใช้อยู่ในปัจจุบัน ต่อมาใน ปี 2557 ได้มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อพัฒนาเครื่องแบบสนาม เพื่อพิจารณากำหนดรูปแบบเครื่องแบบสนามให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น จนได้รูปแบบที่ชัดเจนแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ขออนุมัติใช้ เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองที่ไม่ปกติ จนเมื่อในปี 2558 ได้มีการพิจารณากำหนดรูปแบบขึ้นมาใหม่อีกแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นชุดที่กำลังพลจำนวนมากท้วงติง ซึ่งเครื่องแบบสนามชุดนี้ ได้มีการอนุมัติให้ใช้เพื่อพรางแล้ว แต่ยังไม่ได้อนุมัติเพื่อใช้อย่างเป็นทางการ ดังนั้น เพื่อให้ชุดเครื่องแบบสนามของกองทัพบกมีความเหมาะสมสำหรับใช้งานมากที่สุด และไม่เป็นภาระแก่กำลังพล จึงได้มีการเชิญหน่วยขึ้นตรง ซึ่งมีกำลังพลที่สัมผัสกับชุดเครื่องแบบสนามมากที่สุดมาร่วมประชุมพิจารณา จนสามารถกำหนดรูปแบบที่เหมาะสมตามที่กล่าว

“ผู้บังคับบัญชาระดับสูงได้ใช้ดุลยพินิจอย่างรอบคอบ ในทุกด้าน ภายใต้การรับฟังความคิดเห็น และคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับกำลังพล ในทุกนโยบายและทุกการเปลี่ยนแปลงของกองทัพบก จึงขอให้สื่อมวลชนได้เข้าใจในการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น และขออย่าได้นำไปเชื่อมโยงกับเรื่องใดๆ จนอาจทำให้สังคมเข้าใจผิด นอกจากนี้ในบางข่าวที่นำเสนอ เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล ที่อาจยังไม่มีข้อมูลข้อเท็จจริงเพียงพอและคาดการณ์ไปเอง ซึ่งสร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณะได้ จึงขอให้ได้ ตระหนักในการนำเสนอข่าวที่เป็นข้อเท็จจริงด้วย”พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าว

ทั้งนี้ ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะส่งสารออกมา มีรายงานข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้คุยสั้นๆ กับ พล.อ.อุดมเดชและพล.อ.ธีรชัยในขณะที่ทั้งคู่เดินทางมาร่วมประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) บนตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เกี่ยวกับภาพความขัดแย้งที่ออกมา โดยมี พล.อ.ประวิตรเข้าร่วมด้วย

โดยหลังจากประชุม สมช.เสร็จ พล.อ.ธีรชัยได้เดินลงมาส่ง พล.อ.ประวิตรขึ้นรถและคุยกับ พล.อ.อุดมเดชโชว์สื่อที่กำลังบันทึกภาพของ 2 บูรพาพยัคฆ์แต่ไกลๆ ก่อนที่จะสวัสดีและส่ง พล.อ.อุดมเดชที่รับไหว้ก่อนขึ้นรถกลับ

...ถึงตรงนี้ กล่าวโดยสรุป ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งหรือความคิดต่างอย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องการให้เป็นก็ตาม แต่เชื่อว่า ความขัดแย้งหรือความคิดต่างระหว่าง 2 เพื่อนบูรพาพยัคฆ์จะยังคงไม่ยุติลงง่ายๆ และจะยังเป็นมหากาพย์พยัคฆ์ตัดพยัคฆ์ที่จะดำเนินต่อไปอีกหลายภาค หลายตอน

เพียงแต่จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่เวลาใดเท่านั้น


พล.อ.อุดมเดชกับทหารในชุดลายพราง
กำลังโหลดความคิดเห็น