xs
xsm
sm
md
lg

มายาคติของภาษีบาป : เรื่องจริงที่ สสส. ไม่กล้าให้ทุนทำวิจัย

เผยแพร่:   โดย: ผศ.นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ

ผศ.นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ
กรรมการแพทยสภา


สสส. เป็นหนึ่งในองค์กร ส .ที่กำลังถูกตรวจสอบอย่างหนักหน่วงว่ามีการบกพร่องโดย “ทุจริต”หรือ “สุจริต”กันแน่? แน่นอนว่า สสส.และบรรดานักวิจัยและผู้รับทุนที่เป็นเสมือนศิษย์เก่า ตลอดจนบรรดาองค์กรที่ออกตัวว่าเป็นคนดีแสนดี แต่มองคนเห็นต่างเป็นศัตรู ย่อมต้องออกมาปฏิเสธเป็นพัลวัน คนทั่วไปอาจไม่รู้จัก สสส. ว่ามีไว้ทำอะไร อยู่ได้อย่างไร มีรายได้มาจากไหน และรายได้นั้นใช้จ่ายกันยังไง แต่หากเอ่ยถึงคำว่า “ภาษีบาป” หรือที่เรียกว่า “Sin Tax” นั้น หลายคนรู้จักในนามของ เงินภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าที่ไม่ดีต่อสุขภาพหรือทำร้ายสังคม เช่น บุหรี่ เหล้า Junk food เป็นต้น โดยถูกโฆษณาชวนเชื่อโดยกลุ่มคนที่หวังผลประโยชน์มหาศาลจากกองทุนนี้ว่าจะทำให้สินค้าหรือบริการเหล่านี้สาละวันเตี้ยลง จนล่มจมไปเอง!?!

ความเป็นจริงแล้วภาษีบาปนี้เป็นคำที่ตั้งชื่อผิดๆ และถูกเรียกกันต่อๆ มา แบบเต็มใจเพราะมีคนได้ประโยชน์จากความเข้าใจผิดนี้ ในอเมริกา ออสเตรเลีย และหลายประเทศที่พัฒนาแล้วล้วนแต่ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงจากนโยบายนี้ “The truth speaks itself” หรือ “ความจริงก็เห็นๆ กันอยู่” ว่า ไม่มีบริษัทเหล้า บุหรี่ junk food ใดๆ มีกิจการล่มจมเพราะนโยบายนี้เลย มีแต่โตเอาๆ เป็นบริษัทข้ามชาติที่มีอิทธิพลด้านการเงินอย่างมหาศาล ...เกิดอะไรขึ้นกับภาษีบาป...นักวิจัยพบว่าคำๆ นี้เป็นคำที่อาจมีเจตนาตั้งชื่อแบบ “บกพร่องโดยเจตนา” เพื่อที่นักการเมือง (ซึ่งคิดค้นนวัตกรรมการเงินได้ไม่แพ้นักการเงินมืออาชีพ) จะได้เงินนอกงบประมาณแบบมีรายได้แน่นอน (เพราะรู้อยู่แล้วว่าบริษัทจะไม่มีทางเจ๊ง) แถมยังตรวจสอบการใช้จ่ายได้ยากเพื่อสนองกิจกรรมในกลุ่มก๊วนได้ง่ายนั่นเอง ชื่อที่ถูกต้องของภาษีแบบนี้ นักวิชาการตัวจริงตลอดจนผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีของฝรั่งมังค่าเขาให้เรียกว่า “Excise tax” หรือ “ภาษีการขายจำเพาะที่เรียกเก็บจากสินค้าหรือบริการ”นั่นเอง เหตุเพราะ สินค้าเหล่านี้ที่ก่อให้เกิดภาระที่รัฐต้องเข้าไปดูแลต่อเนื่องเหตุเพราะสินค้านั้นก่อให้เกิดผลเสียตามมากับส่วนรวม

ตัวอย่างง่ายๆ คือ “หากรัฐเห็นว่าจำเป็นต้องคงให้มีการขายบุหรี่หรือเหล้า เพราะต้องการเงินภาษีมาใช้จ่าย แต่ขณะเดียวกันเนื่องจากสินค้านี้ทำให้รัฐต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคมากขึ้น จึงเรียกเก็บภาษีเฉพาะเพื่อ “เอาไปใช้รักษาโรค เอาไปสร้างโรงพยาบาล ยา เครื่องมือแพทย์” ทั้งนี้โดย ผู้ที่ต้องรับภาระคือ “เจ้าของสินค้าและบริการ” หาใช่ “ผู้ซื้อหรือผู้บริโภค” ไม่ หาไม่แล้วหากไปเก็บจากผู้บริโภคก็ต้องเรียกว่า “ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value added tax, VAT)นั่นเอง หรือหากจะพูดให้กระชับคือ “คุณจะขายได้มากเท่าไรก็ขายไป แต่คุณต้องเป็นผู้จ่ายค่ารักษาพยาบาลที่ตามมานั้น” แบบนี้ถึงจะเรียกว่าทำให้ล่มจม จนแทบอยากจะปิดกิจการไปเอง เพราะยิ่งยอดขายมากเท่าไรก็ยิ่งเข้าเนื้อมากเท่านั้น นี่คือเหตุผลว่าทำไม สสส. ที่ได้รับเงินบาปนับเป็นหลายหมื่นล้านบาท แต่จำนวนคนสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า กลับไม่ลดลงเลย หนำซ้ำข้อมูลสถิติยังบอกว่าผู้บริโภคหน้าใหม่ล้วนแต่อายุน้อยลงๆ ไม่เชื่อก็ลองให้ สสส. หรือ สื่อมวลชนน้ำดี (ถ้ายังมีเหลืออยู่เพราะกล้าปฏิเสธเงินบาปจาก สสส.) ลงไปเดินสำรวจตามผับ ตามบาร์ ตามอ่างแถวๆ รัชดา ดูก็ได้ (ฮา) หรืออย่างง่ายหน่อย ก็เดินไปถามหมอนวด หรือ นายสิบ นายดาบที่ต้องอดหลับอดนอนตั้งด่านใกล้ๆ ผับ ก็จะได้ตัวเลขที่ใกล้เคียงความจริงที่สุด แบบไม่ต้องรับทุนวิจัยหลายล้านจาก สสส. แล้วได้ข้อมูลที่ไม่สะท้อนข้อเท็จจริงที่เห็นตำตาทุกคืนๆ

Adam J. Hoffer นักวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย วิสคอนซิน และคณะได้ ตีพิมพ์ผลงานว่า ภาษีบาปที่แท้จริงแล้วเกิดขึ้นสมัยประธานาธิบดีรูสเวลต์ที่มองหารายได้เข้ารัฐแบบใหม่ๆ อันเนื่องมาจากรัฐถังแตกจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง (Great depression) จึงได้ออกนวัตกรรมการเงิน!?! ที่ win-win ทั้งรัฐและประชาชน โดยเล็งไปที่สินค้าซึ่งคนส่วนใหญ่รังเกียจและออกกฎหมายเรียกเก็บภาษีเพิ่ม ซึ่งก็คือ เหล้า บุหรี่ การพนันนั่นเอง และเพื่อให้ฟังดูดีจึงเลี่ยงบาลีไปใช้คำว่า “ภาษีบาป” และรู้ทั้งรู้ว่าสุดท้ายแล้วเงินที่จะได้นั้นหาได้มาจากบริษัทเหล่านี้ไม่ แต่เป็นพลเมืองของรัฐเองที่ต้องรับภาระไป แต่รัฐบาลในขณะนั้นก็หน้ามืดแล้ว ขอเพียงให้รัฐมีรายได้เข้ามา ใครจะจ่ายก็ไม่เป็นไร ขอเพียงอย่ามีใครออกมาเดินขบวนต่อต้าน (คิดได้ไง?? พลเมืองจ่ายภาษี แต่กลับออกมาสนับสนุน ส่วนบริษัทก็แกล้งร้องแรกแหกกระเชอพอเป็นพิธี แล้วก็ออเออไปกับรัฐอยู่ดี เพราะตัวเองไม่ได้จ่าย ... น่าจะให้ Nobel prize กับคนคิดนโยบายนี้)

น่าตกใจยิ่งไปกว่านี้คือหลายสิบปีที่มีภาษีบาป แต่พบว่าสินค้าเหล่านี้ยิ่งขยายตัว มีกำไรมากกว่างบประมาณประจำปีของประเทศไทยเสียอีก จึงมีคนทำวิจัยว่าเกิดอะไรขึ้นและในที่สุดก็พบ “ความจริงที่ซ่อนเร้น” (แต่ เสธ.น้ำเงิน อาจจะรู้อยู่แล้วก็เป็นได้) ว่าแทบทุกประเทศที่มีภาษีบาปล้วนล้มเหลวจากนโยบายนี้จนต้องแก้กฎหมายกันพัลวัน และเช่นเดียวกัน คือ กว่าจะแก้ได้ก็ต้องฝ่าด่านลิ่วล้อเฝ้าบ้าน งานวิจัยยังชี้ชัดว่าภาษีบาปเหล่านี้ไม่มีผลใดๆ เลยต่อการตัดสินใจควักเงินเพื่อซื้อสินค้า เพราะไม่ว่ายังไงก็จะซื้ออยู่ดี เพียงแต่จะซื้อด้วยวิธีไหนให้ได้ราคาต่ำสุด (ปลอมไม่ปลอม ไว้ว่ากันทีหลัง) ดังนั้นคนที่เดือดร้อนที่สุดจากนโยบายนี้คือ คนจน (แบบนี้จะน่าจะไปฟ้องศาลปกครองเพราะสองมาตรฐาน) เหตุเพราะหาทางหนีทีไล่ได้ยากกว่าคนที่ฐานะดีซึ่งมีทางเลือกมากมาย เช่น ฝากคนซื้อหรือหิ้วมาจากสนามบินแถวหนองงูเห่า เป็นต้น

งานวิจัยยังพบว่าหากต้องการลดจำนวนคนสูบบุหรี่ ต้องออกกฎหมายให้บังคับให้ลดปริมาณนิโคตินและ tar ซึ่งบริษัทบุหรี่รู้ดีจึงใจดีเพิ่มปริมาณให้ไปพร้อมๆ กับราคาที่บวกเพิ่ม เรียกได้ว่าสามสี่เด้ง เลยทีเดียว (เด้งแรกเพิ่มจำนวนคนติดบุหรี่ เด้งสองบริษัทไม่กระทบเพราผลักภาระไปที่คนสูบ เด้งสามรัฐยิ้มเพราะมีรายได้เข้ารัฐเพิ่มทั้งภาษีสรรพสามิต ภาษีการค้า สารพัดภาษี เด้งสี่คือคนที่รอแบมือขอเงินจาก สสส.เพราะเป็นยิ่งกว่า quick cash แถมไม่ต้องตรวจสอบเครดิตบูโร ขอเพียงให้ซื่อสัตย์กับนายทุน สสส. แบบนี้เรียกว่า win win win ทั้งบริษัท รัฐ และ สสส....แต่ผู้บริโภคไม่เกี่ยว...ฮา) หนำซ้ำคอสุราก็มีช่องทางหนีทีไล่ แทนที่จะซื้อเหล้าที่ผสมมาสำเร็จรูปแบบที่เรียกว่า pre-mix ก็เลี่ยงไปซื้อเหล้าแบบผสมเองหรือต้มเหล้าเถื่อนกินกันเองเพราะจ่ายถูกกว่า มิจฉาชีพก็มีช่องขายเหล้าปลอมราคาถูกง่ายขึ้น รัฐกลับไม่ได้ภาษีสักบาทแถมยังต้องตั้งงบประมาณรักษาพยาบาลฟรีสูงขึ้นทุกๆ ปีจนกระเป๋าฉีกไม่รู้จะหาจากไหน แต่บรรดาคนดีผูกขาดบอกว่าหาจากไหนไม่สน แต่ต้องฟรีและดีเลิศเท่านั้น ไม่งั้นจะก่อความเสียหายจนต้องไปฟ้องรีดไถเอากับแพทย์พยาบาล และหากไม่อยากให้ฟ้อง ก็ให้ตั้งกองทุนคุ้มครองผู้เสียหายขึ้นมาใหม่อีก (ฮากระจาย แต่บุคลากรชีช้ำ เพราะทำท่านักการเมืองจะถูกหลอกให้เซย์ เยส อีกแล้วครับท่าน)

หนำซ้ำเงินบาปก็อาจถูกคอรัปชั่นอย่างถูกกฎหมายโดย “บริษัท ส.สารพัด จำกัด มหาชน” เหตุเพราะ “ตีความไม่เหมือนกัน” (ตีแบบกว้างไกลหลายอสงไขย แบบที่ศรีธนญชัย ยังต้องเรียกพ่อ) อยากจะจ่ายก็บอกว่าเกี่ยวกับสุขภาพในมิติลี้ลับแล้วแต่จะสารพัดบรรยาย!!! มีงานวิจัยมากมายที่ บริษัท ส. เหล่านี้ ไม่เคยใส่ใจนำมาเปิดเผย เพราะพบว่า ภาษีบาปเหล่านี้ไม่ได้ลดจำนวนผู้บริโภคลงเลย เพราะเหตุเกิดจากพฤติกรรมส่วนตัว คนอยากดื่ม ทำไง ๆ ก็หาดื่มจนได้ (It’s time we learned from Sin Taxes’ Impressive: History of failure) ที่ตลกร้ายคือ การคำนวณด้วยโมเดลคณิตศาสตร์พบว่า คอเหล้าคอยาเหล่านี้มักอายุสั้นอยู่แล้ว ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพต่ำกว่าคนที่สุขภาพดีเสียอีก เพราะคนเหล่านี้อายุยืนกว่า ทำให้มีโรคประจำตัวอื่นๆ มากมายที่รัฐต้องเข้าไปดูแล ดังนั้นแทนที่รัฐจะนำเงินนี้ไปให้ บริษัท ส. ไล่แจกโฆษณา ทำป้ายบิลบอร์ด ซื้อลูกน้องไว้ล้อมรั้วบ้านกันคนโจมตี ซื้อสื่อทางอ้อม (ไม่รู้บทความนี้จะมีสื่อไหนยอมให้ลงหรือไม่ ??) ซื้อรายกายทีวี เกมส์โชว์ (นัยว่าเพื่อสุขภาพที่ดีเพราะหัวเราะกระจาย ตามนัยของ บริษัท ส.และเครือข่าย) ก็ควรเอาเงินก้อนนี้ทั้งหมดไปให้กรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมการแพทย์ โรงพยาบาลทั่วประเทศ เพื่อจัดซื้อหยูกยาดี ๆ เครื่องมือทันสมัย จ้างบุคลากรให้พอเพียง ซึ่งนอกจากจะได้รักษาคอเหล้าคอยาแล้ว ครุภัณฑ์การแพทย์เหล่านี้ยังมีอานิสงส์ตกทอดไปยังคนป่วยกลุ่มอื่นๆ แทนที่ต้องให้รพ.วิ่งไปหาพระสงฆ์องค์เจ้าเพื่อขอความเมตตาจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษนอกงบประมาณ วิธีนี้น่าจะตรงกับจุดประสงค์ของภาษีบาปมากกว่าเอาไปจัดตั้ง บริษัทมหาชน(แต่ไม่อนุญาตให้คนนอกวงเข้ามาเทรด) ดังกล่าว

หรืออย่างที่ ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ได้กล่าวว่าหากนโยบายนี้ได้ผลจริง ตัวเลขการจัดเก็บภาษีต้องลดลงเรื่อย ๆ แถมบริษัทต้องล้มละลายไปนานแล้ว ดังนั้นหาก คสช. ซึ่งเป็นรัฐาธิปัตย์ในขณะนี้อยากให้สุขภาพคนไทยดีขึ้น เงินรัฐสักบาทก็ไม่ต้องจ่าย แถมมีงบรักษาฟรีเพิ่มขึ้นทางอ้อม แทนที่จะไปจัดตั้งกองทุนสารพัดตามลมปากของคนดีผูกขาด เพียงแค่ออกกฎหมายบังคับให้บริษัทเหล่านี้ตั้งกองทุนรักษาพยาบาลคอเหล้าคอบุหรี่แบบ “จ่ายตามจริง” หรือใช้ศัพท์ทันสมัยหน่อยก็คือ “P4P, pay for performance” รับรองได้บริษัทเหล่านี้จะรีบออกแคมเปญรณรงค์ที่ได้ผลดีกว่าที่ สสส. ทำแน่ รับประกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น