ASTVผู้จัดการรายวัน-ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล เผย 3 ไตรมาสแรกยอดขายเพิ่ม 5% สูงขึ้นจากปีก่อนที่โตเพียง 1% มั่นใจ ครม.เศรษฐกิจชุดใหม่สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคเพิ่มกำลังซื้อ เผยโปรโมชั่น “ลด-แลก-แจก-แถม” ยังถือเป็นกลยุทธ์หลักกระตุ้นยอดขาย พร้อมเดินหน้าซื้อไลเซนส์แบรนด์ดังต่างประเทศ ล่าสุดฉลอง 70 ปีแบรนด์ “ELLE” หลังเป็นพันธมิตรธุรกิจมากว่า 25 ปี ทำรายได้กว่า 700 ล้านบาทจาก 3 กลุ่มสินค้าหลักคือกระเป๋า เสื้อผ้าสตรี และชุดชั้นใน
นายบุญเกียรติ โชควัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมากำลังซื้อของผู้บริโภคระดับกลางในประเทศยังคงชะลอตัวมาก จึงทำให้บริษัทฯ ต้องมีการปรับระบบการดำเนินงานภายในทุกขั้นตอนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านการตลาดซึ่งยังคงจำเป็นต้องใช้แนวทางในเรื่องลด แลก แจก แถม ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์หลักที่แทบทุกธุรกิจจำเป็นต้องนำมาใช้เพื่อเพิ่มยอดขาย
ในส่วนของบริษัทฯ จะเน้นเรื่องวิธีการในเชิงจิตวิทยาเป็นหลักเพื่อให้ได้มาซึ่งผลกำไรและไม่ขาดทุน โดยคาดว่าในปี 2558 เศรษฐกิจของประเทศจะเริ่มฟื้นตัวขึ้น อันเป็นผลมาจากประชาชนและผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรี รวมทั้งคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจชุดใหม่ภายใต้การนำของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีความหลากหลายในหลายมิติ
สำหรับภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วง 3 ไตรมาสแรกที่ผ่านมาของปี 2558 มีอัตราเติบโตสูงขึ้น 5% สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่เติบโตเพียง 1% โดยคาดว่าภายในปี 2558 จะมียอดขายเติบโตขึ้นประมาณ 3-5% จากรายได้ 1.3 หมื่นล้านบาทในปี 2557 คิดเป็นรายได้จากต่างประเทศ เช่น เมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา ประมาณ 700 ล้านบาท โดยคาดว่าภายใน 2 ปีสัดส่วนรายได้ต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 1 พันล้านบาท
นายบุญเกียรติ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีสินค้าภายใต้แบรนด์ต่างๆ ประมาณ 50 แบรนด์ แบ่งเป็นไลเซนส์ซี่สินค้าแบรนด์เนมจากต่างประเทศประมาณ 25 แบรนด์ ทั้งยังมีแผนเพิ่มแบรนด์ใหม่ๆ จากต่างประเทศพร้อมดำเนินกิจกรรมการตลาดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดคือการจัดงาน “เซเวนตี้ส์ เยียรส์ ออฟ สไตล์” (70 YEARS OF STYLE) งานแฟชั่นโชว์คอลเลกชั่นสุดพิเศษเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบ 70 ปีของแบรนด์ “ELLE” ระหว่างวันที่ 15–20 ตุลาคม 2558 ณ บริเวณ Main Hall 2 ชั้น 1 ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน
บริษัทฯ เป็นไลเซนส์ซีแบรนด์ “ELLE” เป็นเวลา 25 ปี จนปัจจุบันมีสินค้ากว่า 90 รายการ โดยสินค้าที่มียอดขายเติบโตดีที่สุด 3 กลุ่มแรกคือ กระเป๋า เสื้อผ้าสตรี และชุดชั้นใน ซึ่งถือว่ามีความชัดเจนในรูปแบบและคอนเซปต์ รวมถึงการฟิตติ้งที่ถูกปรับให้เหมาะสมกับสรีระคนไทย ตลอดจนนักท่องเที่ยวเอเชียที่เดินทางมายังประเทศไทย เช่น จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เป็นต้น จนทำให้ประเทศไทยถือเป็น “โชว์เคส” หรือจุดแสดงสินค้าต่างๆ ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีความตื่นตัวและเคลื่อนไหวตลอดเวลา
“ตลาดสินค้าแบรนด์ ELLE ในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดประมาณปีละ 8-10% แต่ก็มีบางปีที่การเติบโตน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้อันเนื่องมาจากปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศ โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีรายได้จากสินค้าแบรนด์ ELLE ประมาณ 700 ล้านบาทและคาดว่าจะเพิ่มเป็น 1 พันล้านบาทใน 2 ปี” นายบุญเกียรติ กล่าวในตอนท้าย
ด้าน นายเฟบริส พาร์คเคอร์วอง ประธานบริหารและซีอีโอ บริษัท ลาการ์แดร์ แอ็คทีพ เอ็นเตอร์ไพร์ส จำกัด ประเทศฝรั่งเศส เจ้าของธุรกิจไลเซนส์ภายใต้แบรนด์ “ELLE” เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีไลเซนส์ซี และพันธมิตรทางธุรกิจกว่า 150 รายจาก 80 ประเทศทั่วโลกในการผลิตและจำหน่ายสินค้าในกลุ่มสินค้าสตรี สินค้าผู้ชาย สินค้าเด็ก และสินค้าไลฟ์สไตล์ โดยแต่ละกลุ่มยังแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ได้แก่ เสื้อผ้า, กระเป๋า, รองเท้า, ชุดชั้นใน, ชุดว่ายน้ำ, นาฬิกา, แว่นตา, เครื่องเขียน, ของตกแต่งบ้าน แล เครื่องสำอาง โดยการผลิตและการรักษาภาพลักษณ์จะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลจากสำนักงานต่างๆ ทั่วโลก 8 แห่ง ได้แก่ ปารีส, นิวยอร์ก, โซล, เซี่ยงไฮ้, โตเกียว, ไทเป, ฮ่องกง และกรุงเทพฯ
“ELLE” มีรายได้ปีละประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นสินค้าสตรี 60% สินค้าผู้ชาย สินค้าเด็ก และสินค้าอื่นๆ 40% โดยตลาดหลักคือภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก คิดเป็นสัดส่วน 70% สหรัฐอเมริกา 15% ยุโรป อินเดีย และตะวันออกกลาง 15% โดยในอนาคตอันใกล้มีแผนขยายตลาดเพิ่มในประเทศออสเตรเลียและบราซิล ขณะที่ประเทศไทยถือเป็น 1 ใน 5 ตลาดสำคัญในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกซึ่งบริษัทฯ ยังคงมีความเชื่อมั่นทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง
นายเฟบริส กล่าวด้วยว่า บริษัทฯ มีโนยายสร้างยอดขายผ่านช่องทาง e-Commerce เพิ่มมากขึ้น หลังจากช่วง 3 ปีที่ผ่านมามียอดขายเติบโตขึ้นถึง 2 เท่า โดยในเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นซึ่งถือเป็นตลาดลำดับหนึ่งของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมียอดขายผ่านช่องทาง e-Commerce สูงประมาณ 6-7%
นายบุญเกียรติ โชควัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมากำลังซื้อของผู้บริโภคระดับกลางในประเทศยังคงชะลอตัวมาก จึงทำให้บริษัทฯ ต้องมีการปรับระบบการดำเนินงานภายในทุกขั้นตอนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านการตลาดซึ่งยังคงจำเป็นต้องใช้แนวทางในเรื่องลด แลก แจก แถม ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์หลักที่แทบทุกธุรกิจจำเป็นต้องนำมาใช้เพื่อเพิ่มยอดขาย
ในส่วนของบริษัทฯ จะเน้นเรื่องวิธีการในเชิงจิตวิทยาเป็นหลักเพื่อให้ได้มาซึ่งผลกำไรและไม่ขาดทุน โดยคาดว่าในปี 2558 เศรษฐกิจของประเทศจะเริ่มฟื้นตัวขึ้น อันเป็นผลมาจากประชาชนและผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรี รวมทั้งคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจชุดใหม่ภายใต้การนำของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีความหลากหลายในหลายมิติ
สำหรับภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วง 3 ไตรมาสแรกที่ผ่านมาของปี 2558 มีอัตราเติบโตสูงขึ้น 5% สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่เติบโตเพียง 1% โดยคาดว่าภายในปี 2558 จะมียอดขายเติบโตขึ้นประมาณ 3-5% จากรายได้ 1.3 หมื่นล้านบาทในปี 2557 คิดเป็นรายได้จากต่างประเทศ เช่น เมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา ประมาณ 700 ล้านบาท โดยคาดว่าภายใน 2 ปีสัดส่วนรายได้ต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 1 พันล้านบาท
นายบุญเกียรติ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีสินค้าภายใต้แบรนด์ต่างๆ ประมาณ 50 แบรนด์ แบ่งเป็นไลเซนส์ซี่สินค้าแบรนด์เนมจากต่างประเทศประมาณ 25 แบรนด์ ทั้งยังมีแผนเพิ่มแบรนด์ใหม่ๆ จากต่างประเทศพร้อมดำเนินกิจกรรมการตลาดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดคือการจัดงาน “เซเวนตี้ส์ เยียรส์ ออฟ สไตล์” (70 YEARS OF STYLE) งานแฟชั่นโชว์คอลเลกชั่นสุดพิเศษเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบ 70 ปีของแบรนด์ “ELLE” ระหว่างวันที่ 15–20 ตุลาคม 2558 ณ บริเวณ Main Hall 2 ชั้น 1 ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน
บริษัทฯ เป็นไลเซนส์ซีแบรนด์ “ELLE” เป็นเวลา 25 ปี จนปัจจุบันมีสินค้ากว่า 90 รายการ โดยสินค้าที่มียอดขายเติบโตดีที่สุด 3 กลุ่มแรกคือ กระเป๋า เสื้อผ้าสตรี และชุดชั้นใน ซึ่งถือว่ามีความชัดเจนในรูปแบบและคอนเซปต์ รวมถึงการฟิตติ้งที่ถูกปรับให้เหมาะสมกับสรีระคนไทย ตลอดจนนักท่องเที่ยวเอเชียที่เดินทางมายังประเทศไทย เช่น จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เป็นต้น จนทำให้ประเทศไทยถือเป็น “โชว์เคส” หรือจุดแสดงสินค้าต่างๆ ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีความตื่นตัวและเคลื่อนไหวตลอดเวลา
“ตลาดสินค้าแบรนด์ ELLE ในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดประมาณปีละ 8-10% แต่ก็มีบางปีที่การเติบโตน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้อันเนื่องมาจากปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศ โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีรายได้จากสินค้าแบรนด์ ELLE ประมาณ 700 ล้านบาทและคาดว่าจะเพิ่มเป็น 1 พันล้านบาทใน 2 ปี” นายบุญเกียรติ กล่าวในตอนท้าย
ด้าน นายเฟบริส พาร์คเคอร์วอง ประธานบริหารและซีอีโอ บริษัท ลาการ์แดร์ แอ็คทีพ เอ็นเตอร์ไพร์ส จำกัด ประเทศฝรั่งเศส เจ้าของธุรกิจไลเซนส์ภายใต้แบรนด์ “ELLE” เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีไลเซนส์ซี และพันธมิตรทางธุรกิจกว่า 150 รายจาก 80 ประเทศทั่วโลกในการผลิตและจำหน่ายสินค้าในกลุ่มสินค้าสตรี สินค้าผู้ชาย สินค้าเด็ก และสินค้าไลฟ์สไตล์ โดยแต่ละกลุ่มยังแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ได้แก่ เสื้อผ้า, กระเป๋า, รองเท้า, ชุดชั้นใน, ชุดว่ายน้ำ, นาฬิกา, แว่นตา, เครื่องเขียน, ของตกแต่งบ้าน แล เครื่องสำอาง โดยการผลิตและการรักษาภาพลักษณ์จะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลจากสำนักงานต่างๆ ทั่วโลก 8 แห่ง ได้แก่ ปารีส, นิวยอร์ก, โซล, เซี่ยงไฮ้, โตเกียว, ไทเป, ฮ่องกง และกรุงเทพฯ
“ELLE” มีรายได้ปีละประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นสินค้าสตรี 60% สินค้าผู้ชาย สินค้าเด็ก และสินค้าอื่นๆ 40% โดยตลาดหลักคือภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก คิดเป็นสัดส่วน 70% สหรัฐอเมริกา 15% ยุโรป อินเดีย และตะวันออกกลาง 15% โดยในอนาคตอันใกล้มีแผนขยายตลาดเพิ่มในประเทศออสเตรเลียและบราซิล ขณะที่ประเทศไทยถือเป็น 1 ใน 5 ตลาดสำคัญในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกซึ่งบริษัทฯ ยังคงมีความเชื่อมั่นทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง
นายเฟบริส กล่าวด้วยว่า บริษัทฯ มีโนยายสร้างยอดขายผ่านช่องทาง e-Commerce เพิ่มมากขึ้น หลังจากช่วง 3 ปีที่ผ่านมามียอดขายเติบโตขึ้นถึง 2 เท่า โดยในเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นซึ่งถือเป็นตลาดลำดับหนึ่งของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมียอดขายผ่านช่องทาง e-Commerce สูงประมาณ 6-7%