ASTV ผู้จัดการรายวัน - ตั้งกรุ๊ปไลน์ใบ้หุ้นระวังเข้าข่ายโบรกฯเถื่อน ก.ล.ต.ระบุชัดผิดพ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ปรับตั้งแต่ 200,000-500,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 10,000 บาทตลอดระยะเวลาที่ยังฝ่าฝืน
ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ขณะนี้มีบุคคลและกลุ่มบุคคลตั้งกลุ่มหรือกรุ๊ปไลน์ (LINE) ให้ข้อมูลการลงทุนหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัยพ์ ซึ่งมีทั้งข้อมูลข่าวสาร และบทวิเคราะห์ทั่วไปที่เป็นประโยชน์กับผู้ลงทุน และมีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลอาศัยช่องทางดังกล่าว 'ใบ้หุ้น' หรือแนะนำให้ซื้อหุ้นรายตัว ซึ่งมีทั้งที่เก็บค่าสมาชิก และที่ให้บริการฟรี
นางดวงมน จึงเสถียรทรัพย์ ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ก.ล.ต. ระบุ การตั้งกรุ๊ป Line แนะนำให้ซื้อ-ขายหุ้น, แนะนำหุ้นตัว, บอกใบ้ราคาหุ้น ในลักษณะแนะให้เข้าซื้อ-จะขึ้นไปที่ราคาเท่าไร หากเป็นกลุ่มที่มีการเรียกเก็บเงินค่าสมาชิกนั้น ถือว่ามีความผิด เข้าข่าย 'โบรกเกอร์เถื่อน' ที่ให้คำแนะนำการลงทุนโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 โทษฐานประกอบธุรกิจหลักทรัพย์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ตามมาตรา 90 หรือฝ่าฝืน มาตรา 155 มาตรา 209 มาตรา 219 มาตรา 220 หรือ มาตรา 221 ซึ่งมีโทษตามมาตรา 289 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-5 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000-500,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 10,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่
นอกจากนี้ หากมีการแนะนำให้เข้าซื้อหุ้นในกรุ๊ป Line จนทำให้เกิดการสร้างราคาหุ้น หรือทำให้ราคาหุ้นตัวนั้นๆมีการเคลื่อนไหวจนเข้าข่ายผิดปกติ ทั้งปริมาณและราคา ถือว่าเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ มาตรา 240 ที่ห้ามมิให้ผู้ใดแพร่ข่าวอันเป็นความเท็จ ให้เลื่องลือจนอาจทำให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าหลักทรัพย์ใดจะมีราคาสูงขึ้นหรือลดลง ต้องรับโทษตามมาตรา 297 ที่ระบุว่า ผู้ใดทำการวิเคราะห์บิดเบือนข้อเท็จจริง เกี่ยวกับข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ หรือใช้ข้อมูล ซึ่งรู้อยู่ว่าเป็นเท็จมาใช้ในการวิเคราะห์ และผลของการวิเคราะห์นั้น อาจทำให้เกิดความเสียหายแก่นิติบุคคล หรือบุคคลใดๆหรือมีผลกระทบต่อราคาซื้อขายหลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
รองเลขาธิการก.ล.ต. ยอมรับว่า การตรวจสอบการกระทำผิดในกรณีที่ ที่มีการส่งข้อมูลต่อกันผ่าน Line นั้น ค่อนข้างลำบาก เพราะส่วนใหญ่จะเป็น 'กรุ๊ปปิด' ก.ล.ต.ไม่มีอำนาจเข้าไปแทรกแซง จึงขอความร่วมมือให้ผู้เสียหายให้ข้อมูล และขณะนี้อยู่ระหว่างแก้ไข พ.ร.บ.หลักทรัพย์ เพื่อให้สินบนต่อผู้แจ้งเบาะแส และกรุ๊ปที่ตั้งมาเพื่อให้ความรู้ปกติโดยทั่วไปก็มีจำนวนมาก ที่ไม่ได้มีการกระทำเข้าข่ายความผิด แต่ที่ผิดแน่ๆ คือการเก็บค่าสมาชิก เพราะเหมือนกับการให้คำแนะนำการลงทุนโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต
"กรุ๊ปเหล่านั้นเป็นกรุ๊ปปิดซึ่งมีแต่สมาชิกในกรุ๊ปเห็นข้อมูล ก.ล.ต.หาข้อมูลลำบากเว้นแต่จะมีผู้ร้องเรียน หรือมีการแจ้งเบาะแส การเผยแพร่ข้อมูลกรณีที่อาจเข้าข่ายมีความผิด ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ จึงจะสามารถเข้าไปตรวจสอบได้" นางดวงมน
ด้านนายศักรินทร์ ร่วมรังษี ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต.กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างแก้กฎหมาย ให้สินบนรางวัลนำจับแก่ผู้ที่แจ้งเบาะแส ผู้ปล่อยข่าวลือข่าวลวง ที่ส่งผลกระทบกับราคาหุ้น จากเดิมที่ให้สินบนนำจับในกรณีการใช้ “อินไซเดอร์เทรดดิ้ง” และ “การปั่นหุ้น” โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา หากพิจารณาแล้วเสร็จจะนำกลับมาเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้เงินสินบนและเงินรางวัลจะจ่ายให้กับผู้แจ้งไม่เกิน 30% ของจำนวนเงินค่าปรับ ที่ผู้กระทำผิดชำระต่อศาลหรือชำระตามคำสั่งคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ หลังคดีสิ้นสุดแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ขณะนี้มีบุคคลและกลุ่มบุคคลตั้งกลุ่มหรือกรุ๊ปไลน์ (LINE) ให้ข้อมูลการลงทุนหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัยพ์ ซึ่งมีทั้งข้อมูลข่าวสาร และบทวิเคราะห์ทั่วไปที่เป็นประโยชน์กับผู้ลงทุน และมีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลอาศัยช่องทางดังกล่าว 'ใบ้หุ้น' หรือแนะนำให้ซื้อหุ้นรายตัว ซึ่งมีทั้งที่เก็บค่าสมาชิก และที่ให้บริการฟรี
นางดวงมน จึงเสถียรทรัพย์ ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ก.ล.ต. ระบุ การตั้งกรุ๊ป Line แนะนำให้ซื้อ-ขายหุ้น, แนะนำหุ้นตัว, บอกใบ้ราคาหุ้น ในลักษณะแนะให้เข้าซื้อ-จะขึ้นไปที่ราคาเท่าไร หากเป็นกลุ่มที่มีการเรียกเก็บเงินค่าสมาชิกนั้น ถือว่ามีความผิด เข้าข่าย 'โบรกเกอร์เถื่อน' ที่ให้คำแนะนำการลงทุนโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 โทษฐานประกอบธุรกิจหลักทรัพย์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ตามมาตรา 90 หรือฝ่าฝืน มาตรา 155 มาตรา 209 มาตรา 219 มาตรา 220 หรือ มาตรา 221 ซึ่งมีโทษตามมาตรา 289 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-5 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000-500,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 10,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่
นอกจากนี้ หากมีการแนะนำให้เข้าซื้อหุ้นในกรุ๊ป Line จนทำให้เกิดการสร้างราคาหุ้น หรือทำให้ราคาหุ้นตัวนั้นๆมีการเคลื่อนไหวจนเข้าข่ายผิดปกติ ทั้งปริมาณและราคา ถือว่าเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ มาตรา 240 ที่ห้ามมิให้ผู้ใดแพร่ข่าวอันเป็นความเท็จ ให้เลื่องลือจนอาจทำให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าหลักทรัพย์ใดจะมีราคาสูงขึ้นหรือลดลง ต้องรับโทษตามมาตรา 297 ที่ระบุว่า ผู้ใดทำการวิเคราะห์บิดเบือนข้อเท็จจริง เกี่ยวกับข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ หรือใช้ข้อมูล ซึ่งรู้อยู่ว่าเป็นเท็จมาใช้ในการวิเคราะห์ และผลของการวิเคราะห์นั้น อาจทำให้เกิดความเสียหายแก่นิติบุคคล หรือบุคคลใดๆหรือมีผลกระทบต่อราคาซื้อขายหลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
รองเลขาธิการก.ล.ต. ยอมรับว่า การตรวจสอบการกระทำผิดในกรณีที่ ที่มีการส่งข้อมูลต่อกันผ่าน Line นั้น ค่อนข้างลำบาก เพราะส่วนใหญ่จะเป็น 'กรุ๊ปปิด' ก.ล.ต.ไม่มีอำนาจเข้าไปแทรกแซง จึงขอความร่วมมือให้ผู้เสียหายให้ข้อมูล และขณะนี้อยู่ระหว่างแก้ไข พ.ร.บ.หลักทรัพย์ เพื่อให้สินบนต่อผู้แจ้งเบาะแส และกรุ๊ปที่ตั้งมาเพื่อให้ความรู้ปกติโดยทั่วไปก็มีจำนวนมาก ที่ไม่ได้มีการกระทำเข้าข่ายความผิด แต่ที่ผิดแน่ๆ คือการเก็บค่าสมาชิก เพราะเหมือนกับการให้คำแนะนำการลงทุนโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต
"กรุ๊ปเหล่านั้นเป็นกรุ๊ปปิดซึ่งมีแต่สมาชิกในกรุ๊ปเห็นข้อมูล ก.ล.ต.หาข้อมูลลำบากเว้นแต่จะมีผู้ร้องเรียน หรือมีการแจ้งเบาะแส การเผยแพร่ข้อมูลกรณีที่อาจเข้าข่ายมีความผิด ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ จึงจะสามารถเข้าไปตรวจสอบได้" นางดวงมน
ด้านนายศักรินทร์ ร่วมรังษี ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต.กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างแก้กฎหมาย ให้สินบนรางวัลนำจับแก่ผู้ที่แจ้งเบาะแส ผู้ปล่อยข่าวลือข่าวลวง ที่ส่งผลกระทบกับราคาหุ้น จากเดิมที่ให้สินบนนำจับในกรณีการใช้ “อินไซเดอร์เทรดดิ้ง” และ “การปั่นหุ้น” โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา หากพิจารณาแล้วเสร็จจะนำกลับมาเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้เงินสินบนและเงินรางวัลจะจ่ายให้กับผู้แจ้งไม่เกิน 30% ของจำนวนเงินค่าปรับ ที่ผู้กระทำผิดชำระต่อศาลหรือชำระตามคำสั่งคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ หลังคดีสิ้นสุดแล้ว