ASTVผู้จัดการรายวัน - ทริสคาดจีดีพีโต 2.5% อาศัยแรงขับเคลื่อนจากใช้จ่าย-ลงทุน ขณะที่ปีหน้าอยู่ที่ 2.5-3%หากเม็ดเงินโครงการขนาดใหญ่ออก-การเมืองนิ่ง ประเมินกลุ่มที่อยู่อาศัย สินเชื่อเช่าซื้อ และเกษตรยังรับผลกระทบจากเศรษฐกิจผันผวน และมีโอกาสลดเรทติ้งผู้ประกอบการอสังหาฯรายกลาง-เล็ก เหตุรับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น
นางสาววัฒนา ถิรานุชิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ทริสคาดการณ์ภาพรวมการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี)ปีนี้จะเติบโตในระดับ 2.5% จากการลงทุนและใช้จ่ายภาครัฐเป็นตัวขับเคลื่อนหลักไปจนถึงสิ้นปี รวมถึงภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่จะเป็นเข้ามาช่วยสนับสนุนในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้ โดยมีปัจจัยถ่วงจากการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
"การท่องเที่ยวจะเข้ามาช่วยได้มากในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2558 เนื่องจากขณะนี้จะเข้าสู่ฤดูการท่องเที่ยวของประเทศ ไปจนถึงจะต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสแรกของปีหน้า"
ส่วนเศรษฐกิจของไทยปี 2559 คาดว่าจีดีพีจะเติบโตในระดับ 2.5-3% บนสมมติฐานที่โครงการขนาดใหญ่ภาครัฐสามารถดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้ และไม่เกิดปัญหาทางการเมืองภายในประเทศปะทุขึ้นมาอีก
กลุ่มที่อยู่อาศัย-เช่าซื้อ-เกษตรรับผลศก.ชะลอ
ด้านภาพรวมของกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญในปีหน้าแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอ ทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เช่น อุตสาหกรรมที่อยู่อาศัย สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ รวมทั้งกลุ่มการเกษตร และกลุ่มที่มีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ผันผวน เช่น อุตสาหกรรม โรงพยาบาล และบริการด้านสุขภาพ การท่องเที่ยว รับเหมาก่อสร้าง และโทรศัพท์เคลื่อนที่
โดยธุรกิจรับเหมาก่อสร้างน่าจะได้รับประโยชน์จากโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐบาลที่จะทยอยออกมา เพราะเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการผลักดันให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 สัดส่วนการก่อสร้างภาคเอกชนและโครงการที่อยู่อาศัย ไม่น่าจะขยายตัวมากนัก ตามทิศทางการลงทุนภาคเอกชนและตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังชะลอตัว
ส่วนธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ คาดว่าการเปิดประมูลคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิร์ต และ 900 เมกะเฮิร์ต (4G) ที่กำลังจะเกิดขึ้น ตลอดจนแนวโน้มความต้องการใช้บริการด้านข้อมูลที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมโดยรวม แต่ขณะเดียวกันก็ส่งผลให้ผู้ประกอบการยังคงต้องลงทุนในโครงข่ายอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการแข่งขันประมูลใบอนุญาตที่รุนแรง อาจส่งผลต่อต้นทุน ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันต่อผลประกอบการและภาระหนี้
ขณะที่โรงพยาบาลและบริการด้านสุขภาพ มีปัจจัยบวกที่ส่งเสริม ได้แก่ ส่วนของประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันประชากรที่มีอายุเกินกว่า 60 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนกว่า 10% และกลุ่มการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพในการเติบโตที่ดีเนื่องจากมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพในขณะที่ค่าครองชีพไม่สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศรอบข้าง
นางสาวไรทิวา นฤมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานจัดอันดับเครดิต บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด กล่าวว่า สินเชื่อธนาคารปี 2559 คาดว่าจะขยายตัวได้ที่ 5% จากปีนี้ที่คาดขยายตัว 1.7% โดยปัจจัยหนุนที่ส่งผลให้สินเชื่อขยายตัวนั้น มาจากการลงทุนภาครัฐเป็นหลัก โดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่หากสามารถทำได้ ประกอบกับสินเชื่อเอสเอ็มอีขยายตัวมากขึ้น จากมาตรการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟท์โลน) ที่รัฐบาลปล่อยกู้มาตั้งแต่ไตรมาส 3 ปนี้และเห็นผลต่อเนื่องมา
ทั้งนี้ ปีหน้ากลุ่มธนาคารจะดีขึ้นทั้งในด้านของสินเชื่อและกำไร จากเม็ดเงินที่รัฐอัดฉีดกระตุ้นเข้ามา โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ส่วนสินเชื่อเช่าซื้อที่ก่อนหน้านี้หดตัวก็จะกลับมาขยายตัวกลางปีหน้าเป็นต้นไป แต่ปัจจัยที่ยังฉุดผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็นส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้( NPL) ที่ยังเพิ่มขึ้นอยู่ จากสินเชื่อรายย่อยเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ทริสคงมุมมอง Stable ในกลุ่มนี้ เพราะฐานเงินทุนของธนาคารยังแข็งแกร่ง
นางสาววัฒนา ถิรานุชิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ทริสคาดการณ์ภาพรวมการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี)ปีนี้จะเติบโตในระดับ 2.5% จากการลงทุนและใช้จ่ายภาครัฐเป็นตัวขับเคลื่อนหลักไปจนถึงสิ้นปี รวมถึงภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่จะเป็นเข้ามาช่วยสนับสนุนในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้ โดยมีปัจจัยถ่วงจากการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
"การท่องเที่ยวจะเข้ามาช่วยได้มากในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2558 เนื่องจากขณะนี้จะเข้าสู่ฤดูการท่องเที่ยวของประเทศ ไปจนถึงจะต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสแรกของปีหน้า"
ส่วนเศรษฐกิจของไทยปี 2559 คาดว่าจีดีพีจะเติบโตในระดับ 2.5-3% บนสมมติฐานที่โครงการขนาดใหญ่ภาครัฐสามารถดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้ และไม่เกิดปัญหาทางการเมืองภายในประเทศปะทุขึ้นมาอีก
กลุ่มที่อยู่อาศัย-เช่าซื้อ-เกษตรรับผลศก.ชะลอ
ด้านภาพรวมของกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญในปีหน้าแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอ ทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เช่น อุตสาหกรรมที่อยู่อาศัย สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ รวมทั้งกลุ่มการเกษตร และกลุ่มที่มีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ผันผวน เช่น อุตสาหกรรม โรงพยาบาล และบริการด้านสุขภาพ การท่องเที่ยว รับเหมาก่อสร้าง และโทรศัพท์เคลื่อนที่
โดยธุรกิจรับเหมาก่อสร้างน่าจะได้รับประโยชน์จากโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐบาลที่จะทยอยออกมา เพราะเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการผลักดันให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 สัดส่วนการก่อสร้างภาคเอกชนและโครงการที่อยู่อาศัย ไม่น่าจะขยายตัวมากนัก ตามทิศทางการลงทุนภาคเอกชนและตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังชะลอตัว
ส่วนธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ คาดว่าการเปิดประมูลคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิร์ต และ 900 เมกะเฮิร์ต (4G) ที่กำลังจะเกิดขึ้น ตลอดจนแนวโน้มความต้องการใช้บริการด้านข้อมูลที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมโดยรวม แต่ขณะเดียวกันก็ส่งผลให้ผู้ประกอบการยังคงต้องลงทุนในโครงข่ายอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการแข่งขันประมูลใบอนุญาตที่รุนแรง อาจส่งผลต่อต้นทุน ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันต่อผลประกอบการและภาระหนี้
ขณะที่โรงพยาบาลและบริการด้านสุขภาพ มีปัจจัยบวกที่ส่งเสริม ได้แก่ ส่วนของประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันประชากรที่มีอายุเกินกว่า 60 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนกว่า 10% และกลุ่มการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพในการเติบโตที่ดีเนื่องจากมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพในขณะที่ค่าครองชีพไม่สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศรอบข้าง
นางสาวไรทิวา นฤมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานจัดอันดับเครดิต บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด กล่าวว่า สินเชื่อธนาคารปี 2559 คาดว่าจะขยายตัวได้ที่ 5% จากปีนี้ที่คาดขยายตัว 1.7% โดยปัจจัยหนุนที่ส่งผลให้สินเชื่อขยายตัวนั้น มาจากการลงทุนภาครัฐเป็นหลัก โดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่หากสามารถทำได้ ประกอบกับสินเชื่อเอสเอ็มอีขยายตัวมากขึ้น จากมาตรการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟท์โลน) ที่รัฐบาลปล่อยกู้มาตั้งแต่ไตรมาส 3 ปนี้และเห็นผลต่อเนื่องมา
ทั้งนี้ ปีหน้ากลุ่มธนาคารจะดีขึ้นทั้งในด้านของสินเชื่อและกำไร จากเม็ดเงินที่รัฐอัดฉีดกระตุ้นเข้ามา โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ส่วนสินเชื่อเช่าซื้อที่ก่อนหน้านี้หดตัวก็จะกลับมาขยายตัวกลางปีหน้าเป็นต้นไป แต่ปัจจัยที่ยังฉุดผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็นส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้( NPL) ที่ยังเพิ่มขึ้นอยู่ จากสินเชื่อรายย่อยเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ทริสคงมุมมอง Stable ในกลุ่มนี้ เพราะฐานเงินทุนของธนาคารยังแข็งแกร่ง
