xs
xsm
sm
md
lg

ประเด็นพลังงานในรัฐธรรมนูญ : ไทย โบลิเวีย และเอกวาดอร์

เผยแพร่:   โดย: ประสาท มีแต้ม

เท่าที่ผมได้ค้นหาเรื่องพลังงานในรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 และ 2550 รวมทั้งร่างธรรมนูญ 2558 ที่เพิ่งไม่ผ่านความเห็นชอบของสภาปฏิรูปแห่งชาติจนต้องมีการร่างกันใหม่ปรากฏว่าได้ผลลัพธ์ดังที่ผมได้สรุปไว้ในแผ่นสไลด์ข้างล่างนี้ครับ

ฉบับปี 2540

พบว่าไม่ได้มีการบัญญัติเรื่องพลังงานไว้แต่อย่างใด ทั้งๆ ที่ประเด็นพลังงานมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศและกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมากและมากขึ้น ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงไม่มีการบัญญัติ แต่เมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประเทศในปี 2539 พบว่ามีสัดส่วนร้อยละ 11.4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) แต่ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้สูงขึ้นจนเป็นร้อยละ 16.6 ในปี 2550 และร้อยละ 17.3 ในปี 2557 ซึ่งถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว

หรือสรุปได้ว่า ในช่วงก่อนปี 2540 คนไทยเรายังไม่มีความเดือดร้อนหรือไม่รู้ว่าตนเองเดือดร้อนในเรื่องพลังงานมากเท่ากับทุกวันนี้

ฉบับปี 2550

ได้บัญญัติไว้ในแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ เพียงสั้นๆ ว่า “รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย พัฒนาและใช้ประโยชน์จากพลังงานทดแทนซึ่งได้จากธรรมชาติและเป็นคุณต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ”

ผมขอตั้งข้อสังเกต 2 ประการ คือ

(1) คำว่า “พลังงานทดแทน” เป็นคำที่ข้าราชการมักจะพูดผ่านสื่อจนสังคมรับรู้และติดปาก เช่น เอาก๊าซธรรมชาติมาใช้แทนพลังน้ำ เป็นต้น แต่ไม่มีการบัญญัติคำนี้อย่างเป็นทางการแต่อย่างใด แม้แต่ในพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน(แก้ไขเพิ่มเติม 2550) ก็ไม่มีคำนี้ ในปี 2556 ทางกระทรวงพลังงานได้ว่าจ้างให้สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งเพื่อยกร่าง พ.ร.บ.ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ แต่นิยามก็คลุมเครือ ไม่สอดคล้องกับหลักการ เพราะในวงวิชาการเขามีพลังงาน 2 ประเภทเท่านั้น คือ ประเภทใช้แล้วหมดไปที่เรียกว่าพลังงานฟอสซิล (FossilEnergy เพราะใช้เวลานับ 100 ล้านปีกว่าจะนำมาใช้ได้) กับประเภทใช้แล้วงอกหรือเกิดใหม่ได้ คือ พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy เพราะงอกใหม่ได้ทุกวัน) เท่าที่ผมทราบ พ.ร.บ.นี้ก็ยังไม่ผ่าน แต่มีชื่อ “กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงาน”เกิดขึ้นก่อน โดยใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า “Department of Alternative Energy Development and Efficiency” ผมขออนุญาตไม่วิจารณ์ต่อนะครับ

(2) กระแสสังคมเริ่มตื่นตัวในเรื่องพลังงาน น่าจะเนื่องมาจากการฟ้องร้องเป็นคดีในศาลปกครอง ในเรื่องการแปรรูป “การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย” ที่สามารถทำได้ และ “การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย” ที่ไม่สามารถทำได้และน่าจะมาจากค่าใช้จ่ายด้านพลังงานซึ่งเริ่มถีบตัวสูงขึ้นจนถึง 16.6% ของจีดีพีดังที่กล่าวแล้ว

ฉบับร่างปี 2558

นับจากเริ่มต้นการฟ้องร้อง 2 คดีการแปรรูปกิจการพลังงาน ภาคประชาชนได้เคลื่อนไหวในประเด็นพลังงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องผลประโยชน์จากปิโตรเลียมที่ประเทศชาติถูกเอาเปรียบจากบริษัทต่างชาติ (ลงทุนประมาณ 1 แสนล้านบาท ได้กำไรสุทธิหลังหักภาษีประมาณ 1 แสนล้านบาทในปีเดียว) ทั้งเรื่องแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (พีดีพี) ประกอบกับการคัดค้านสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ซึ่งส่วนใหญ่อยู่บนบก บนแปลงเรือกสวนไร่นาของชาวบ้านในหลายจังหวัดของภาคอีสานและภาคเหนือ นอกจากนี้คนชั้นกลางในเมืองที่ใช้สื่อออนไลน์สื่อสารถึงกันด้วยความห่วงใยในผลประโยชน์ของชาติและผลกระทบของชุมชนชาวบ้าน

ในกระแสการต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กระแสการเรียกร้องให้ “ปฏิรูปพลังงาน” ได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและน่าจะเป็นกระแสสูงมากไม่แพ้กระแสอื่นๆ แม้แต่หลังการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ภาคประชาชนก็ยังเคลื่อนไหวต่อ จนคณะ คสช.ต้องเปิดเวทีสาธารณะในเรื่องนี้อีกหลายครั้งแต่เรื่องก็เงียบหายไปทุกครั้ง ล่าสุดมีคนบอกผมว่าได้ยินรัฐมนตรีพลังงานคนใหม่พูดว่าจะเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบ 21 ในปีหน้าอีกแล้ว

ด้วยเหตุที่มีการต่อสู้ของประชาชนอย่างยาวนานและกว้างขวาง ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2558 จึงได้บัญญัติไว้โดยมีความยาวมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ (กรุณาอ่านในแผ่นสไลด์ครับ)จะเรียกว่าเป็นความก้าวหน้าของการร่วมกันตั้งกติกาสูงสุดของสังคมไทยก็ว่าได้

อย่าหาว่าผมมองโลกในแง่ร้ายเลยครับ สมมติว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้สามารถผ่านได้จริง แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าเป็นการยากที่จะได้รับการปฏิบัติให้เป็นจริงได้ เหตุผลหรือครับ?

เหตุผลแรก เพราะยังเขียนได้ไม่ชัดเจนมากพอ และขาดกรอบแนวคิดหรือคุณค่าหลักเพื่อให้คนยึดถือใช้เป็นเจตนารมณ์ประกอบการตีความหรือขาดพลัง เหตุผลที่สอง ประเทศนี้มีคนอย่างศรีธนญชัยเยอะครับ

ความจริงแล้วพลังงานที่ว่านี้ก็มี 2 ชนิดหลัก คือปิโตรเลียมและไฟฟ้า ทำไมไม่จำแนกให้ชัดเจน ผมขอขยายความสัก 4ข้อ ดังนี้

ข้อ 1 ในเรื่องปิโตรเลียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจี จำได้ไหมครับว่า เรามีปัญหาอะไรประเทศไทยเคยผลิตก๊าซแอลพีจีได้มากเกินกว่าการใช้ภายในประเทศมานานเกือบ 20 ปี แต่พอมีอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเกิดขึ้น บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทที่เป็นเจ้าของโรงแยกก๊าซทั้งหมด (ยกเว้นโครงการไทย-มาเลเซียที่มีหุ้น 50%) ก็แย่งซื้อเอาก๊าซแอลพีจีไปทำอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในราคาถูก ส่งผลทำให้ภาคหุงต้มและภาคขนส่งขาดแคลน จนต้องนำเข้าในราคาแพงกว่าที่บริษัทปิโตรเคมีซื้อ

ประเด็นนี้ รัฐธรรมนูญของประเทศโบลิเวีย (มาตรา 367) ได้บัญญัติว่า “การใช้ประโยชน์ การบริโภค และการขายปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์ต้องเป็นไปตามนโยบายการพัฒนาที่ประกันการบริโภคภายในประเทศ การส่งออกผลผลิตที่เหลือจะต้องรวมมูลค่าเพิ่มให้ได้สูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

พูดให้ชัดๆ ก็คือ เขาบัญญัติให้ใช้บริโภคภายในประเทศก่อนการส่งออก เรื่องการลงทุนก็เช่นกัน รัฐธรรมนูญโบลิเวียซึ่งผ่านประชามติของประชาชนอย่างท่วมท้นเมื่อปี 2009 กำหนดว่า “การลงทุนของชาวโบลิเวียต้องมีลำดับความสำคัญก่อนการลงทุนของชาวต่างประเทศ” (มาตรา 320)

ข้อ 2 ในมาตรา 360 ของโบลิเวีย ได้บัญญัติว่า “รัฐต้องกำหนดนโยบายสำหรับสารไฮโดรคาร์บอน (หมายถึงปิโตรเลียมและถ่านหิน) ต้องส่งเสริม การพัฒนาที่ครอบคลุม ยั่งยืนและเป็นธรรม และต้องประกันอำนาจอธิปไตยด้านพลังงาน (Energy Sovereignty)” (หมายเหตุ นี่คือความหมายที่ผมว่ามีมาตราอื่นเป็นกรอบแนวคิดหลักให้ยึด)

ผมค้น คำว่า อำนาจอธิปไตยด้านพลังงาน พบว่าคือ “สิทธิของบุคคลที่ตระหนักรู้ ชุมชน และประชาชนที่จะตัดสินใจด้วยตนเองในเรื่องการผลิตพลังงาน การกระจายพลังงานและการบริโภคในแนวทางที่เหมาะสมกับระบบนิเวศ สังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของพวกเขา โดยมีเงื่อนไขว่าต้องไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อผู้อื่น” อำนาจอธิปไตยด้านพลังงานก็คล้ายกับอำนาจอธิปไตยหรืออำนาจสูงสุดเหนือดินแดนนั่นแหละครับ

ข้อ 3 ในข้อความในสไลด์ที่ว่า “ผลิตพลังงานเพื่อใช้เองและเพื่อจำหน่าย” ผมเข้าใจว่า พลังงานในที่นี้ผู้บัญญัติคงตั้งใจจะหมายถึงไฟฟ้าเพราะอย่างอื่นไม่น่าจะทำได้

คงจำกันได้นะครับว่า ท่านนายกรัฐมนตรีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้พูดถึง “สายส่งเต็ม” เมื่อภาคประชาชนและสภาปฏิรูปแห่งชาติได้เสนอให้รัฐบาลส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ ที่เรียกว่า “โซลาร์รูฟเสรี” ในกรณี “Quick Win” แต่ผ่านมาเกือบปีแล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้าครับ

ความจริงแล้วปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “สายส่งเต็ม” แต่ปัญหาอยู่ที่การจัดลำดับความสำคัญระหว่างพลังงานฟอสซิล (ซึ่งก่อมลพิษและผูกขาด) กับพลังงานหมุนเวียน(ซึ่งไม่ก่อมลพิษในกรณีโซลาร์เซลล์และทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ลดความเหลื่อมล้ำ-ที่บัญญัติไว้ลอยๆ ในรัฐธรรมนูญ) ดังนั้นจะดีกว่าไหมถ้าจะบัญญัติว่า “ให้ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสามารถป้อนไฟฟ้าเข้าสู่ระบบสายส่งได้ก่อนโดยไม่จำกัดจำนวน” ซึ่งมาตรการดังกล่าวประเทศเยอรมนีได้บัญญัติไว้ในระดับกฎหมาย สหรัฐอเมริกาก็บัญญัติในกฎหมาย “Net Metering” นี่คือมาตรการหนึ่งในการลดความเหลื่อมล้ำ

และอย่างที่ผมได้กล่าวมาแล้วว่า ประเทศนี้มีศรีธนญชัยเยอะ ดังนั้นจะเสียหายตรงไหน มันจะยาวขึ้นสักเท่าไหร่กัน ดูตัวอย่างจากโบลิเวียที่เขาชัดเจนถึงขั้นบัญญัติอำนาจอธิปไตยด้านพลังงานและอาหารด้วย (ในมาตรา 284)

ข้อ 4 รัฐธรรมนูญของประเทศเอกวาดอร์ (มาตรา 72) บัญญัติว่า “ห้ามนำทรัพยากรธรรมชาติชนิดที่ใช้แล้วหมดไป (non-renewable resources) ในพื้นที่ที่ได้มีการปกป้องขึ้นมาใช้ประโยชน์ การปลูกพืชเชิงเดี่ยวควรหลีกเลี่ยง ทั้งนี้เพื่อให้ป่าไม้ได้ฟื้นตัวและสภาพดินได้กลับสู่สภาพเดิม” นอกจากนี้ประเทศเอกวาดอร์เป็นประเทศแรกในโลกที่ได้รับรอง “สิทธิของแม่ธรณี (Rights of Nature)” ซึ่งถือว่ามีความก้าวหน้ามาก เพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่า ระบบสิ่งแวดล้อมของโลกของเรากำลังมีปัญหาอย่างรุนแรง

แต่ในประเทศไทยเรากำลังเดินหน้าทำลายอย่างไม่เกรงใจใคร เช่น เหมืองทองคำที่ชาวบ้านมีสารพิษในร่างกายสูงมาก การปลูกข้าวโพดจนภูเขาป่าไม้ซึ่งเคยเป็นที่หลบซ่อนของกองทัพปลดแอกของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยต้องกลายเป็นเขาหัวโล้น การนำอุทยานมาทำท่าเรือปากบารา การขุดก๊าซธรรมชาติในเขตลุ่มน้ำหนึ่งเอ การเอาพื้นที่แรมซาร์ไซต์ (Ramsar Sites) หมายถึง พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์และยับยั้งการสูญหายของพื้นที่ชุ่มน้ำในโลก) ไปสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน

ทำไมผู้ร่างรัฐธรรมนูญปี 2558 จึงไม่สนใจปัญหาเหล่านี้บ้าง ทั้งๆ ที่กำลังลุกเป็นไฟและจะสูญเสียอย่างถาวร หรือว่าท่านยึดรูปแบบการเขียนรัฐธรรมนูญมากกว่าความเป็นจริง

ผมได้วิจารณ์ถึงข้อบกพร่องของร่างรัฐธรรมนูญ 2558 มาพอสมควร จึงขอพูดถึงข้อดีซึ่งไม่เคยมีมาก่อนบ้าง ก็คือ การบัญญัติความเป็นพลเมือง (ดังแผ่นสไลด์)

คนไทยเราได้รับการยอมรับจากชาวต่างชาติว่า “สยามเมืองยิ้ม” ซึ่งสะท้อนถึงความโอบอ้อมอารี รักสงบมาอย่างยาวนาน แต่มันค่อยๆ หายไปในระยะหลัง ทำไมเราไม่บัญญัติสิ่งเหล่านี้ไว้ในรัฐธรรมนูญ

ถ้าเราบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แม้มันอาจจะไม่จริงเสียทีเดียวนัก แต่อย่างน้อยก็เป็นเป้าหมายของชาติ การจัดการศึกษาก็ต้องมุ่งไปสู่เป้าหมายที่เป็นคุณลักษณะที่คนในชาติของเราภูมิใจ

“เคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น” เป็นสิ่งสำคัญมากครับ แต่น่าจะทันสมัยกว่านี้ถ้าเป็น “เคารพความเห็นที่แตกต่าง” ปัญหาของประเทศเราในวันนี้ก็น่าจะเนื่องมาจาก เราไม่ถูกสอนให้เคารพความแตกต่างหลากหลาย ไม่ถูกสอนให้ชอบค้นหาความจริง แต่ชอบฟังคำนินทา ไปโรงเรียนก็ต้องมีเครื่องแบบที่เหมือนกันและเมื่อมีปัญหาก็ใช้ความรุนแรงต่อยกัน ยิงกัน ทั้งๆ ที่บางครั้งไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลย (คุยกันเรื่องกางร่มให้โปสเตอร์หาเสียงของนักการเมือง แต่ชักปืนมายิงกันเอง)

จะดีไหมครับ ถ้าเราจะบัญญัติลักษณะของคนไทยเราเอาไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย เช่น “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด” ทำนองนี้ แต่เอาที่เราเห็นร่วมกันจริงๆ นะครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น