เมื่อเวลา 13.30 น. วานนี้ (8ต.ค.) ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางแมรี โจ เอ. แบร์นาร์โด-อารากน เอกอัครราชทูตแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
ทั้งสองฝ่ายกล่าวยินดีที่ได้พบ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตฯ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ประจำประเทศไทย เชื่อมั่นว่า ด้วยความรู้และความสามารถ เอกอัครราชทูตฯจะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ ทั้งนี้รัฐบาลไทยพร้อมร่วมมือ และอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานที่ประเทศไทยของเอกอัครราชทูตฯ เพื่อส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความเจริญรุ่งเรืองระหว่างสองประเทศ ในโอกาสที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จฯ เยือนฟิลิปปินส์เพื่อเยี่ยมชมโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในพระราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในเดือนมกราคม 2559 โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอความร่วมมือจากเอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ประจำประเทศไทย และรัฐบาลฟิลิปปินส์ ในการรับเสด็จฯ
สำหรับสถานการณ์ทางการเมืองไทย นายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่า รัฐบาลดำเนินการตามกรอบระยะเวลาเพื่อการปฏิรูปประเทศ ส่วนกรณีเหตุการณ์สี่แยกราชประสงค์ ทางการไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และได้ดำเนินมาตรการในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยเอกอัครราชทูตฯ กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทย ที่ให้การดูแลชาวฟิลิปปินส์ที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งตอนนี้อาการดีขึ้น และได้เดินทางออกจากประเทศไทยแล้ว โดยรัฐบาลจะดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในไทยอย่างดีที่สุด
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวฝากความระลึกถึงไปยังประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ พร้อมขอบคุณที่ให้การต้อนรับอย่างสมเกียรติ และอบอุ่น ในการเยือนฟิลิปปินส์อย่างเป็นทางการที่ผ่านมา ซึ่งนายกรัฐมนตรี พอใจผลการเยือน ที่ช่วยกระตุ้นความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้มีพลวัต โดยทั้งสองฝ่ายควรให้ความสำคัญกับการติดตามการดำเนินการตามผลการเยือนให้มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวขอเอกอัครราชทูตฯ ให้ช่วยติดตาม และเร่งรัดการดำเนินการตามผลการเยือนฟิลิปปินส์ให้มีความคืบหน้าโดยเร็ว ทั้งการจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ (Joint Commission for Bilateral Cooperation – JCBC) ครั้งที่ 6 ซึ่งฝ่ายไทย จะเป็นเจ้าภาพในปีนี้ การประชุมคณะกรรมการร่วมด้านการค้า (JTC) การประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางทหาร (JCMC) ซึ่งฝ่ายฟิลิปปินส์จะเป็นเจ้าภาพ การส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน การเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวทางถนน (ไทย-กัมพูชา-เวียดนามและมาเลเซีย) และเรือสำราญ
ส่วนความร่วมมือด้านวิชาการและการเกษตร ฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมวิชาการระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ครั้งแรก การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการแรงงาน และการให้ความช่วยเหลือด้านกงสุลแก่แรงงานชาวไทยและฟิลิปปินส์ในประเทศที่สาม และการเร่งรัดหาข้อสรุปความตกลงและบันทึกความเข้าใจที่คั่งค้างต่าง ๆ
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ปริมาณการค้าในช่วงปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 และหวังให้ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันเพื่อเพิ่มปริมาณทางการค้าและลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกันต่อไป
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวขอการสนับสนุนจากรัฐบาลและเอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ฯ ให้พิจารณานำเข้าข้าวคุณภาพชั้นดีจากไทย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวขอให้เอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ฯ ช่วยเร่งรัดบันทึกความเข้าใจด้านบริการเดินอากาศ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว และบริการ ระหว่างสองประเทศมากยิ่งขึ้น เนื่องจากไทยและฟิลิปปินส์ มีศักยภาพในด้านนี้ โดยขณะนี้ไทยกำลังดำเนินการปรับปรุงท่าเรือ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมทั้งการพิจารณาเพิ่มเที่ยวบินตรงระหว่างประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะนำเรื่องนี้ไปหารือในการประชุมอาเซียนปลายปีนี้ด้วย
ในตอนท้าย นากยรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณไปยังประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ สำหรับการเชิญเยือนฟิลิปปินส์เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำเอเปค ในเดือนพฤศจิกายน 2558 ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีเข้าร่วมการประชุมฯ
ทั้งสองฝ่ายกล่าวยินดีที่ได้พบ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตฯ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ประจำประเทศไทย เชื่อมั่นว่า ด้วยความรู้และความสามารถ เอกอัครราชทูตฯจะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ ทั้งนี้รัฐบาลไทยพร้อมร่วมมือ และอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานที่ประเทศไทยของเอกอัครราชทูตฯ เพื่อส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความเจริญรุ่งเรืองระหว่างสองประเทศ ในโอกาสที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จฯ เยือนฟิลิปปินส์เพื่อเยี่ยมชมโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในพระราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในเดือนมกราคม 2559 โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอความร่วมมือจากเอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ประจำประเทศไทย และรัฐบาลฟิลิปปินส์ ในการรับเสด็จฯ
สำหรับสถานการณ์ทางการเมืองไทย นายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่า รัฐบาลดำเนินการตามกรอบระยะเวลาเพื่อการปฏิรูปประเทศ ส่วนกรณีเหตุการณ์สี่แยกราชประสงค์ ทางการไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และได้ดำเนินมาตรการในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยเอกอัครราชทูตฯ กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทย ที่ให้การดูแลชาวฟิลิปปินส์ที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งตอนนี้อาการดีขึ้น และได้เดินทางออกจากประเทศไทยแล้ว โดยรัฐบาลจะดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในไทยอย่างดีที่สุด
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวฝากความระลึกถึงไปยังประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ พร้อมขอบคุณที่ให้การต้อนรับอย่างสมเกียรติ และอบอุ่น ในการเยือนฟิลิปปินส์อย่างเป็นทางการที่ผ่านมา ซึ่งนายกรัฐมนตรี พอใจผลการเยือน ที่ช่วยกระตุ้นความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้มีพลวัต โดยทั้งสองฝ่ายควรให้ความสำคัญกับการติดตามการดำเนินการตามผลการเยือนให้มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวขอเอกอัครราชทูตฯ ให้ช่วยติดตาม และเร่งรัดการดำเนินการตามผลการเยือนฟิลิปปินส์ให้มีความคืบหน้าโดยเร็ว ทั้งการจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ (Joint Commission for Bilateral Cooperation – JCBC) ครั้งที่ 6 ซึ่งฝ่ายไทย จะเป็นเจ้าภาพในปีนี้ การประชุมคณะกรรมการร่วมด้านการค้า (JTC) การประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางทหาร (JCMC) ซึ่งฝ่ายฟิลิปปินส์จะเป็นเจ้าภาพ การส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน การเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวทางถนน (ไทย-กัมพูชา-เวียดนามและมาเลเซีย) และเรือสำราญ
ส่วนความร่วมมือด้านวิชาการและการเกษตร ฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมวิชาการระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ครั้งแรก การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการแรงงาน และการให้ความช่วยเหลือด้านกงสุลแก่แรงงานชาวไทยและฟิลิปปินส์ในประเทศที่สาม และการเร่งรัดหาข้อสรุปความตกลงและบันทึกความเข้าใจที่คั่งค้างต่าง ๆ
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ปริมาณการค้าในช่วงปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 และหวังให้ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันเพื่อเพิ่มปริมาณทางการค้าและลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกันต่อไป
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวขอการสนับสนุนจากรัฐบาลและเอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ฯ ให้พิจารณานำเข้าข้าวคุณภาพชั้นดีจากไทย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวขอให้เอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ฯ ช่วยเร่งรัดบันทึกความเข้าใจด้านบริการเดินอากาศ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว และบริการ ระหว่างสองประเทศมากยิ่งขึ้น เนื่องจากไทยและฟิลิปปินส์ มีศักยภาพในด้านนี้ โดยขณะนี้ไทยกำลังดำเนินการปรับปรุงท่าเรือ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมทั้งการพิจารณาเพิ่มเที่ยวบินตรงระหว่างประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะนำเรื่องนี้ไปหารือในการประชุมอาเซียนปลายปีนี้ด้วย
ในตอนท้าย นากยรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณไปยังประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ สำหรับการเชิญเยือนฟิลิปปินส์เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำเอเปค ในเดือนพฤศจิกายน 2558 ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีเข้าร่วมการประชุมฯ