ASTVผู้จัดการรายวัน-"บิ๊กตู่"นักหัวโต๊ะประชุม กรอ. เดินหน้า "ประชารัฐ" เอกชนเห็นพ้องรัฐบาลเดินถูกทาง พร้อมร่วมมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มั่นใจไตรมาสสุดท้ายเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวแน่
นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน วานนี้ (7 ต.ค.) ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงการสร้างความร่วมมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ในลักษณะที่เรียกว่า "ประชารัฐ" คือ การร่วมกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ซึ่ง กรอ. จะเป็นผู้จัดทำแผนแม่บทในการพัฒนาเศรษฐกิจ และให้คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนระดับจังหวัด (กรอ.จว.) เป็นผู้ขับเคลื่อนในระดับจังหวัด โดย กรอ.จว. ต้องมีแผนพัฒนาของตนเอง และเชื่อมโยงกับแผนแม่บท
ทั้งนี้ ในการประชุม ภาครัฐยังได้ให้ข้อมูลมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และต้องการความร่วมมือจากภาคเอกชน เช่น การสร้างเส้นทางมอเตอร์เวย์ การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในโครงการต่างๆ และยังมีมาตรการของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มาตรการด้านเขตเศรษฐกิจพิเศษ และมาตรการด้านภาษี รวมไปถึงมาตรการที่กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน ทั้งการช่วยเหลือชาวนา ชาวสวนยาง เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง มาตรการพัฒนาความเป็นอยู่ของผู้มีรายได้น้อย รวมไปถึงมาตรการด้านการให้สินเชื่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี)
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและหอการค้าไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนได้รับทราบงบประมาณที่รัฐบาลใช้ในโครงการต่างๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการ คือ อยากเห็นวิธีการปฏิบัติของการนำงบไปใช้ รวมถึงผลลัพธ์ที่ลงไปในระดับชุมชน และต้องการให้มีความร่วมมือจากภาคเอกชน ซึ่งเอกชนพร้อมที่จะร่วมมือกับภาครัฐในการผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัว
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า งบประมาณที่ภาครัฐใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจของรัฐบาลเป็นอย่างดี และเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
ด้านนายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า สมาคมธนาคารฯ เห็นว่า มาตรการของรัฐบาลจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นในไตรมาสสุดท้าย สิ่งที่ดีมาก คือ รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งจะสามารถเพิ่มความเชื่อมั่นในการลงทุนของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศในระดับที่สูงมากขึ้น
ส่วนมาตรการช่วยเหลือเอสเอมอีในด้านการเงิน ทั้งการปล่อยสินเชื่อ และการให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาดูแล ถือว่า มาถูกทาง ขณะนี้มีการประกันไปแล้วกว่า 2 พันล้านบาท และเชื่อว่าจะทำได้ถึง 1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน แต่ในส่วนของเอสเอมอี จะต้องเข้าสู่ระบบ และจัดทำบัญชีให้ถูกต้อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น
นายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การที่รัฐบาลได้เพิ่มวันหยุดราชการประจำปี 2559 จะส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น และเชื่อว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวของประเทศจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างชาติมีแนวโน้มที่ดีมากขึ้น
นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การที่รัฐบาลพัฒนาเศรษฐกิจผ่านสิ่งที่เรียกว่า "ประชารัฐ" และ "การเข้มแข็งไปพร้อมกัน" ซึ่งนายกฯ ได้ร่วมประชุมกับองค์กรภาคธุรกิจที่เรียกว่า 5 เสือ เชื่อว่าเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ถูกทาง ซึ่งสถานการณ์เศรษฐกิจในโลกขณะนี้ที่ซบเซา ส่งผลให้การส่งออกประสบกับปัญหา สิ่งที่สำคัญคือการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศให้มีความเข้มแข็ง และสิ่งที่ต้องทำต่อมา คือ การสร้างห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) เชื่อมโยงไปสู่การค้าระดับภูมิภาคและระดับโลกต่อไป
นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน วานนี้ (7 ต.ค.) ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงการสร้างความร่วมมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ในลักษณะที่เรียกว่า "ประชารัฐ" คือ การร่วมกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ซึ่ง กรอ. จะเป็นผู้จัดทำแผนแม่บทในการพัฒนาเศรษฐกิจ และให้คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนระดับจังหวัด (กรอ.จว.) เป็นผู้ขับเคลื่อนในระดับจังหวัด โดย กรอ.จว. ต้องมีแผนพัฒนาของตนเอง และเชื่อมโยงกับแผนแม่บท
ทั้งนี้ ในการประชุม ภาครัฐยังได้ให้ข้อมูลมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และต้องการความร่วมมือจากภาคเอกชน เช่น การสร้างเส้นทางมอเตอร์เวย์ การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในโครงการต่างๆ และยังมีมาตรการของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มาตรการด้านเขตเศรษฐกิจพิเศษ และมาตรการด้านภาษี รวมไปถึงมาตรการที่กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน ทั้งการช่วยเหลือชาวนา ชาวสวนยาง เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง มาตรการพัฒนาความเป็นอยู่ของผู้มีรายได้น้อย รวมไปถึงมาตรการด้านการให้สินเชื่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี)
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและหอการค้าไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนได้รับทราบงบประมาณที่รัฐบาลใช้ในโครงการต่างๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการ คือ อยากเห็นวิธีการปฏิบัติของการนำงบไปใช้ รวมถึงผลลัพธ์ที่ลงไปในระดับชุมชน และต้องการให้มีความร่วมมือจากภาคเอกชน ซึ่งเอกชนพร้อมที่จะร่วมมือกับภาครัฐในการผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัว
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า งบประมาณที่ภาครัฐใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจของรัฐบาลเป็นอย่างดี และเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
ด้านนายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า สมาคมธนาคารฯ เห็นว่า มาตรการของรัฐบาลจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นในไตรมาสสุดท้าย สิ่งที่ดีมาก คือ รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งจะสามารถเพิ่มความเชื่อมั่นในการลงทุนของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศในระดับที่สูงมากขึ้น
ส่วนมาตรการช่วยเหลือเอสเอมอีในด้านการเงิน ทั้งการปล่อยสินเชื่อ และการให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาดูแล ถือว่า มาถูกทาง ขณะนี้มีการประกันไปแล้วกว่า 2 พันล้านบาท และเชื่อว่าจะทำได้ถึง 1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน แต่ในส่วนของเอสเอมอี จะต้องเข้าสู่ระบบ และจัดทำบัญชีให้ถูกต้อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น
นายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การที่รัฐบาลได้เพิ่มวันหยุดราชการประจำปี 2559 จะส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น และเชื่อว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวของประเทศจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างชาติมีแนวโน้มที่ดีมากขึ้น
นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การที่รัฐบาลพัฒนาเศรษฐกิจผ่านสิ่งที่เรียกว่า "ประชารัฐ" และ "การเข้มแข็งไปพร้อมกัน" ซึ่งนายกฯ ได้ร่วมประชุมกับองค์กรภาคธุรกิจที่เรียกว่า 5 เสือ เชื่อว่าเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ถูกทาง ซึ่งสถานการณ์เศรษฐกิจในโลกขณะนี้ที่ซบเซา ส่งผลให้การส่งออกประสบกับปัญหา สิ่งที่สำคัญคือการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศให้มีความเข้มแข็ง และสิ่งที่ต้องทำต่อมา คือ การสร้างห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) เชื่อมโยงไปสู่การค้าระดับภูมิภาคและระดับโลกต่อไป
