ปลายทางของคดี คงจะไปถึงศาลแน่ เนื่องจากข้อมูล-ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ประจักษ์ชัดต่อคนทั้งประเทศถึงความเสียหายของโครงการรับจำนำข้าว โดยเฉพาะเงื่อนงำการส่งออกข้าวแบบจีทูจี ตามสำนวนคดีที่มีการฟ้อง บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ต่อศาลฎีกาฯ ตามสำนวนซึ่งป.ป.ช.นำไปแถลงต่อที่ประชุมสนช.มันเห็นชัดว่า ผิดปกติและมีเงื่อนงำในการส่งออกข้าวอย่างชัดเจน ดังนั้น มันก็ต้องมีคนรับผิดชอบทางแพ่ง
มีเรื่องสำคัญที่ต้องจับตาคือ การพิจารณาผลสรุปความเห็นของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและกำหนดค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวของกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้สรุปมูลค่าความเสียหายเพื่อให้มีการฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งเรียบร้อยแล้ว เมื่อช่วงสิ้นเดือนก.ย.ที่ผ่านมา
โดยตามขั้นตอนนั้น คณะกรรมการชุดดังกล่าว จะส่งผลสรุปให้กับรัฐมนตรีต้นสังกัด ที่ก็คือ รมว.คลัง และรมว.พาณิชย์ จากนั้นก็จะส่งต่อไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อได้รับเอกสารแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จะประชุมร่วมกันระหว่าง รมว.การคลัง และรมว.พาณิชย์ ซึ่งหากที่ประชุมมีมติให้สอบเพิ่มเติม ก็จะส่งกลับมาที่คณะกรรมการสอบเท็จจริงของ 2 กระทรวงอีกครั้ง แต่หากเห็นว่าข้อมูลเพียงพอแล้ว จะส่งเรื่องให้คณะกรรมการรับผิดทางแพ่ง ที่มีอธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นประธานพิจารณา โดยไม่มีกรอบระยะเวลา
หากคณะกรรมการชุดดังกล่าวเห็นด้วยกับคณะกรรมการของ 2 กระทรวง ก็จะส่งกลับมาให้พล.อ.ประยุทธ์ ลงนามออกคำสั่งทางปกครองเรียกให้รับผิดทางแพ่งต่อไป ซึ่งขั้นตอนดังกล่าว รัฐบาลตีเส้นไว้ว่า จะเสร็จสิ้นในปีนี้ เพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องอายุความ
อย่างไรก็ตาม ดูแล้วปลายทางของคดี คงจะไปถึงศาลแน่ เนื่องจากข้อมูล-ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ประจักษ์ชัดต่อคนทั้งประเทศถึงความเสียหายของโครงการรับจำนำข้าว โดยเฉพาะเงื่อนงำการส่งออกข้าวแบบจีทูจี ตามสำนวนคดีที่มีการฟ้อง บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ต่อศาลฎีกาฯ ตามสำนวนซึ่งป.ป.ช.นำไปแถลงต่อที่ประชุมสนช. มันเห็นชัดว่า ผิดปกติ และมีเงื่อนงำในการส่งออกข้าวอย่างชัดเจน ดังนั้น มันก็ต้องมีคนรับผิดชอบทางแพ่งด้วย ไม่ใช่แค่กับคดีอาญาเท่านั้น ถือเป็นเรื่องปกติของการดำเนินคดี เรื่องนี้ไม่ใช่การกลั่นแกล้งกล่าวหาทางการเมืองกันแน่นอน
และคงยากที่รัฐบาลคสช. จะดึงเรื่องไว้เพื่อให้เป็นเรื่องรัฐบาลหน้ามาดำเนินการ ไม่เช่นนั้น คงโดนถล่มเละ
เพราะก่อนหน้านี้แค่ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีออกมาพูดว่า เกรงจะต้องใช้เงินจำนวนมากไปวางต่อศาล หากมีการฟ้องร้องคดีเรียกค่าเสียหายจำนวนนับแสนล้านบาท ก็เลยโดนจวกเสียเละ เสียเชิงมือกฎหมายรัฐบาล กับการคิดไม่ออกว่า ถึงต้องใช้เงินจำนวนมากไปวางที่ศาล แต่ก็เป็นการนำเงินหลวงไปวางไว้กับศาล ที่ก็เป็นหน่วยงานรัฐ ยังไงก็เป็นฝ่ายรัฐด้วยกัน ไม่เห็นจะต้องไปเสียดายตรงไหน เข้าทำนองโยกเงินจากกระเป๋าซ้ายมากระเป๋าขวา
หลังจากนั้น วิษณุ ก็ไม่พูดประเด็นนี้อีกเลย เพราะเกรงจะถูกมองว่ารัฐบาลส่อยื้อคดีฟ้องแพ่ง
ประเด็นของเรื่อง จึงต้องดูแล้วว่าตัวเลขที่ภาครัฐจะเคาะออกมาว่าต้องฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการบริหารนโยบายที่ผิดพลาดในโครงการรับจำนำข้าวจะเคาะออกมาที่ตัวเลข กี่แสนล้านบาท
หลังจากก่อนหน้านี้ คณะกรรมการป.ป.ช. เคยแถลงไว้เมื่อหลายเดือนก่อนว่า โครงการรับจำนำข้าวมีความเสียหายไม่ต่ำกว่า 6 แสนล้านบาท และส่งตัวเลขนี้ไปให้กระทรวงการคลังพิจารณา แต่ต่อมาเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวว่า คณะกรรมการที่พิจารณาเรื่องนี้ของกระทรวงการคลัง เคาะออกมาว่า อยู่ที่ระดับประมาณ 5 แสนล้านบาท แต่ วิษณุ เครืองาม บอกว่าตัวเลข 5 แสนล้านบาท ยังไม่ใช่ตัวเลขที่เคาะออกมาอย่างเป็นทางการ ก็อยู่ที่รัฐบาลและพล.อ.ประยุทธ์ แล้วว่า จะเคาะตัวเลขค่าเสียหายออกมาเท่าใด แต่เมื่อมีฐานตัวเลขที่ ป.ป.ช.เคยแถลงไว้ที่ 6 แสนล้านบาท หากรัฐบาลเคาะออกมาต่ำกว่ามากเกินควร โดยไม่มีเหตุผลรองรับ ก็คงต้องให้ผู้เกี่ยวข้องออกมาแจงเหตุผลให้ชัดเจนด้วย
ในระหว่างที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รอลุ้นไปว่ารัฐบาลจะยื่นฟ้องคดีเพื่อเรียกค่าเสียหายเท่าใด และยื่นช่วงไหน ที่คาดว่าคงอีกสักระยะถึงรู้คำตอบ แต่ที่รอลุ้นก่อนก็คือรอฟังว่าในสัปดาห์หน้า ศาลอาญาจะประทับรับฟ้องคดีที่ เธอเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ตระกูล วินิจนัยภาค อดีตอัยการสูงสุด , ชุติชัย สาขากร อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ, สุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน และ กิตินันท์ ธัชประมุข รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และร่วมกันกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามมาตรา 200 ประกอบ มาตรา 83 และ มาตรา 91 เนื่องจากจำเลยทั้งหมด เป็นคณะทำงานพิจารณาคดีและมีความเห็นสั่งฟ้อง ยิ่งลักษณ์ ในคดีโครงการรับจำนำข้าว หลังยิ่งลักษณ์ เดินทางไปยื่นฟ้องคดีด้วยตัวเองเมื่อ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา และศาลได้นัดฟังคำสั่งในต้นสัปดาห์หน้านี้
ศาลจะรับฟ้องคดีหรือไม่ ยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ"ตระกูล-อดีต อสส." ที่ตอนนี้ไปเป็นอัยการอาวุโสแล้ว ไม่หนักใจเลยแม้แต่น้อย ดูได้จาก ที่ อดีต อสส. สื่อสารผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ในวันสุดท้ายของการทำหน้าที่อัยการสูงสุด ที่ได้โพสต์รูปภาพ และข้อความข่าวที่ ยิ่งลักษณ์เดินทางมาฟ้องคดีที่ศาลอาญาว่า
"คุณพ่อสอนผมไว้ว่า รับราชการต้องอดทนอดกลั้น ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อแทนคุณแผ่นดิน คดี"จำนำข้าว"ผมต้องทำตามหน้าที่…ครับถือเป็นการแสดงออกของอดีตผู้นำทนายแผ่นดิน ซึ่งปกติเป็นคนเก็บตัวมาก แทบไม่เคยให้สัมภาษณ์สื่อใดๆ มากนัก ตลอดช่วงหนึ่งปีกว่า หลังมารับตำแหน่งอัยการสูงสุด แทน อรรถพล ใหญ่สว่าง ที่โดน คสช.สั่งเด้งเข้ากรุ แต่การออกมาปักหลักพร้อมสู้คดีกับอดีตนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ถือเป็น คู่ชก ที่สมศักดิ์ศรี อย่างยิ่ง
มีเรื่องสำคัญที่ต้องจับตาคือ การพิจารณาผลสรุปความเห็นของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและกำหนดค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวของกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้สรุปมูลค่าความเสียหายเพื่อให้มีการฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งเรียบร้อยแล้ว เมื่อช่วงสิ้นเดือนก.ย.ที่ผ่านมา
โดยตามขั้นตอนนั้น คณะกรรมการชุดดังกล่าว จะส่งผลสรุปให้กับรัฐมนตรีต้นสังกัด ที่ก็คือ รมว.คลัง และรมว.พาณิชย์ จากนั้นก็จะส่งต่อไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อได้รับเอกสารแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จะประชุมร่วมกันระหว่าง รมว.การคลัง และรมว.พาณิชย์ ซึ่งหากที่ประชุมมีมติให้สอบเพิ่มเติม ก็จะส่งกลับมาที่คณะกรรมการสอบเท็จจริงของ 2 กระทรวงอีกครั้ง แต่หากเห็นว่าข้อมูลเพียงพอแล้ว จะส่งเรื่องให้คณะกรรมการรับผิดทางแพ่ง ที่มีอธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นประธานพิจารณา โดยไม่มีกรอบระยะเวลา
หากคณะกรรมการชุดดังกล่าวเห็นด้วยกับคณะกรรมการของ 2 กระทรวง ก็จะส่งกลับมาให้พล.อ.ประยุทธ์ ลงนามออกคำสั่งทางปกครองเรียกให้รับผิดทางแพ่งต่อไป ซึ่งขั้นตอนดังกล่าว รัฐบาลตีเส้นไว้ว่า จะเสร็จสิ้นในปีนี้ เพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องอายุความ
อย่างไรก็ตาม ดูแล้วปลายทางของคดี คงจะไปถึงศาลแน่ เนื่องจากข้อมูล-ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ประจักษ์ชัดต่อคนทั้งประเทศถึงความเสียหายของโครงการรับจำนำข้าว โดยเฉพาะเงื่อนงำการส่งออกข้าวแบบจีทูจี ตามสำนวนคดีที่มีการฟ้อง บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ต่อศาลฎีกาฯ ตามสำนวนซึ่งป.ป.ช.นำไปแถลงต่อที่ประชุมสนช. มันเห็นชัดว่า ผิดปกติ และมีเงื่อนงำในการส่งออกข้าวอย่างชัดเจน ดังนั้น มันก็ต้องมีคนรับผิดชอบทางแพ่งด้วย ไม่ใช่แค่กับคดีอาญาเท่านั้น ถือเป็นเรื่องปกติของการดำเนินคดี เรื่องนี้ไม่ใช่การกลั่นแกล้งกล่าวหาทางการเมืองกันแน่นอน
และคงยากที่รัฐบาลคสช. จะดึงเรื่องไว้เพื่อให้เป็นเรื่องรัฐบาลหน้ามาดำเนินการ ไม่เช่นนั้น คงโดนถล่มเละ
เพราะก่อนหน้านี้แค่ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีออกมาพูดว่า เกรงจะต้องใช้เงินจำนวนมากไปวางต่อศาล หากมีการฟ้องร้องคดีเรียกค่าเสียหายจำนวนนับแสนล้านบาท ก็เลยโดนจวกเสียเละ เสียเชิงมือกฎหมายรัฐบาล กับการคิดไม่ออกว่า ถึงต้องใช้เงินจำนวนมากไปวางที่ศาล แต่ก็เป็นการนำเงินหลวงไปวางไว้กับศาล ที่ก็เป็นหน่วยงานรัฐ ยังไงก็เป็นฝ่ายรัฐด้วยกัน ไม่เห็นจะต้องไปเสียดายตรงไหน เข้าทำนองโยกเงินจากกระเป๋าซ้ายมากระเป๋าขวา
หลังจากนั้น วิษณุ ก็ไม่พูดประเด็นนี้อีกเลย เพราะเกรงจะถูกมองว่ารัฐบาลส่อยื้อคดีฟ้องแพ่ง
ประเด็นของเรื่อง จึงต้องดูแล้วว่าตัวเลขที่ภาครัฐจะเคาะออกมาว่าต้องฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการบริหารนโยบายที่ผิดพลาดในโครงการรับจำนำข้าวจะเคาะออกมาที่ตัวเลข กี่แสนล้านบาท
หลังจากก่อนหน้านี้ คณะกรรมการป.ป.ช. เคยแถลงไว้เมื่อหลายเดือนก่อนว่า โครงการรับจำนำข้าวมีความเสียหายไม่ต่ำกว่า 6 แสนล้านบาท และส่งตัวเลขนี้ไปให้กระทรวงการคลังพิจารณา แต่ต่อมาเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวว่า คณะกรรมการที่พิจารณาเรื่องนี้ของกระทรวงการคลัง เคาะออกมาว่า อยู่ที่ระดับประมาณ 5 แสนล้านบาท แต่ วิษณุ เครืองาม บอกว่าตัวเลข 5 แสนล้านบาท ยังไม่ใช่ตัวเลขที่เคาะออกมาอย่างเป็นทางการ ก็อยู่ที่รัฐบาลและพล.อ.ประยุทธ์ แล้วว่า จะเคาะตัวเลขค่าเสียหายออกมาเท่าใด แต่เมื่อมีฐานตัวเลขที่ ป.ป.ช.เคยแถลงไว้ที่ 6 แสนล้านบาท หากรัฐบาลเคาะออกมาต่ำกว่ามากเกินควร โดยไม่มีเหตุผลรองรับ ก็คงต้องให้ผู้เกี่ยวข้องออกมาแจงเหตุผลให้ชัดเจนด้วย
ในระหว่างที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รอลุ้นไปว่ารัฐบาลจะยื่นฟ้องคดีเพื่อเรียกค่าเสียหายเท่าใด และยื่นช่วงไหน ที่คาดว่าคงอีกสักระยะถึงรู้คำตอบ แต่ที่รอลุ้นก่อนก็คือรอฟังว่าในสัปดาห์หน้า ศาลอาญาจะประทับรับฟ้องคดีที่ เธอเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ตระกูล วินิจนัยภาค อดีตอัยการสูงสุด , ชุติชัย สาขากร อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ, สุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน และ กิตินันท์ ธัชประมุข รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และร่วมกันกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามมาตรา 200 ประกอบ มาตรา 83 และ มาตรา 91 เนื่องจากจำเลยทั้งหมด เป็นคณะทำงานพิจารณาคดีและมีความเห็นสั่งฟ้อง ยิ่งลักษณ์ ในคดีโครงการรับจำนำข้าว หลังยิ่งลักษณ์ เดินทางไปยื่นฟ้องคดีด้วยตัวเองเมื่อ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา และศาลได้นัดฟังคำสั่งในต้นสัปดาห์หน้านี้
ศาลจะรับฟ้องคดีหรือไม่ ยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ"ตระกูล-อดีต อสส." ที่ตอนนี้ไปเป็นอัยการอาวุโสแล้ว ไม่หนักใจเลยแม้แต่น้อย ดูได้จาก ที่ อดีต อสส. สื่อสารผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ในวันสุดท้ายของการทำหน้าที่อัยการสูงสุด ที่ได้โพสต์รูปภาพ และข้อความข่าวที่ ยิ่งลักษณ์เดินทางมาฟ้องคดีที่ศาลอาญาว่า
"คุณพ่อสอนผมไว้ว่า รับราชการต้องอดทนอดกลั้น ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อแทนคุณแผ่นดิน คดี"จำนำข้าว"ผมต้องทำตามหน้าที่…ครับถือเป็นการแสดงออกของอดีตผู้นำทนายแผ่นดิน ซึ่งปกติเป็นคนเก็บตัวมาก แทบไม่เคยให้สัมภาษณ์สื่อใดๆ มากนัก ตลอดช่วงหนึ่งปีกว่า หลังมารับตำแหน่งอัยการสูงสุด แทน อรรถพล ใหญ่สว่าง ที่โดน คสช.สั่งเด้งเข้ากรุ แต่การออกมาปักหลักพร้อมสู้คดีกับอดีตนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ถือเป็น คู่ชก ที่สมศักดิ์ศรี อย่างยิ่ง