วานนี้ (29ก.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการหารือกับ นายรอล์ฟ-ดีเตอร์ ดาเนียล นายกสมาคมการค้ายูโรเปียนเพื่อธุรกิจและการพาณิชย์ว่า ทางสมาคมหอการค้ายุโรป ยืนยันว่าให้ความสำคัญกับประเทศไทยในทุกๆด้าน รวมถึงให้ความร่วมมือตามขีดความสามารถของสมาคม โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีของยุโรปที่ได้นำมาใช้ และพัฒนาในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการขนส่ง ทางน้ำ ทางอากาศและทางบก รวมถึงระบบขนส่งทางราง ซึ่งทางสมาคมฯ อยากให้มีการพูดคุยอย่างต่อเนื่อง และตั้งคณะทำงานร่วมกันโดยทางสมาคมฯ พร้อมให้การช่วยเหลือในการพัฒนาบุคคลากรที่เกี่ยวกับระบบการควบคุมการเดินรถ โดยใช้เทคโยโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
พล.อ.อ.ประจิน ยังกล่าวถึงแนวทางการตั้งทางออกอินเทอร์เนตทางออกทางเดียวทั้งประเทศ หรือ Single Gatewayว่าเบื้องต้น ขณะนี้กระทรวงไอซีที ได้มีการตั้งคณะทำงานศึกษากรณีดังกล่าวใน 2 ส่วน คือ การที่ให้กระทรวงไอซีที และให้ทางบริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ศึกษาถึงความเป็นไปได้ เนื่องจากมีข้อมูลฐานเข้าออกจำนวนมาก และอาจจะเป็นภาระในการลงทุน หากจะทำเบนวิดธ์ ให้ใหญ่ขึ้น และมีคนใช้บริการมากขึ้น ซึ่งในส่วนนี้รัฐจะเข้ามาดูแลและทำให้บริการดีขึ้นเพื่อลดค่าใช้จ่าย
ทั้งนี้ นิยามของ Single Gatewayอาจจะมีความคาดเคลื่อนจนนำมาสู่การเข้าใจผิดว่า รัฐจะเข้ามาควบคุมข้อมูล และยืนยันว่า ยังไม่มีการพูดคุยถึงขั้นนั้น พร้อมขออย่าพึ่งคัดค้านการดำเนินการ Single Gateway หากยังไม่เข้าใจ ก็ขอให้ลองศึกษารับฟังความคิดเห็นและปรับรูปแบบให้มีการสอดคล้อง
อย่างไรก็ตาม คงเป็นไปไม่ได้ที่การใช้ Single Gateway ที่เกิดข้อผิดพลาด และกระทบต่อระบบอินเทอร์เนตทั้งประเทศ เพราะ Single Gatewayเป็นทางที่จะมีคนมากำกับดูแลเพื่อให้ผู้ใช้บริการทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันโดยคาดว่าในปีนี้จะได้ความชัดเจน
นอกจากนี้ พล.อ.อ.ประจิน ยังกล่าวถึงกรณีสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมหรือ กสทช. จะนำคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิร์ต ที่อยู่ในการใช้งานของทีโอที ที่จะหมดอายุสัญญาสัมปทานในวันที่ 30ก.ย.นี้ว่า กรณีดังกล่าวกระทรวงไอซีที เป็นผู้ประสานงานหลัก ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีความห่วงใย อยากให้ทีโอทีทำภารกิจต่อ เพราะทีโอทีอยุ่คู่กับคนไทยมานาน และมีบุคลากรกว่า 2 หมื่นคน จึงพยายามทำให้ทีโอทีไม่ล้ม แต่อยากให้ดำเนินการตามกติกากฎหมายด้วยโดยมอบหมายให้ตน และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมายดำเนินการให้ทั้ง 2 อย่างนี้ เดินควบคู่กันไป คือไม่ทำให้ทีโอทีไม่ล้ม และกฎหมายไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวจะมีการหารือร่วมกันกับ กสทช. ในวันที่30 ก.ย. ว่า จะยุติหรือให้ดำเนินการต่อของคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิร์ต และจะมีความชัดเจนในวันที่1 ต.ค.นี้
พล.อ.อ.ประจิน ยังกล่าวถึงแนวทางการตั้งทางออกอินเทอร์เนตทางออกทางเดียวทั้งประเทศ หรือ Single Gatewayว่าเบื้องต้น ขณะนี้กระทรวงไอซีที ได้มีการตั้งคณะทำงานศึกษากรณีดังกล่าวใน 2 ส่วน คือ การที่ให้กระทรวงไอซีที และให้ทางบริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ศึกษาถึงความเป็นไปได้ เนื่องจากมีข้อมูลฐานเข้าออกจำนวนมาก และอาจจะเป็นภาระในการลงทุน หากจะทำเบนวิดธ์ ให้ใหญ่ขึ้น และมีคนใช้บริการมากขึ้น ซึ่งในส่วนนี้รัฐจะเข้ามาดูแลและทำให้บริการดีขึ้นเพื่อลดค่าใช้จ่าย
ทั้งนี้ นิยามของ Single Gatewayอาจจะมีความคาดเคลื่อนจนนำมาสู่การเข้าใจผิดว่า รัฐจะเข้ามาควบคุมข้อมูล และยืนยันว่า ยังไม่มีการพูดคุยถึงขั้นนั้น พร้อมขออย่าพึ่งคัดค้านการดำเนินการ Single Gateway หากยังไม่เข้าใจ ก็ขอให้ลองศึกษารับฟังความคิดเห็นและปรับรูปแบบให้มีการสอดคล้อง
อย่างไรก็ตาม คงเป็นไปไม่ได้ที่การใช้ Single Gateway ที่เกิดข้อผิดพลาด และกระทบต่อระบบอินเทอร์เนตทั้งประเทศ เพราะ Single Gatewayเป็นทางที่จะมีคนมากำกับดูแลเพื่อให้ผู้ใช้บริการทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันโดยคาดว่าในปีนี้จะได้ความชัดเจน
นอกจากนี้ พล.อ.อ.ประจิน ยังกล่าวถึงกรณีสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมหรือ กสทช. จะนำคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิร์ต ที่อยู่ในการใช้งานของทีโอที ที่จะหมดอายุสัญญาสัมปทานในวันที่ 30ก.ย.นี้ว่า กรณีดังกล่าวกระทรวงไอซีที เป็นผู้ประสานงานหลัก ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีความห่วงใย อยากให้ทีโอทีทำภารกิจต่อ เพราะทีโอทีอยุ่คู่กับคนไทยมานาน และมีบุคลากรกว่า 2 หมื่นคน จึงพยายามทำให้ทีโอทีไม่ล้ม แต่อยากให้ดำเนินการตามกติกากฎหมายด้วยโดยมอบหมายให้ตน และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมายดำเนินการให้ทั้ง 2 อย่างนี้ เดินควบคู่กันไป คือไม่ทำให้ทีโอทีไม่ล้ม และกฎหมายไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวจะมีการหารือร่วมกันกับ กสทช. ในวันที่30 ก.ย. ว่า จะยุติหรือให้ดำเนินการต่อของคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิร์ต และจะมีความชัดเจนในวันที่1 ต.ค.นี้
