วานนี้ (22 ก.ย.58) พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เปิดเผยคำชี้แจงของ พล.อ.อักษรา เกิดผล หน.คณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า ตลอดห้วงระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทย ได้พยายามแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยได้ใช้กำลังทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือน พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมาก ใช้มาตรการทางกฎหมาย ใช้การปฏิบัติการทางทหาร และงานมวลชนทุกรูปแบบ เพื่อยุติเหตุความรุนแรงในพื้นที่ แต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ สาเหตุเป็นเพราะกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ยังคง "มีขีดความสามารถ" และยังดำรงความเป็น"ฝ่ายริเริ่ม" ในการปฏิบัติการก่อเหตุในทุกโอกาส และบีบบังคับให้เจ้าหน้าที่ ต้องกลับมาเป็นฝ่ายรับ และสร้างความสูญเสียต่อชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์
ดังนั้น คณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงได้เริ่มต้นติดต่อพูดคุยกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ให้เข้ามาร่วมบนโต๊ะพูดคุยโดยให้เหตุผลว่า ความรุนแรงจะไม่เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายใด นอกจากนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงทุกครั้ง ทำให้รัฐบาลไทยจำเป็นต้องเพิ่มกำลังพล และยุทโธปกรณ์ รวมทั้งความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติการปิดล้อม ตรวจค้น จับกุม มากขึ้น ซึ่งจะไม่เกิดผลดีต่อฝ่ายใด และชี้ให้เห็นว่าการพูดคุย คือ ทางออกที่ดีที่สุดของทุกฝ่าย ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากกลุ่มผู้เห็นต่างฯ ที่พยายามรวมตัวกันทั้ง 6 กลุ่ม เข้ามาร่วมพูดคุยแบบเต็มคณะอย่างไม่เป็นทางการ จนถึงปัจจุบันรวม 3 ครั้ง
หัวหน้าคณะพูดคุยฯ ขอเรียนว่ารัฐบาลได้พยายามแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยฝ่ายเดียวมาตลอด จนถึงบัดนี้ได้มีกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐได้เข้ามา“ร่วมมือ”กับรัฐ ในการช่วยกันแก้ไขปัญหา โดยมีภาคประชาชนจับตามอง และให้การสนับสนุน จึงนับว่าเป็นผลดีต่อการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นความสำเร็จที่สำคัญ แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่ยังมีคนคิดแบบเก่า ไม่เชื่อมั่นในกระบวนการพูดคุย ยังคิดว่าเป็นการยกระดับองค์กร เพื่อนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายในปัจจุบัน เพราะมีภาคประชาชนคอยสังเกตตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา และในอนาคตเชื่อว่า จะไม่มีเฉพาะ Party A และ B ที่คุยกันเท่านั้น แต่จะมีภาคประชาชนเข้ามาร่วมพูดคุย และเป็นผู้กำหนด Road Map ในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยั่งยืนต่อไป เพียงแต่ในขั้นตอนแรกคณะพูดคุยฯ จำเป็นต้องสร้างความไว้วางใจและความร่วมมือกับกลุ่มผู้เห็นต่างฯ ให้เกิดขึ้นก่อน และความร่วมมือดังกล่าวจะส่งผลให้ความรุนแรงในพื้นที่ลดลงมาโดยลำดับ
สำหรับการพูดคุยเพื่อสันติสุข ที่คณะพูดคุยฯ ดำเนินการอยู่นั้น เป็นการพูดคุยเพื่อ “ลดความตั้งใจ”(Intention)ในการใช้ความรุนแรงของผู้เห็นต่างจากรัฐทุกกลุ่ม แล้วหันมาใช้ขีดความสามารถที่มีอยู่ในทาง“สันติวิธี”มากกว่าการใช้ขีดความสามารถสร้างความรุนแรงในการก่อเหตุเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งจะแตกต่างจากเดิมที่เข้าใจว่า ต้องเจรจาต่อรองตกลงกันก่อนว่า ฝ่ายหนึ่งจะได้อะไร อีกฝ่ายจะได้อะไร และต้องการอะไร เพราะวิธีคิดแบบโบราณนั้น จะนำมาซึ่งความได้เปรียบกันในเวทีพูดคุย โดยเป็นการชิงไหวชิงพริบกัน และสร้างความหวาดระแวงมากกว่าความไว้วางใจ ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่คณะพูดคุยฯ กำลังดำเนินการอยู่ คือ สร้างความไว้วางใจเพื่อแสวงหา“ความร่วมมือ”ในการแก้ปัญหาความรุนแรงร่วมกันโดยพยายามชี้ให้เห็นว่า หากใช้ความรุนแรงต่อไปก็จะไม่มีฝ่ายใดได้รับชัยชนะเด็ดขาดแม้เวลาจะผ่านไปอีกหลายสิบปี แต่สิ่งที่เสียหายคือ บ้านเมือง ประเทศชาติ และความสูญเสียของพี่น้องประชาชน รวมทั้งอนาคตที่มืดมนของบุตรหลาน และไม่มีฝ่ายใดได้ประโยชน์อะไรเลย ดังนั้นการพูดคุยเพื่อให้เกิดความร่วมมือต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญว่า เราจะเริ่มต้นร่วมมือกันอย่างไร ในเรื่องอะไร ทั้งเรื่องความปลอดภัย การพัฒนา และความยุติธรรมที่เท่าเทียมกัน
กล่าวโดยสรุป ในปัจจุบันคณะพูดคุยฯ ได้จัดตั้งคณะทำงานในแต่ละเรื่องแล้ว เพื่อจัดทำร่างชุดความคิด (Package) กระบวนการยุติธรรม แบ่งกลุ่มประเภทแยกความผิดแต่ละกรณี และกำหนดแนวทางดำเนินการผ่อนผันตามกรอบของกฎหมายไทย เพื่อให้กลุ่มผู้เห็นต่างฯได้เลือกให้ตรงความต้องการของแต่ละกลุ่ม หรือเป็นบุคคล สำหรับเรื่องการพัฒนา และเรื่องพื้นที่ปลอดภัยก็เช่นเดียวกัน ได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อกำหนดเป็นชุดความคิดของการพัฒนาในเรื่องสำคัญเร่งด่วนแต่ละเรื่องให้ตรงใจกับพี่น้องประชาชน และพื้นที่ปลอดภัยทั้งในชุมชนเขตเมือง ชนบทป่าเขา เส้นทางสัญจร และพื้นที่ชายแดนว่า จะเริ่มพื้นที่ใดก่อน ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ หรือจังหวัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถ และความพร้อมของฝ่ายรัฐ รวมทั้งความร่วมมือของกลุ่มผู้เห็นต่างฯ ที่ต้องร่วมกันกำหนด และเลือกวิธีการที่เหมาะสมต่อไป
ดังนั้น คณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงได้เริ่มต้นติดต่อพูดคุยกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ให้เข้ามาร่วมบนโต๊ะพูดคุยโดยให้เหตุผลว่า ความรุนแรงจะไม่เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายใด นอกจากนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงทุกครั้ง ทำให้รัฐบาลไทยจำเป็นต้องเพิ่มกำลังพล และยุทโธปกรณ์ รวมทั้งความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติการปิดล้อม ตรวจค้น จับกุม มากขึ้น ซึ่งจะไม่เกิดผลดีต่อฝ่ายใด และชี้ให้เห็นว่าการพูดคุย คือ ทางออกที่ดีที่สุดของทุกฝ่าย ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากกลุ่มผู้เห็นต่างฯ ที่พยายามรวมตัวกันทั้ง 6 กลุ่ม เข้ามาร่วมพูดคุยแบบเต็มคณะอย่างไม่เป็นทางการ จนถึงปัจจุบันรวม 3 ครั้ง
หัวหน้าคณะพูดคุยฯ ขอเรียนว่ารัฐบาลได้พยายามแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยฝ่ายเดียวมาตลอด จนถึงบัดนี้ได้มีกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐได้เข้ามา“ร่วมมือ”กับรัฐ ในการช่วยกันแก้ไขปัญหา โดยมีภาคประชาชนจับตามอง และให้การสนับสนุน จึงนับว่าเป็นผลดีต่อการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นความสำเร็จที่สำคัญ แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่ยังมีคนคิดแบบเก่า ไม่เชื่อมั่นในกระบวนการพูดคุย ยังคิดว่าเป็นการยกระดับองค์กร เพื่อนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายในปัจจุบัน เพราะมีภาคประชาชนคอยสังเกตตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา และในอนาคตเชื่อว่า จะไม่มีเฉพาะ Party A และ B ที่คุยกันเท่านั้น แต่จะมีภาคประชาชนเข้ามาร่วมพูดคุย และเป็นผู้กำหนด Road Map ในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยั่งยืนต่อไป เพียงแต่ในขั้นตอนแรกคณะพูดคุยฯ จำเป็นต้องสร้างความไว้วางใจและความร่วมมือกับกลุ่มผู้เห็นต่างฯ ให้เกิดขึ้นก่อน และความร่วมมือดังกล่าวจะส่งผลให้ความรุนแรงในพื้นที่ลดลงมาโดยลำดับ
สำหรับการพูดคุยเพื่อสันติสุข ที่คณะพูดคุยฯ ดำเนินการอยู่นั้น เป็นการพูดคุยเพื่อ “ลดความตั้งใจ”(Intention)ในการใช้ความรุนแรงของผู้เห็นต่างจากรัฐทุกกลุ่ม แล้วหันมาใช้ขีดความสามารถที่มีอยู่ในทาง“สันติวิธี”มากกว่าการใช้ขีดความสามารถสร้างความรุนแรงในการก่อเหตุเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งจะแตกต่างจากเดิมที่เข้าใจว่า ต้องเจรจาต่อรองตกลงกันก่อนว่า ฝ่ายหนึ่งจะได้อะไร อีกฝ่ายจะได้อะไร และต้องการอะไร เพราะวิธีคิดแบบโบราณนั้น จะนำมาซึ่งความได้เปรียบกันในเวทีพูดคุย โดยเป็นการชิงไหวชิงพริบกัน และสร้างความหวาดระแวงมากกว่าความไว้วางใจ ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่คณะพูดคุยฯ กำลังดำเนินการอยู่ คือ สร้างความไว้วางใจเพื่อแสวงหา“ความร่วมมือ”ในการแก้ปัญหาความรุนแรงร่วมกันโดยพยายามชี้ให้เห็นว่า หากใช้ความรุนแรงต่อไปก็จะไม่มีฝ่ายใดได้รับชัยชนะเด็ดขาดแม้เวลาจะผ่านไปอีกหลายสิบปี แต่สิ่งที่เสียหายคือ บ้านเมือง ประเทศชาติ และความสูญเสียของพี่น้องประชาชน รวมทั้งอนาคตที่มืดมนของบุตรหลาน และไม่มีฝ่ายใดได้ประโยชน์อะไรเลย ดังนั้นการพูดคุยเพื่อให้เกิดความร่วมมือต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญว่า เราจะเริ่มต้นร่วมมือกันอย่างไร ในเรื่องอะไร ทั้งเรื่องความปลอดภัย การพัฒนา และความยุติธรรมที่เท่าเทียมกัน
กล่าวโดยสรุป ในปัจจุบันคณะพูดคุยฯ ได้จัดตั้งคณะทำงานในแต่ละเรื่องแล้ว เพื่อจัดทำร่างชุดความคิด (Package) กระบวนการยุติธรรม แบ่งกลุ่มประเภทแยกความผิดแต่ละกรณี และกำหนดแนวทางดำเนินการผ่อนผันตามกรอบของกฎหมายไทย เพื่อให้กลุ่มผู้เห็นต่างฯได้เลือกให้ตรงความต้องการของแต่ละกลุ่ม หรือเป็นบุคคล สำหรับเรื่องการพัฒนา และเรื่องพื้นที่ปลอดภัยก็เช่นเดียวกัน ได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อกำหนดเป็นชุดความคิดของการพัฒนาในเรื่องสำคัญเร่งด่วนแต่ละเรื่องให้ตรงใจกับพี่น้องประชาชน และพื้นที่ปลอดภัยทั้งในชุมชนเขตเมือง ชนบทป่าเขา เส้นทางสัญจร และพื้นที่ชายแดนว่า จะเริ่มพื้นที่ใดก่อน ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ หรือจังหวัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถ และความพร้อมของฝ่ายรัฐ รวมทั้งความร่วมมือของกลุ่มผู้เห็นต่างฯ ที่ต้องร่วมกันกำหนด และเลือกวิธีการที่เหมาะสมต่อไป