เมื่อวานนี้ (20 ก.ย.) นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส กล่าวภายในงานเวทีจุดประกาย "สานพลังประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก" ที่อิมแพค เมืองทองธานี ว่า วันนี้เป็นวันฤกษ์ดีที่คนไทยมารวมตัวกัน เป็นวันประวัติศาสตร์เพื่อดึงประเทศไทยให้ออกจากวิกฤตการณ์ และไม่สามารถออกจากหลุมได้ ซึ่งหลุมดำวิกฤตประเทศไทยมี 6 ประการ คือ 1. การเมือง 2. เศรษฐกิจ 3. สังคม 4. สิ่งแวดล้อม 5. ศีลธรรม และ 6. การพัฒนาคุณภาพคน
วิกฤตการณ์ทั้ง 6 อย่างนี้ มีความเชื่อมโยงกัน จนทำให้เกิดหลุมดำใหญ่ และประเทศไทยไม่สามารถหลุดออกจากตรงนี้ได้ ไม่มีรัฐบาลใดสามารถนำประเทศหลุดออกจากวิกฤตการณ์ตรงนี้ได้โดยลำพัง และเกิดสภาพคนเหมือนไก่ จิกตีกันจนเลือดตกยางออก
ดังนั้นเราต้องมีหลักคิดในกระบวนทัศน์ใหม่ เพื่อพัฒนาประเทศ เพราะกระบวนทัศน์เก่าไม่สามารถใช้ได้ เนื่องจากเป็นกระบวนทัศน์เก่า ทำจากบนลงล่าง โดยยึดรูปแบบเจดีย์ โดยที่ผ่านมา อย่างเรื่องเศรษฐกิจ ก็จะทำตั้งแต่ด้านบน การศึกษา การเมือง โครงสร้างทั้งพระเจดีย์ ปิรามิด เพื่อฐานความมั่นคงแข็งแรง แล้วจะรองรับให้ด้านบนมั่นคง และรองรับประเทศได้ ตรงจุดนี้ถือว่าสำคัญ ซึ่งจากการประกาศของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นกระบวนทัศน์ใหม่โดยการทำจากล่างขึ้นบน โดยเป็นการสร้างฐานรากความเข้มแข็งของประเทศ โดยเปลี่ยนจากเดิมที่มักทำจากบนลงล่าง
ที่ผ่านมามีการดำเนินการมาแล้วหลายอย่าง ทั้งด้านเศรษฐกิจ กองทุนต่างๆ สิ่งแวดล้อม สุขภาพ หมออนามัย ที่มาร่วมงานในครั้งนี้ หลายหมื่นคน มีการทำงานมานานแล้ว และเกิดผู้นำท้องถิ่นหลายแสนคน หลายร้อยตำบล เป็นตำบลสุขภาวะ ความดีเป็นเครดิตสามารถใช้กู้เงินได้ อย่างที่ อ.พาน จ.เชียงราย มีธนาคารความดี สะสมความดี
นพ.ประเวศ กล่าวว่า อย่างที่นายสมคิด ประกาศกระบวนทัศน์ใหม่นั้น ที่ต่างไปจากเดิม และเมื่อรัฐบาลจะสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจฐานราก แล้วนำมาเชื่อมโยงกับประชาชน ที่มีการทำงานอยู่แล้ว ซึ่งถือเป็นโอกาสดีของประเทศไทยที่จะทำงานในเรื่องนี้ทั้งกว่า 8 หมื่นหมู่บ้าน 8,000 ตำบล 77 จังหวัด สามารถทำได้อย่างเต็มที่ โดยมีกลไกต่างๆ ควบคุมดูแล ในการขับเคลื่อนชุมชนทุกระดับ เป็นการสร้างความเข้มแข็งเต็มพื้นที่ทั้งประเทศ โดยจะไม่มีการแบ่งสีแบ่งพวก แต่เป็นการรวมตัวทุกภาคส่วนช่วยกันขับเคลื่อนประเทศ
สำหรับหัวใจการสร้างเศรษฐกิจฐานราก คือ การสร้างสัมมาชีพ กับสร้างวิสาหกิจชุมชนให้เต็มพื้นที่ข้างล่าง โดยการทำสิ่งต่างๆ 9 ข้อ อาทิเช่น 1. เรื่องเกษตรยั่งยืน 2. ผลิตสิ่งสินค้าที่จำเป็นและสินค้าวัฒนธรรมของชุมชน 3. สร้างการท่องเที่ยวชุมชนทุกตำบล 4. พลังงานชุมชน 5. เรื่องธนาคารต้นไม้ 6. การแพทย์แผนไทยและสมุนไพร 7. มีสถาบันการเงินระดับชุมชนทุกตำบล 8. โยงเศรษฐกิจชุมชนกับมหภาคให้เชื่อมโยงกัน
นพ.ประเวศ กล่าวด้วยว่า สำหรับสามเหลี่ยมเขยื่อนประเทศไทย ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาชน โดยมีสัมมาชีพเต็มพื้นที่วิสาหกิจชุมชน โดยมีฐานรากเศรษฐกิจที่มั่นคงแข็งแรง และเชื่อว่าในอีก 10 ปี ข้างหน้าหรือปี 2568 ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุด
วิกฤตการณ์ทั้ง 6 อย่างนี้ มีความเชื่อมโยงกัน จนทำให้เกิดหลุมดำใหญ่ และประเทศไทยไม่สามารถหลุดออกจากตรงนี้ได้ ไม่มีรัฐบาลใดสามารถนำประเทศหลุดออกจากวิกฤตการณ์ตรงนี้ได้โดยลำพัง และเกิดสภาพคนเหมือนไก่ จิกตีกันจนเลือดตกยางออก
ดังนั้นเราต้องมีหลักคิดในกระบวนทัศน์ใหม่ เพื่อพัฒนาประเทศ เพราะกระบวนทัศน์เก่าไม่สามารถใช้ได้ เนื่องจากเป็นกระบวนทัศน์เก่า ทำจากบนลงล่าง โดยยึดรูปแบบเจดีย์ โดยที่ผ่านมา อย่างเรื่องเศรษฐกิจ ก็จะทำตั้งแต่ด้านบน การศึกษา การเมือง โครงสร้างทั้งพระเจดีย์ ปิรามิด เพื่อฐานความมั่นคงแข็งแรง แล้วจะรองรับให้ด้านบนมั่นคง และรองรับประเทศได้ ตรงจุดนี้ถือว่าสำคัญ ซึ่งจากการประกาศของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นกระบวนทัศน์ใหม่โดยการทำจากล่างขึ้นบน โดยเป็นการสร้างฐานรากความเข้มแข็งของประเทศ โดยเปลี่ยนจากเดิมที่มักทำจากบนลงล่าง
ที่ผ่านมามีการดำเนินการมาแล้วหลายอย่าง ทั้งด้านเศรษฐกิจ กองทุนต่างๆ สิ่งแวดล้อม สุขภาพ หมออนามัย ที่มาร่วมงานในครั้งนี้ หลายหมื่นคน มีการทำงานมานานแล้ว และเกิดผู้นำท้องถิ่นหลายแสนคน หลายร้อยตำบล เป็นตำบลสุขภาวะ ความดีเป็นเครดิตสามารถใช้กู้เงินได้ อย่างที่ อ.พาน จ.เชียงราย มีธนาคารความดี สะสมความดี
นพ.ประเวศ กล่าวว่า อย่างที่นายสมคิด ประกาศกระบวนทัศน์ใหม่นั้น ที่ต่างไปจากเดิม และเมื่อรัฐบาลจะสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจฐานราก แล้วนำมาเชื่อมโยงกับประชาชน ที่มีการทำงานอยู่แล้ว ซึ่งถือเป็นโอกาสดีของประเทศไทยที่จะทำงานในเรื่องนี้ทั้งกว่า 8 หมื่นหมู่บ้าน 8,000 ตำบล 77 จังหวัด สามารถทำได้อย่างเต็มที่ โดยมีกลไกต่างๆ ควบคุมดูแล ในการขับเคลื่อนชุมชนทุกระดับ เป็นการสร้างความเข้มแข็งเต็มพื้นที่ทั้งประเทศ โดยจะไม่มีการแบ่งสีแบ่งพวก แต่เป็นการรวมตัวทุกภาคส่วนช่วยกันขับเคลื่อนประเทศ
สำหรับหัวใจการสร้างเศรษฐกิจฐานราก คือ การสร้างสัมมาชีพ กับสร้างวิสาหกิจชุมชนให้เต็มพื้นที่ข้างล่าง โดยการทำสิ่งต่างๆ 9 ข้อ อาทิเช่น 1. เรื่องเกษตรยั่งยืน 2. ผลิตสิ่งสินค้าที่จำเป็นและสินค้าวัฒนธรรมของชุมชน 3. สร้างการท่องเที่ยวชุมชนทุกตำบล 4. พลังงานชุมชน 5. เรื่องธนาคารต้นไม้ 6. การแพทย์แผนไทยและสมุนไพร 7. มีสถาบันการเงินระดับชุมชนทุกตำบล 8. โยงเศรษฐกิจชุมชนกับมหภาคให้เชื่อมโยงกัน
นพ.ประเวศ กล่าวด้วยว่า สำหรับสามเหลี่ยมเขยื่อนประเทศไทย ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาชน โดยมีสัมมาชีพเต็มพื้นที่วิสาหกิจชุมชน โดยมีฐานรากเศรษฐกิจที่มั่นคงแข็งแรง และเชื่อว่าในอีก 10 ปี ข้างหน้าหรือปี 2568 ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุด