xs
xsm
sm
md
lg

ป่วยและตายจากสิ่งแวดล้อม ใกล้ตัวกว่าที่คิด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

ในขณะที่ทุกรัฐบาลกำลังเดินหน้าในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ในอีกด้านหนึ่งเรากลับได้รับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมนั้นใกล้ตัวกว่าที่หลายคนจะคิดได้

แม้สารหนูซึ่งเป็นสารพิษที่ปะปนอยู่ตามธรรมชาติ ที่อยู่ในดินและน้ำ เพียงแต่ไม่ได้อันตรายเพราะเกาะอยู่กับแร่ธาตุต่างๆ แต่ตราบใดที่เราไม่ได้ทำเหมืองแร่และแยกแร่ ก็มีโอกาสสูงที่สารหนูจะถูกแยกออกมาแล้วกระจายปะปนมาเข้าสู่สิ่งแวดล้อมได้

สารหนูที่เพิ่มขึ้นในสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบันเกิดขึ้นได้มากจากฝีมือมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง เหมืองแร่ และโรงไฟฟ้าถ่านหิน ฯลฯ

พิษของสารหนูทำให้ผิวหนังได้รับเสียหาย เกิดผื่นและบาดเจ็บบริเวณมือและเท้า สามารถทำให้เกิดการทำลายระบบประสาท ทำให้เพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งหลายชนิด ได้แก่ มะเร็งปอด มะเร็งถุงน้ำดี มะเร็งไต มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และมะเร็งตับ ฯลฯ

ความน่ากลัวของสารพิษจากสารหนูและโลหะหนักอื่นๆ เมื่อกระจายปนเปื้อนเข้าสู่สิ่งแวดล้อมทั้งในดิน ในน้ำ และในอากาศ และมนุษย์เราก็จะได้รับสารพิษเหล่านั้นผ่านห่วงโซ่อาหาร

เราดื่มน้ำที่มีสารพิษก็จะได้รับพิษจากน้ำดื่มโดยตรง เรากินพืชที่ดูดซับเอาสารพิษในดินเราก็ได้รับสารพิษนั้นผ่านพืช เรากินเนื้อสัตว์ที่สัตว์เหล่านั้นได้กินสารพิษยาฆ่าแมลงมาก กินสารหนูมาก หรือกินโลหะหนักมาก เราก็จะได้รับสารพิษเหล่านั้นกลับมาเข้าสู่ร่างกายได้ด้วยเช่นกัน

ข่าวร้ายไปกว่านั้น ข้าวเป็นพืชที่ต้องแช่อยู่ในน้ำนาน และเก็บสารหนูเอาไว้ที่เมล็ดข้าวได้มาก และข้าวกล้องมีสารหนูมากกว่าข้าวขัดขาว อีกทั้งข้าวยังสามารถแปลงเป็นน้ำตาลได้ ดังนั้นจึงอย่าแปลกใจว่าคนเอเชียที่กินข้าวมากมักมีปัญหาโรคตับมากตามมาด้วย ไม่เว้นแม้แต่ชาวเอเชียในประเทศสหรัฐอเมริกา

ปัญหาเหมืองแร่ทองคำที่กำลังกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลเกือบ 1 ล้านไร่ ก็กำลังจะส่งผลกระทบต่อแหล่งอาหารของคนไทยอีกจำนวนมาก แปลว่านับจากนี้เรากำลังจะเจ็บป่วยเพิ่มมากขึ้นจากมลพิษในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสารหนู

ความลับจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเหมือนทองคำเคยเล่าให้ฟังว่า ชาวบ้านรู้ว่าพื้นที่เหล่านั้นมีสารพิษ แต่ต้องเพาะปลูกทำการเกษตรเพื่อเลี้ยงชีพต่อไป แต่พวกเขาก็ไม่กล้ากินอาหารเหล่านั้น และส่งขายต่อมาให้ชาวกรุงเทพมหานครและจังหวัดอื่นๆกินอาหารเหล่านั้นแทน จะไม่ทำก็ไม่ได้เพราะไม่รู้จะทำมาหากินอาะไร จะประกาศให้คนรู้ว่ามีสารพิษก็ทำไม่ได้อีกเพราะกลัวเลี้ยงชีพไม่ได้ จะย้ายออกไปก็ไม่มีที่ดินทำกิน จะต่อต้านอำนาจรัฐก็ไม่มีกำลัง และก็ไม่อยากทำบาปแบบนี้ด้วย นี่คือความอำมหิตในชีวิตคนที่เกิดขึ้นจริง

ดังนั้น ปัญหาสิ่งแวดล้อมกระทบใกล้ตัวกับทุกคนทุกหมู่เหล่า ทั่วประเทศ

เอาเฉพาะฝุ่นละอองขนาด 10 ไมครอน และ 2.5 ไมครอน ในเวลานี้ในประเทศไทยเกินค่ามาตรฐานไปอย่างมาก ฝุ่นละอองเหล่านี้เป็นสารก่อมะเร็งที่ปอด ทำลายรหัสพันธุกรรมอย่างถาวร และทำให้เป็นโรคหัวใจ ฝุ่นเหล่านี้เกิดได้จากหลายกิจกรรม รวมไปถึงผลจากโรงไฟ้ฟ้าถ่านหิน ก่อสร้าง เหมืองแร่ เผาขยะ โรงปูนซิเมนต์ ฯลฯ นั่นหมายถึงว่าเรากำลังเผชิญหน้ากับฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก

จากรายงานสถานการณ์คุณภาพทางอากาศ ในรอบ 6 เดือนแรก ปี พ.ศ. 2558 ของกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พบว่าจังหวัดที่มีฝุ่นละอองขนาด 10 ไมครอน ที่เกินค่ามาตรฐานได้แก่ สระบุรี, ลำปาง, แม่ฮ่องสอน, เชียงราย, เชียงใหม่,พะเยา, นครสวรรค์, ขอนแก่น, น่าน, แพร่, ลำพูน สมุนทสาคร, ระยอง, นนทบุรี, เลย สมุทรปราการ, ราชบุรี, ชลบุรี กรุงเทพมหานคร, ปทุมธานี, อยุธยา ในขณะที่จังหวัดที่มีฝุ่นละอองขนาด 2.5 ไมครอน (ซึ่งอันตรายมากกว่า) เกินค่ามาตรฐานได้แก่ สระบุรี, ลำปาง, เชียงใหม่, กรุงเทพมหานคร, ราชบุรี, สมุทรสาคร, ระยอง ฯลฯ

ที่น่าสนใจกว่าคือพื้นที่ในเมืองที่มีการเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันดีเซล มาใช้ก๊าซธรรมชาติทั้งแอลพีจี และเอ็นจีวี กลับพบว่าปริมาณฝุ่นละอองลดขนาดลงอย่างเห็นได้ชัด นั่นหมายถึงว่าเราจะลดความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับโรคมะเร็งปอด โรคหัวใจ ให้ลดน้อยลงได้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่ารัฐบาลใดที่คิดว่าไม่ส่งเสริมให้ภาคขนส่งใช้ก๊าซธรรมชาติด้วยการขึ้นราคาก๊าซในภาคขนส่งหรือขึ้นภาษีสรรพสามิตก็ดี ก็เพราะคิดว่าการนำก๊าซธรรมชาติไปให้กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีใช้ประโยชน์นั้นสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่า แท้ที่จริงแล้วหลักคิดดังกล่าวไม่ได้อยู่บนพื้นฐานคุณค่าของชีวิตมนุษย์เลย และเป็นหลักคิดที่ไม่เห็นความเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพทั้งโรคมะเร็ง และโรคหัวใจ ที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนในยุคปัจจุบันที่ต้องทำให้เสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

แต่ที่ตลกร้ายยิ่งกว่าคือเราส่งเสริมให้กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ใช้ก๊าซธรรมชาติให้มากขึ้น ด้วยเหตุผลว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มนั้นคนที่จะได้ประโยชน์กลับกลายเป็นกลุ่มทุนเพียงไม่กี่คน แต่ผลร้ายที่ตามมากลับกลายเป็นมลพิษที่เกิดขึ้นจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้มีส่วนร่วมทำให้เกิดปัญหาสารอินทรีย์ระเหยง่ายและเป็นสารก่อมะเร็งเพิ่มมากขึ้น ในพื้นที่มาบตาพุด และบริเวณใกล้เคียง จังหวัดระยอง เกินค่ามาตรฐานมาโดยตลอด ทั้ง เบนซีน, บิวทาไดอีน, และไดคลอโรอีเทน ฯลฯ ซึ่งจังหวัดระยองนั้นทั้งคุณภาพน้ำบาดาล น้ำผิวดิน อากาศ อยู่ในขั้นวิกฤติที่จะก่อให้เกิดความเจ็บป่วยและเสียชีวิต ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเพิ่มขึ้น

คนไทยจะต้องเจ็บป่วยและตายอีกมาก และธุรกิจโรงพยาบาลและยาจะร่ำรวยมากขึ้น เพื่อเป็นบรรณาการแก่การเห็นมูลค่าทางเศรษฐกิจสำคัญกว่าคุณค่าของชีวิตคน



กำลังโหลดความคิดเห็น