xs
xsm
sm
md
lg

“ปรองดอง...อยู่หนใด?”

เผยแพร่:   โดย: วิทยา วชิระอังกูร


ผมไม่ใช่นักวิชาการ จึงไม่ชำนาญการอ้างอิงทฤษฎีใดๆ เป็นเพียงนักสังเกตการณ์ทางการเมืองที่เรียนรู้ทุกสรรพสิ่งจากสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจริง และสภาพแวดล้อมที่เป็นไปทั้งในอดีตและปัจจุบัน อย่างตรงไปตรงมา

           ปัญหาประเทศชาติที่เกิดจากปัญหาทางการเมืองที่ยาวนานต่อเนื่องกันมา นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 ที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบที่พยายามจะเรียกว่าประชาธิปไตยแต่ไม่เต็มปากเต็มคำนัก เอารูปแบบโครงสร้างระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกมาใช้ แต่เนื้อหากลับบิดเบี้ยวบิดเบือนจากหลักการที่แท้จริงมาโดยตลอด การผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน เป็นเผด็จการทหารเต็มตัว เป็นกึ่งเผด็จการหรือเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ หรือสลับสับเปลี่ยนจากการเลือกตั้งเป็นรัฐบาลพลเรือนนักการเมือง เป็นรัฐประหารโดยทหาร ที่เรียกกันว่าวงจรอุบาทว์ทางการเมืองมา 80 กว่าปี ล้วนเต็มไปด้วยปัญหาการคอร์รัปชันโกงบ้านกินเมือง ของบรรดาผู้ที่เข้ามายึดครองถืออำนาจรัฐได้ในแต่ละยุคแต่ละสมัยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป

          การเมืองไทยในระบบนับได้ว่าล้มเหลวและล้มลุกคลุกคลานกันมาโดยตลอด และสร้างปัญหาทับถมหมักหมมให้สังคมไทยเรื่อยมา

          ที่นับว่าหนักหนาสาหัสกว่ายุคใดๆ ก็คือในช่วงปี พ.ศ. 2544-2549 ที่อำนาจรัฐถูกยึดครองโดยกลุ่มทุนระบอบทักษิณ ที่มีการใช้อำนาจทางการเมืองฉ้อฉลฉ้อราษฎร์บังหลวงกันอย่างมโหฬาร ทำให้กลุ่มทุนดังกล่าวมีเงินสะสมจากการทุจริตจำนวนมหาศาล แม้ตัวการใหญ่จะต้องคดีจนต้องหลบหนีออกนอกประเทศ แต่ก็ยังสามารถใช้อิทธิพลทางการเงินสร้างฐานกำลังทางการเมือง จัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดบริหารบ้านเมืองต่อมาอีกหลายชุดหลายคณะรัฐบาล และยังบงการใช้กลวิธีคอร์รัปชันทางนโยบายกอบโกยโกงกินอย่างไม่หยุดยั้งมาโดย ตลอด หุ่นเชิดคณะล่าสุดถึงกับใช้โครงการจำนำข้าวโกงชาวนาได้ดิบด้านอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งกรรมหนักคงจะตามสนองอย่างสาสมในไม่ช้า

        และเมื่อเหิมเกริมลุแก่อำนาจจนถึงขั้นสั่งสภาผู้แทนราษฎรออกกฎหมายนิรโทษ กรรมให้แก่การกระทำผิดคดโกงบ้านเมืองของตนและพวก ความอดทนของคนไทยก็ถึงขีดสุด จึงเกิดการชุมนุมประท้วงคัดค้านทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ การเมืองไทยในปี พ.ศ. 2556-2557 มีประชาชนออกมาชุมนุมถึงหลายสิบล้านคนทั่วประเทศซึ่งก็ประหลาดมากสำหรับการเมืองดิบด้านของประเทศนี้ ที่รัฐบาลหุ่นเชิดดื้อด้านก็ยังอยู่ได้อย่างไม่สะดุ้งสะเทือนอันใด มิหนำซ้ำยังใช้กองกำลังลับๆ พิเศษลอบเข่นฆ่าทำลายล้างผู้คนที่ต่อต้านด้วยอาวุธสงครามร้ายแรงเป็นระยะๆอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตไม่เลือกเด็ก ผู้หญิง และคนชรา จนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก

          ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมอยู่ในขบวนการเป่านกหวีดเรียกร้องความเป็นธรรมบนท้องถนนมาเกินกว่าครึ่งปี ผมกล้ายืนยันทุบโต๊ะได้เลยว่า มวลมหาประชาชนไม่เคยเรียกร้องให้ทหารทำการรัฐประหาร หากแต่พยายามขอร้องวิงวอนให้ทหาร และข้าราชการทุกเหล่ากล้าออกมายืนเคียงข้างประชาชนเพื่อปฏิเสธอำนาจรัฐ และ รัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม ซึ่งจะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในการปฏิวัติโดยประชาชน และมวลมหาประชาชนจะตั้งสภาประชาชนเพื่อปฏิรูปประเทศปฏิรูประบบการเมืองก่อนการเลือกตั้งครั้งต่อไป

          การขอร้องวิงวอนของมวลชนไม่ได้ผล ทหารและข้าราชการต่างนิ่งเฉย ปล่อยให้เหตุการณ์ลุกลามจนวิกฤตถึงขั้นอาจนองเลือดใหญ่เพราะมีการสะสมอาวุธสงครามของฝ่ายกำลังลับที่อาจวางแผนปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างรุนแรง ทหารจึงทำการรัฐประหารยึดอำนาจตั้งเป็นคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เข้าบริหารจัดการบ้านเมืองตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 มาจนถึงขณะนี้

          มีการตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติ และเร่งร่างรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดเป้าหมายการปฏิรูปและปรองดองเป็นหลักการสำคัญ

          สภาปฏิรูปแห่งชาติจะสิ้นสุดลงในวันที่ 7 กันยายนนี้ หลังลงมติร่างรัฐธรรมนูญโดยการปฏิรูปประเทศทำได้แค่เสนอแผนและแนวทางการปฏิรูปแบบกว้างๆ เพื่อส่งต่อให้รัฐบาลหลังการเลือกตั้งมาทำการปฏิรูปต่อไป โดยจะมีการตั้งสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเพื่อดำเนินการให้มีการปฏิรูปประเทศตามข้อเสนอของ สปช. 11 ด้าน

            รัฐธรรมนูญร่างเสร็จแล้ว ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง โดยเฉพาะประเด็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป). ซึ่งแม้แต่ในสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติเองก็ยังคิดต่างเห็นต่าง และถกเถียงแตกแขนงกันแบบไม่ลงรอยและมีบางส่วนถึงขั้นออกมาประกาศจะคว่ำร่าง รัฐธรรมนูญ

ขณะเดียวกันที่พรรคการเมืองหลายพรรคก็ออกมาแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วย โดยชี้ว่า คปป.จะเป็นอำนาจรัฐซ้อนรัฐ ที่ขัดกับหลักการประชาธิปไตย เป็นอำนาจที่ไม่ยึดโยงกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน กลายเป็นความขัดแย้งทางความคิดที่ร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

        ขณะที่เขียนบทความนี้ล่วงหน้าจนถึงวันที่บทความนี้ออนไลน์ คงยังไม่อาจจะคาดเดาได้ว่า จะมีข้อยุติลงเอยกันอย่างไร

          คสช.ที่พยายามจะวางตนเป็นคนกลางมาแต่ต้น โดยอ้างว่าเข้ามาทำภาระแก้ไขความขัดแย้งระหว่างมวลมหาประชาชน กับพรรคการเมืองในระบอบทักษิณ อาจจะต้องกลับกลายเป็นคู่ขัดแย้งอีกฝ่ายหนึ่งในสถานการณ์การเมืองไทยอันแหลมคมนี้ ก็เป็นไปได้

นักสังเกตการณ์ทางการเมืองที่มีแค่ทฤษฎีตรงไปตรงมาอย่างเรา ก็คงทำได้แค่ปิดท้ายด้วยบทกวีนี้ เท่านั้นเอง

“หน้าด่าน ปรองดอง”
ถ้าขัดแย้งแบ่งข้างทางความคิด
ไม่คิดแบบเพี้ยนผิดแค่คิดต่าง
คิดเพื่อคนส่วนใหญ่ไม่อำพราง
คิดสรรค์สร้างไม่เพี้ยนผิดคิดทำลาย
ถกเถียงด้วยตรรกะหาเหตุผล
ไม่คิดเพียงประโยชน์ตนอย่างมักง่าย
ไม่หวังเพียงลาภยศหมดยางอาย
ทุกทุกฝ่ายที่ขัดแย้งย่อมแบ่งปัน
ร่วมกันคิดค้นดับผลที่เหตุ
แก้ปัญหาประเทศอย่างสร้างสรรค์
ไม่เอาแพ้เอาชนะคะคานกัน
ผ่าหนทางตีบตันให้คลี่คลาย
การปรองดองต้องทำตามธรรมชาติ
ไม่อาจใช้อำนาจไปยักย้าย
เขียนกฎต้องเขียนตามธรรมอุบาย
เป็นกฎที่ทุกฝ่ายพร้อมยอมรับ
เพราะไม่กล้าตัดไฟแต่ต้นลม
จึงเชื้อไฟคุบ่มไม่เคยดับ
เมื่อเขียนกฎบังคับจึงข้องคับ
ขัดแย้งยิ่งกลายกลับยากปรองดอง
คนกลางอาจกลายคู่ขัดแย้ง
อาจเกิดแรงเสียดทานในทุกช่อง
ที่ตีบตันไม่คลี่คลายตามครรลอง
โปรดสดับและไตร่ตรองเถิดสาธุชน

                 ว.แหวนลงยา
กำลังโหลดความคิดเห็น