00 คลอดออกมาอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาลภายใต้ "ทีมเศรษฐกิจ" ที่นำโดย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ และ รมว.คลัง อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ วงเงินกว่า 1.3 แสนล้านบาท โดยเม็ดเงินดังกล่าวปล่อยกู้ปลอดดอกเบี้ยสองปี ผ่านทางกองทุนหมู่บ้านระดับเกรดเอ และบี ที่มีทั่วประเทศกว่า 6 หมื่นหมู่บ้าน ผ่านทางโครงการระดับตำบลๆ ละ 5 ล้านบาท รวมไปถึงโครงการที่ผ่านทางหน่วยงานราชการในจังหวัดโครงการละ 1 ล้านบาท เรียกว่าเน้นกันเฉพาะระดับรากหญ้าระดับล่างขั้นพื้นฐานกันเลยทีเดียว โดยเน้นย้ำให้ต้องรีบกระจายเม็ดเงินลงไปภายในสองสัปดาห์ข้างหน้า นี่ยังไม่นับมาตรการเติมเงินให้กับกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ที่จะตามมาติดๆ อีกก้อนหนึ่ง
00 เรียกว่าต้องการกระตุ้น"ภาคชาวบ้าน" กระตุกให้ขึ้นมาพอเดินได้อีกรอบ หลังจากก่อนหน้านี้นอนแบ่บ "หายใจรวยริน" มานานนับปีแล้ว จากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำเตี้ยติดดิน ซึ่งอีกทางหนึ่งก็ต้องหาทางทำให้ราคาสินค้าพวกนี้ขยับขึ้นมาให้ลืมตาอ้าปากได้ด้วย เพื่อให้เกิดสองแรงบวก จากเดินมาเป็นวิ่งได้เร็วขึ้น ซึ่งต้อง "รวดเร็วและทั่วถึงเป็นธรรม" และที่สำคัญต้องมีการนำเงินไปลงทุนประกอบอาชีพจริง เพราะแม้ว่าจะเป็นการกู้ที่ไม่มีดอกเบี้ยสองปีแรกก็ตาม แต่นั่นคือ หนี้ที่เพิ่มขึ้น ถ้าไม่ใช่การลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงในวันหน้า แต่หากนำไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แม้ว่าในระยะสั้นอาจกระตุ้น เศรษฐกิจ มีเม็ดเงินมาหมุน แต่สุดท้ายก็กลายเป็นหนี้ครัวเรือนพอกพูนอีก ซึ่งคงต้องกำชับกันให้เข้ม เพราะบทเรียนในยุค "ประชานิยม" ทักษิณ ชินวัตร ที่ชาวบ้านนำเงินไปจ่ายผิดประเภท ไปซื้อมือถือ ซื้อมอเตอร์ไซค์ ระวังวงจรบภิโภคแบบนี้จะกลับมาอีก !!
00 แน่นอนว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคราวนี้จะเดินทางถูกทางแล้ว ทั้งในเรื่องอัดฉีดลงสู่ผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศ เร่งความเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยให้กลไกของมหาดไทยเข้ามาช่วย นั่นคือ ผ่านทางผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ และเชื่อหรือไม่ว่า มาตรการของรัฐบาลคราวนี้จะสำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับมหาดไทย หรือผู้ว่าฯ เป็นสำคัญ ดังนั้น มท.1 คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ต้องมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นและทำความเข้าใจ โดยเฉพาะการให้ผู้ว่าฯ ปรับบทบาทใหม่ให้กระฉับกระเฉง เป็นผู้นำที่ไม่ต่างจาก "นายกฯน้อย" ในแต่จังหวัดอย่างแท้จริง ต้องสลัดภาพความเชย ความล้าหลัง ต้องมีวิสัยทัศน์ยุคใหม่ที่ทันยุคสมัยกว่าเดิม ระบบ"เจ้าขุนมูลนาย" ที่แม้ว่าเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ก็ยังมีอยู่ ดังนั้นต้องปรับตัวแบบกลับหลังหัน เพราะความสำเร็จหรือล้มเหลวอยู่ที่ มท.เหมือนกัน !!
00 นำคณะเหินฟ้าไปเมืองจีนกันแล้ว ตั้งแต่เมื่อเช้าวันที่ 2 ก.ย. สำหรับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม และ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และ ผบ.ทบ. ถ้าจะบอกว่าเป็นกำหนดการเดินทางแบบกระทันหันก็อาจพูดแบบนั้นก็ได้ โดยเฉพาะหลังจากเมื่อผลการสอบสวนจับกุมผู้ต้องสงสัยขบวนการก่อเหตุลอบวางระเบิดที่แยกราชประสงค์ และสะพานสาทร มีความคืบหน้า จนทำให้เห็นว่าเริ่มมีแนวโน้มออกไปทาง "ซินเจียงอุยกูร์" มากขึ้น เพราะตัวละครที่ถูกจับ ถูกออกหมายจับ ล้วนโยงใยเกี่ยวพันกันชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และพื้นที่ก่อเหตุก็เหมือนกับมีเป้าหมายไปที่นักท่องเที่ยวชาวจีนเสียอีก แม้ว่าคราวนี้จะอ้างว่าไปในฐานะตัวแทนนายกฯ เข้าร่วมในพิธีสวนสนามครบรอบ 70 ปี ในสงครามชนะญี่ปุ่นก็ตาม แต่คราวนี้หอบเอาทีมความมั่นคงชุดใหญ่ไปหารือ ย่อมไม่ธรรมดาแน่
00 ดังนั้นเมื่อเข้าใจว่าเป็นเรื่อง"อ่อนไหวละเอียดอ่อน" จึงต้องมีรายการ "เคลียร์"กันแบบ "วงใน" กันหรือเปล่า แต่ถึงอย่างไรเมื่อพิจารณาจาก "ภารกิจด่วน"ของ "ขบวนพี่ใหญ่" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ คราวนี้ก็ต้องบอกว่ายังให้ "น้ำหนักกับจีน" มากกว่าใคร อย่างน้อยก็ยืนยันว่า ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแน่นอน !!
00 เรียกว่าต้องการกระตุ้น"ภาคชาวบ้าน" กระตุกให้ขึ้นมาพอเดินได้อีกรอบ หลังจากก่อนหน้านี้นอนแบ่บ "หายใจรวยริน" มานานนับปีแล้ว จากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำเตี้ยติดดิน ซึ่งอีกทางหนึ่งก็ต้องหาทางทำให้ราคาสินค้าพวกนี้ขยับขึ้นมาให้ลืมตาอ้าปากได้ด้วย เพื่อให้เกิดสองแรงบวก จากเดินมาเป็นวิ่งได้เร็วขึ้น ซึ่งต้อง "รวดเร็วและทั่วถึงเป็นธรรม" และที่สำคัญต้องมีการนำเงินไปลงทุนประกอบอาชีพจริง เพราะแม้ว่าจะเป็นการกู้ที่ไม่มีดอกเบี้ยสองปีแรกก็ตาม แต่นั่นคือ หนี้ที่เพิ่มขึ้น ถ้าไม่ใช่การลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงในวันหน้า แต่หากนำไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แม้ว่าในระยะสั้นอาจกระตุ้น เศรษฐกิจ มีเม็ดเงินมาหมุน แต่สุดท้ายก็กลายเป็นหนี้ครัวเรือนพอกพูนอีก ซึ่งคงต้องกำชับกันให้เข้ม เพราะบทเรียนในยุค "ประชานิยม" ทักษิณ ชินวัตร ที่ชาวบ้านนำเงินไปจ่ายผิดประเภท ไปซื้อมือถือ ซื้อมอเตอร์ไซค์ ระวังวงจรบภิโภคแบบนี้จะกลับมาอีก !!
00 แน่นอนว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคราวนี้จะเดินทางถูกทางแล้ว ทั้งในเรื่องอัดฉีดลงสู่ผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศ เร่งความเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยให้กลไกของมหาดไทยเข้ามาช่วย นั่นคือ ผ่านทางผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ และเชื่อหรือไม่ว่า มาตรการของรัฐบาลคราวนี้จะสำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับมหาดไทย หรือผู้ว่าฯ เป็นสำคัญ ดังนั้น มท.1 คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ต้องมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นและทำความเข้าใจ โดยเฉพาะการให้ผู้ว่าฯ ปรับบทบาทใหม่ให้กระฉับกระเฉง เป็นผู้นำที่ไม่ต่างจาก "นายกฯน้อย" ในแต่จังหวัดอย่างแท้จริง ต้องสลัดภาพความเชย ความล้าหลัง ต้องมีวิสัยทัศน์ยุคใหม่ที่ทันยุคสมัยกว่าเดิม ระบบ"เจ้าขุนมูลนาย" ที่แม้ว่าเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ก็ยังมีอยู่ ดังนั้นต้องปรับตัวแบบกลับหลังหัน เพราะความสำเร็จหรือล้มเหลวอยู่ที่ มท.เหมือนกัน !!
00 นำคณะเหินฟ้าไปเมืองจีนกันแล้ว ตั้งแต่เมื่อเช้าวันที่ 2 ก.ย. สำหรับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม และ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และ ผบ.ทบ. ถ้าจะบอกว่าเป็นกำหนดการเดินทางแบบกระทันหันก็อาจพูดแบบนั้นก็ได้ โดยเฉพาะหลังจากเมื่อผลการสอบสวนจับกุมผู้ต้องสงสัยขบวนการก่อเหตุลอบวางระเบิดที่แยกราชประสงค์ และสะพานสาทร มีความคืบหน้า จนทำให้เห็นว่าเริ่มมีแนวโน้มออกไปทาง "ซินเจียงอุยกูร์" มากขึ้น เพราะตัวละครที่ถูกจับ ถูกออกหมายจับ ล้วนโยงใยเกี่ยวพันกันชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และพื้นที่ก่อเหตุก็เหมือนกับมีเป้าหมายไปที่นักท่องเที่ยวชาวจีนเสียอีก แม้ว่าคราวนี้จะอ้างว่าไปในฐานะตัวแทนนายกฯ เข้าร่วมในพิธีสวนสนามครบรอบ 70 ปี ในสงครามชนะญี่ปุ่นก็ตาม แต่คราวนี้หอบเอาทีมความมั่นคงชุดใหญ่ไปหารือ ย่อมไม่ธรรมดาแน่
00 ดังนั้นเมื่อเข้าใจว่าเป็นเรื่อง"อ่อนไหวละเอียดอ่อน" จึงต้องมีรายการ "เคลียร์"กันแบบ "วงใน" กันหรือเปล่า แต่ถึงอย่างไรเมื่อพิจารณาจาก "ภารกิจด่วน"ของ "ขบวนพี่ใหญ่" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ คราวนี้ก็ต้องบอกว่ายังให้ "น้ำหนักกับจีน" มากกว่าใคร อย่างน้อยก็ยืนยันว่า ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแน่นอน !!