วานนี้ (31ส.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ให้สัมภาษณ์ กรณีพล.อ.ธีรชัย นาควานิช ว่าที่ ผบ.ทบ. เข้าพบในช่วงเช้า ว่า "เขาก็มา มาคารวะเข้าพบปะกันปกติ จะเป็นอะไร ไม่ได้มอบนโยบายกัน จะมอบทำไมกันล่ะ เขามีนโยบายของกระทรวงกลาโหมอยู่แล้ว แล้วเขาก็เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของผม เราก็รักกันสนิทกันทุกคนแหละ ผมรู้จักหมดอยู่แล้ว ใครจะเป็นก็เหมือนกัน สื่อก็อย่าไปเขียนวิพากษ์วิจารณ์ให้มันเสียหายเลย ทุกคนก็มาพูดกับผมว่า เขายินดีทำหน้าที่รักษาความสงบต่อไป พร้อมกับสนับสนุนรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา เขาไม่ได้มายื่นคำขาดให้ผมไปสักหน่อย"
เมื่อถามว่า อยากฝากอะไรเป็นพิเศษให้ ผบ.ทบ.คนใหม่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ก็ถ้าให้ฝากเป็นพิเศษก็คงฝากดูแลนักข่าวหน่อย ดูแลความปลอดภัยเดี๋ยวอันตราย ส่วนเรื่องอื่นไม่ต้องฝาก เพราะเขารู้กันอยู่แล้วว่าต้องทำอะไร เรารู้จักกันมา 30-40 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยธีรชัย เขามาตั้งแต่เป็นผู้การด้วยกัน เขาเป็นผู้การกรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ส่วนผมเป็น ผู้การกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ก็ดูแลช่วยเหลือกันมาตลอด เพราะผมเป็นรุ่นพี่เขาสองปี วันนี้เขาก็อยู่อีก 1 ปี ก็แค่นั้นเอง ทุกคนล้วนรู้จักกันหมด เพราะแม่ทัพทุกทัพผมก็เป็นคนตั้งมาเอง สมัยผมเป็น ผบ.ทบ. พวก 5 เสือ ผมก็เป็นคนตั้งมา เพราะฉะนั้นวันนี้ใครจะขึ้นมาเป็น ก็เป็นการตั้งตำแหน่งต่อมาเท่านั้นเอง ไม่ใช่ไปตั้งใครก็ได้เข้ามา ไม่ใช่แบบนั้น ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใครเพื่อสืบทอดอำนาจ ทำไมมันต้องสืบอำนาจมันมีของมันอยู่แล้ว อย่าไปแสวงหาให้มันมากนัก เพราะยิ่งหามันยิ่งไขว่คว้ามันยิ่งไม่มา ยิ่งไม่มี ใช้มากก็ยิ่งไม่ดีอีก"
เมื่อถามว่าได้มีการเคลียร์ใจกับน้องชาย คือ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ที่มีชื่อชิงตำแหน่งแต่ไม่ได้เป็นหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า "จะเคลียร์ใคร เคลียร์ทำไม เขาเป็นน้องชายผม ผมจะเคลียร์ทำไม เขาก็รู้สถานะเขาอยู่ เขาก็รู้ว่าเขาควรอยู่ตรงไหน รู้มาตั้งนานแล้ว สื่อก็ชอบไปยุแยงให้มันเป็นแบบนี้ แบบนั้น ผมก็เคยบอกแล้วไงว่า มันมีเรื่องความอาวุโส ความเหมาะสม เพราะธีรชัย เขาเป็นรุ่นพี่เขาเป็นพลโทมาก่อน แล้วจะเอาข้างหลังมาแซงหน้ามากๆ ได้หรือไม่ ผมถามว่า วันนี้ใครมาเป็นมันจะต่างกันตรงไหน แล้วการเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมมันขี้ไก่มากหรือไง มาบอกว่าเป็นตำแหน่งใส่กรุ สมัยก่อนตำแหน่งพลเอก พลโท เขาได้เป็นกันไหมเล่า กว่าจะนายพลนี่ยากจะตาย วันนี้เขาเป็นถึงระดับพลเอก มาบอกเขาจะขึ้นกรุ ไอ้ความภูมิใจมันก็หายไป มันก็เลยอยากจะแย่งกันเป็นโน่น เป็นนี่ กันหมด นี่เขามีไว้เป็นเกียรติยศเกียรติศักดิ์ ความพอใจของตัวเองที่มีอยู่ ได้ดูแลครอบครัว นี่ก็ไปทำลายเขา ว่าถูกปลด ถูกอะไร ถูกจับใส่กรุ มันกรุตรงไหนวะ กรุอะไรกันนัก กรุพระหรือ กระทรวงกลาโหมไม่ใช่กรุพระสักหน่อย กรุสมบัติก็ไม่ใช่ เขาก็ปกครองคนของเขา สัญลักษณ์ของกระทรวงกลาโหม ก็ครอบอยู่บนหัวของทุกเหล่าทัพ เพียงแต่ว่าเหล่าทัพบกมีอาวุธมากหน่อย ก็นั้นเอง แล้ววันนี้ผมเป็นใคร ผมก็เป็นทหารมาก่อน เป็นทหารเก่า ผมก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไรใคร ถ้าทหารไม่ยอมรับ ผมมันก็แค่นั้น ก็จบ ข้อสำคัญคือ ประชาชนเขารับผมหรือเปล่าในการที่ผมมาแก้ไขปัญหาให้เขาวันนี้ คิดไม่ได้หยุด สั่งงานทำงานทุกวันแล้วก็ต้องเร่งเวลาทำให้เร็วที่สุดและดีขึ้นทุกด้าน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า อยากฝากอะไรเป็นพิเศษให้ ผบ.ทบ.คนใหม่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ก็ถ้าให้ฝากเป็นพิเศษก็คงฝากดูแลนักข่าวหน่อย ดูแลความปลอดภัยเดี๋ยวอันตราย ส่วนเรื่องอื่นไม่ต้องฝาก เพราะเขารู้กันอยู่แล้วว่าต้องทำอะไร เรารู้จักกันมา 30-40 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยธีรชัย เขามาตั้งแต่เป็นผู้การด้วยกัน เขาเป็นผู้การกรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ส่วนผมเป็น ผู้การกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ก็ดูแลช่วยเหลือกันมาตลอด เพราะผมเป็นรุ่นพี่เขาสองปี วันนี้เขาก็อยู่อีก 1 ปี ก็แค่นั้นเอง ทุกคนล้วนรู้จักกันหมด เพราะแม่ทัพทุกทัพผมก็เป็นคนตั้งมาเอง สมัยผมเป็น ผบ.ทบ. พวก 5 เสือ ผมก็เป็นคนตั้งมา เพราะฉะนั้นวันนี้ใครจะขึ้นมาเป็น ก็เป็นการตั้งตำแหน่งต่อมาเท่านั้นเอง ไม่ใช่ไปตั้งใครก็ได้เข้ามา ไม่ใช่แบบนั้น ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใครเพื่อสืบทอดอำนาจ ทำไมมันต้องสืบอำนาจมันมีของมันอยู่แล้ว อย่าไปแสวงหาให้มันมากนัก เพราะยิ่งหามันยิ่งไขว่คว้ามันยิ่งไม่มา ยิ่งไม่มี ใช้มากก็ยิ่งไม่ดีอีก"
เมื่อถามว่าได้มีการเคลียร์ใจกับน้องชาย คือ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ที่มีชื่อชิงตำแหน่งแต่ไม่ได้เป็นหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า "จะเคลียร์ใคร เคลียร์ทำไม เขาเป็นน้องชายผม ผมจะเคลียร์ทำไม เขาก็รู้สถานะเขาอยู่ เขาก็รู้ว่าเขาควรอยู่ตรงไหน รู้มาตั้งนานแล้ว สื่อก็ชอบไปยุแยงให้มันเป็นแบบนี้ แบบนั้น ผมก็เคยบอกแล้วไงว่า มันมีเรื่องความอาวุโส ความเหมาะสม เพราะธีรชัย เขาเป็นรุ่นพี่เขาเป็นพลโทมาก่อน แล้วจะเอาข้างหลังมาแซงหน้ามากๆ ได้หรือไม่ ผมถามว่า วันนี้ใครมาเป็นมันจะต่างกันตรงไหน แล้วการเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมมันขี้ไก่มากหรือไง มาบอกว่าเป็นตำแหน่งใส่กรุ สมัยก่อนตำแหน่งพลเอก พลโท เขาได้เป็นกันไหมเล่า กว่าจะนายพลนี่ยากจะตาย วันนี้เขาเป็นถึงระดับพลเอก มาบอกเขาจะขึ้นกรุ ไอ้ความภูมิใจมันก็หายไป มันก็เลยอยากจะแย่งกันเป็นโน่น เป็นนี่ กันหมด นี่เขามีไว้เป็นเกียรติยศเกียรติศักดิ์ ความพอใจของตัวเองที่มีอยู่ ได้ดูแลครอบครัว นี่ก็ไปทำลายเขา ว่าถูกปลด ถูกอะไร ถูกจับใส่กรุ มันกรุตรงไหนวะ กรุอะไรกันนัก กรุพระหรือ กระทรวงกลาโหมไม่ใช่กรุพระสักหน่อย กรุสมบัติก็ไม่ใช่ เขาก็ปกครองคนของเขา สัญลักษณ์ของกระทรวงกลาโหม ก็ครอบอยู่บนหัวของทุกเหล่าทัพ เพียงแต่ว่าเหล่าทัพบกมีอาวุธมากหน่อย ก็นั้นเอง แล้ววันนี้ผมเป็นใคร ผมก็เป็นทหารมาก่อน เป็นทหารเก่า ผมก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไรใคร ถ้าทหารไม่ยอมรับ ผมมันก็แค่นั้น ก็จบ ข้อสำคัญคือ ประชาชนเขารับผมหรือเปล่าในการที่ผมมาแก้ไขปัญหาให้เขาวันนี้ คิดไม่ได้หยุด สั่งงานทำงานทุกวันแล้วก็ต้องเร่งเวลาทำให้เร็วที่สุดและดีขึ้นทุกด้าน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว