วานนี้ (25ส.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมตรี แถลงภายหลังการประชุมครม. ถึงการแต่งตั้งข้าราชการ และปลัดกระทรวงต่างๆว่า ในที่ประชุม ครม. มีการแต่งตั้งปลัดกระทรวง 4-5 กระทรวง เป็นไปตามที่มีการเสนอขึ้นมา
"ขอร้องว่า อย่ามองว่าผมตั้งคนหรือใครขึ้นมา ตั้งผบ.ทบ. ตั้งตำรวจ เป็นการแชร์อำนาจ ผมไม่จำเป็นต้องแชร์อำนาจเพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องการต่อรอง ไม่ใช่เรื่องของผลประโยชน์ เพราะฉะนั้นการตั้งคนเข้ามาดำรงตำแหน่ง ก็ตั้งตามเหตุผล สิ่งที่ควรจะเป็นตามระเบียบที่เขาทำขึ้นมา หลายคนออกมาบอกว่า แต่งตั้งเพื่อปกป้องผม ไม่เป็นความจริง ไม่ต้องให้ใครมาปกป้องผมหรอก ปกป้องประเทศชาติดีกว่า เพราะผมไม่ได้ทำความเลวอะไร จึงไม่จำเป็นต้องมีใครมาปกป้อง ผมมีประชาชนที่เข้าใจผม ให้กำลังใจผม สามารถฝากความหวังให้ผมทำงานให้เขาก็สามารถทำได้จนกว่าผมจะ ไม่มีเวลาทำ ทุกอย่างก็จะทำตามโรดแมป และไม่ว่าใครจะเป็นก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร ที่ตั้งขึ้นมา ก็มีการเอาปัญหาเก่ามาดูว่ามันเคยเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ซึ่งจะต้องดูผลงานของคนที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ว่ามีผลงานปรากฏหรือไม่ ทำอะไรได้บ้าง ซึ่งถ้าเราทบทวนตั้งแต่ก่อนวันที่ 22 พ.ค. 57 และหลังจากนั้น ทุกอย่างมันแตกต่างกัน นั่นคือเป้าหมายในการทำงาน เราไม่ต้องการสืบทอดอำนาจ ใครที่ผมแต่งตั้งขึ้นมาวันนี้ รัฐบาลหน้าที่มาจากการเมืองเขาก็ย้ายหมดนั่นแหละ ไม่ต้องไปกลัวว่าคนที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลนี้ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องไปพร้อมรัฐบาล เราจึงแต่งตั้งคนที่ทำหน้าที่ ไม่ได้ทำในสิ่งที่ผิดเลย ขอให้ทำตามกฎหมายเท่านั้น ทำตามหน้าที่ ถ้าจะมาบอกว่าเราทำเพื่อหวังผลที่อยู่ต่อไประยะยาว ยืนยันว่า ผมไม่ได้หวังอะไร พูดมาหลายครั้งแล้ว ผมไม่เคยหวังอะไรเลย ไม่ประสงค์ที่จะต่อท่ออำนาจ เพราะผมไม่เคยรู้สึกว่าผมมีอำนาจ อำนาจของผมมาจากประชาชน"
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องของ ครม. ทหาร วันนี้ตนก็ได้อธิบายให้เกิดความเข้าใจกับทุกคนแล้ว ยืนยันว่า ทหารวันนี้ไม่ใช่ทหารแบบเดิมที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เราเข้ามาเราต้องศึกษา อย่างตนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมตรี ก็ไม่เคยคิดว่านะมาเป็น แต่ที่ผ่านมาตนก็ทำหน้าที่บริหารกองทัพ แม้อาจจะไม่เหมือนกัน มีขนาดเล็กกว่า แต่ตนก็บริหารกองทัพในลักษณะเดียวกันคือ การบูรณาการ การแสดงความคิดเห็นของลูกน้อง ผู้บังคับบัญชา และตนเป็นคนตัดสินใจ อะไรที่จำเป็นต้องใช้อำนาจสั่งการ ก็ต้องสั่งการ แต่อะไรที่สามารถ หารือได้ก็ต้องหารือ ทั้งหมดต้องกำหนดรูปแบบให้ได้
"วันนี้ผมถือโอกาสบอกกับรัฐมนตรีที่เป็นภาคพลเรือนไปแล้วว่า อย่าระแวง ผมไม่ได้ตั้งคนมาเพื่อแชร์อำนาจ ทั้งหมดต้องตั้งกลุ่มขึ้นมาคุยกันทั้งรัฐมนตรีเก่า รัฐมนตรีใหม่ รองนายกฯ เก่า รองนายกฯใหม่ จะต้องทำงานร่วมกันทั้งหมด ผมไม่เคยแบ่งแยกใครอยู่แล้ว ขึ้นอยู่ว่าท่านจะทำกันได้แค่ไหนและยอมรับกันเองได้แค่ไหน ลดอัตตากันได้หรือเปล่า เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องทำงานร่วมกัน ทั้งนี้ ผมไม่หนักใจ แต่คาดหวังกับรัฐมนตรีใหม่ของผมเหมือนกัน และผมเองก็ไม่ได้ขัดแย้งกับใครทั้งสิ้น และผมได้ย้ำในที่ประชุม ครม.วันเดียวกันนี้ ถึงสิ่งที่ ครม.ชุดที่แล้วทำมา ครม.ใหม่ก็ต้องรับช่วงต่อไป ก็ต้องพัฒนาให้ชัดเจนจึ้น เร็วขึ้น อย่างที่ประชาชนต้องการ"
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในส่วนบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปี 2558 ว่า ตนได้ลงนามขึ้นทูลเกล้าฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และใครจะเป็นก็เหมือนกัน เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าไม่ใช่ชื่อ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. ก็คงไม่เป็นปัญหา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้อนถามทันทีว่า "จะเป็นหรือไม่เป็นก็ไม่เป็นไร ผมไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร สื่อจะทำให้มันเกิดความวุ่นวายอะไร น้องชายผมเขาก็ไม่ได้อะไร เขาก็แล้วแต่ ความจริงแล้วทุกคนก็ดำรงตำแหน่งได้ทั้งหมดนั่นแหละ แต่สถานการณ์แบบนี้ มันควรจะเป็นอย่างไร ใครอาวุโสกว่ากันตรงไหน ถนัดหรือเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันหรือไม่ ทุกคนเขารู้ตัวกันอยู่แล้ว อย่าไปกังวลกันว่า เป็นน้องของผม ผมเคยพูดมาแล้วว่าเป็นน้องของผมมันผิดอะไร แล้วมันตรงไหนจากที่ผมพูด ผมยังไม่ได้บอกว่าเขาจะเป็นอะไรสักหน่อย เป็นเรื่องของคณะกรรมการ ที่จะเสนอขึ้นมา ผมเห็นด้วย ผมก็เซ็นกลับไป เรื่องก็จบ ไม่มีปัญหา จะตั้งใครก็ต้องฟัง แต่ถ้าผมทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม มีผลประโยชน์แบบนี้ก็ไม่มีใครฟังผมอยู่ดี ถึงแม้จะตั้งเองก็ตามก็เหมือนกับที่ผมมายืนตรงนี้ เพราะคนอื่นเขาทำในสิ่งที่แก้ปัญหาไม่ได้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
** ผบ.ทร. สานต่อเรือดำน้ำจีน
พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวถึง กรณีที่บัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารประจำปี 58 ในส่วนของกองทัพเรือ ว่า เราใช้หลักเกณฑ์การพิจารณาบุคคล ก็คือจะคัดเอาคนดีที่สุดที่อยู่ใน 5 เสือกองทัพเรือ เนื่องจากเป็นตำแหน่งหลักอยู่แล้ว ในเมื่อขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ แสดงว่าต้องมีศักยภาพ และคนดีทุกคนขึ้นมาถึงจุดนี้ ตนก็เสนอให้ รมว.กลาโหม พิจารณาก็เท่านั้น ในขณะเดียวกันบุคคลที่จะขึ้นมาเป็น ผบ.ทร. คนต่อไปก็ต้องมาสานต่อนโยบายที่ตนทำไว้
สำหรับแคนดิเดต ผบ.ทร. คนถัดไป จะสร้างความเชื่อมั่นได้หรือไม่ พล.ร.อ.ไกรสร กล่าวว่า การแต่งตั้งทุกเหล่าคัดคนที่ดีที่สุดขึ้นมาบริหาร จะไม่ได้ตั้งเพียงคนเดียว แต่จะแต่งตั้งกันทั้งระบบ โดยจะคัดคนดีแต่ละรุ่น เฉลี่ยกันขึ้นไป เพื่อรองรับฐานในการเป็นผู้บริหารในอนาคต คงจะไม่เอนไปรุ่นใดรุ่นหนึ่ง แต่ทุกชั้นยศจะมีการเฉลี่ยกันไป ซึ่งในรุ่นหนึ่งจะมีคนดีประมาณ 15 % ที่เป็นคนเก่งของรุ่น เราก็ต้องสร้างเขาขึ้นมา เพราะฉะนั้นที่ตนกล่าวไปเป็นหลักการในการบริหารกำลังพลอยู่แล้ว คิดว่าทุกคนก็ใช้เหมือนกัน ไม่ใช่เอาแค่รุ่นเดียวแล้วให้ขึ้นมากันทั้งหมด ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้รุ่นต่อไปหายกันถึง1-2 รุ่น
เมื่อถามว่า ผบ.ทร. คนต่อไปจำเป็นต้องผลักดันเรือดำน้ำหรือไม่ พล.ร.อ.ไกรสร กล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะโครงการดังกล่าวกำลังเสนอให้รัฐบาลพิจารณาอยู่ ว่าจะอนุมัติหรือไม่ ถ้าไม่อนุมัติ ก็ต้องยกเลิก หรืออาจจะผลักดันต่อในปีงบประมาณถัดไป ทั้งนี้ตนย้ำว่า เราเสนอสิ่งที่ดีที่สุดตามกรอบงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งงบประมาณ 36,000 ล้านบาท ถือว่าดีที่สุด และตอบโจทย์ที่สุดแล้ว
เมื่อถามว่า รู้สึกเสียใจหรือไม่ที่โครงการดังกล่าวยังไม่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลในช่วงที่เป็น ผบ.ทร. พล.ร.อ.ไกรสร กล่าวว่า "ไม่หรอกครับ ต้องเข้าใจว่าทุกอย่างมีกรอบ เราต้องทำตามหน้าที่ โดยความจำเป็นด้านงบประมาณ ถือเป็นเรื่องของรัฐบาลจะต้องพิจารณา ทุกคนก็เสมือนกับเครื่องจักรฟันเฟื่องขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง ไม่มีอะไรพร้อมไปทุกอย่าง ถ้าจังหวะได้ และงบประมาณได้มันก็ได้ ถ้าไม่ก็ถือเป็นเรื่องของโชคชะตา"
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ถ้าโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำไม่ได้ในปีงบประมาณ 2558 จะไม่ทันในการดูแลผลประโยชน์ของประเทศชาติ ผบ.ทร กล่าวว่า ก็มีส่วน การต่อเรือวันนี้ ไม่ได้ในวันสองวัน แต่ความจริงจะได้ประมาณ 5-6 ปี ในทำนองเดียวกัน กำลังพลต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับอุปกรณ์ต่างๆ ภายในเรือดำน้ำด้วย
"ขอร้องว่า อย่ามองว่าผมตั้งคนหรือใครขึ้นมา ตั้งผบ.ทบ. ตั้งตำรวจ เป็นการแชร์อำนาจ ผมไม่จำเป็นต้องแชร์อำนาจเพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องการต่อรอง ไม่ใช่เรื่องของผลประโยชน์ เพราะฉะนั้นการตั้งคนเข้ามาดำรงตำแหน่ง ก็ตั้งตามเหตุผล สิ่งที่ควรจะเป็นตามระเบียบที่เขาทำขึ้นมา หลายคนออกมาบอกว่า แต่งตั้งเพื่อปกป้องผม ไม่เป็นความจริง ไม่ต้องให้ใครมาปกป้องผมหรอก ปกป้องประเทศชาติดีกว่า เพราะผมไม่ได้ทำความเลวอะไร จึงไม่จำเป็นต้องมีใครมาปกป้อง ผมมีประชาชนที่เข้าใจผม ให้กำลังใจผม สามารถฝากความหวังให้ผมทำงานให้เขาก็สามารถทำได้จนกว่าผมจะ ไม่มีเวลาทำ ทุกอย่างก็จะทำตามโรดแมป และไม่ว่าใครจะเป็นก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร ที่ตั้งขึ้นมา ก็มีการเอาปัญหาเก่ามาดูว่ามันเคยเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ซึ่งจะต้องดูผลงานของคนที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ว่ามีผลงานปรากฏหรือไม่ ทำอะไรได้บ้าง ซึ่งถ้าเราทบทวนตั้งแต่ก่อนวันที่ 22 พ.ค. 57 และหลังจากนั้น ทุกอย่างมันแตกต่างกัน นั่นคือเป้าหมายในการทำงาน เราไม่ต้องการสืบทอดอำนาจ ใครที่ผมแต่งตั้งขึ้นมาวันนี้ รัฐบาลหน้าที่มาจากการเมืองเขาก็ย้ายหมดนั่นแหละ ไม่ต้องไปกลัวว่าคนที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลนี้ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องไปพร้อมรัฐบาล เราจึงแต่งตั้งคนที่ทำหน้าที่ ไม่ได้ทำในสิ่งที่ผิดเลย ขอให้ทำตามกฎหมายเท่านั้น ทำตามหน้าที่ ถ้าจะมาบอกว่าเราทำเพื่อหวังผลที่อยู่ต่อไประยะยาว ยืนยันว่า ผมไม่ได้หวังอะไร พูดมาหลายครั้งแล้ว ผมไม่เคยหวังอะไรเลย ไม่ประสงค์ที่จะต่อท่ออำนาจ เพราะผมไม่เคยรู้สึกว่าผมมีอำนาจ อำนาจของผมมาจากประชาชน"
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องของ ครม. ทหาร วันนี้ตนก็ได้อธิบายให้เกิดความเข้าใจกับทุกคนแล้ว ยืนยันว่า ทหารวันนี้ไม่ใช่ทหารแบบเดิมที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เราเข้ามาเราต้องศึกษา อย่างตนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมตรี ก็ไม่เคยคิดว่านะมาเป็น แต่ที่ผ่านมาตนก็ทำหน้าที่บริหารกองทัพ แม้อาจจะไม่เหมือนกัน มีขนาดเล็กกว่า แต่ตนก็บริหารกองทัพในลักษณะเดียวกันคือ การบูรณาการ การแสดงความคิดเห็นของลูกน้อง ผู้บังคับบัญชา และตนเป็นคนตัดสินใจ อะไรที่จำเป็นต้องใช้อำนาจสั่งการ ก็ต้องสั่งการ แต่อะไรที่สามารถ หารือได้ก็ต้องหารือ ทั้งหมดต้องกำหนดรูปแบบให้ได้
"วันนี้ผมถือโอกาสบอกกับรัฐมนตรีที่เป็นภาคพลเรือนไปแล้วว่า อย่าระแวง ผมไม่ได้ตั้งคนมาเพื่อแชร์อำนาจ ทั้งหมดต้องตั้งกลุ่มขึ้นมาคุยกันทั้งรัฐมนตรีเก่า รัฐมนตรีใหม่ รองนายกฯ เก่า รองนายกฯใหม่ จะต้องทำงานร่วมกันทั้งหมด ผมไม่เคยแบ่งแยกใครอยู่แล้ว ขึ้นอยู่ว่าท่านจะทำกันได้แค่ไหนและยอมรับกันเองได้แค่ไหน ลดอัตตากันได้หรือเปล่า เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องทำงานร่วมกัน ทั้งนี้ ผมไม่หนักใจ แต่คาดหวังกับรัฐมนตรีใหม่ของผมเหมือนกัน และผมเองก็ไม่ได้ขัดแย้งกับใครทั้งสิ้น และผมได้ย้ำในที่ประชุม ครม.วันเดียวกันนี้ ถึงสิ่งที่ ครม.ชุดที่แล้วทำมา ครม.ใหม่ก็ต้องรับช่วงต่อไป ก็ต้องพัฒนาให้ชัดเจนจึ้น เร็วขึ้น อย่างที่ประชาชนต้องการ"
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในส่วนบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปี 2558 ว่า ตนได้ลงนามขึ้นทูลเกล้าฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และใครจะเป็นก็เหมือนกัน เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าไม่ใช่ชื่อ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. ก็คงไม่เป็นปัญหา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้อนถามทันทีว่า "จะเป็นหรือไม่เป็นก็ไม่เป็นไร ผมไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร สื่อจะทำให้มันเกิดความวุ่นวายอะไร น้องชายผมเขาก็ไม่ได้อะไร เขาก็แล้วแต่ ความจริงแล้วทุกคนก็ดำรงตำแหน่งได้ทั้งหมดนั่นแหละ แต่สถานการณ์แบบนี้ มันควรจะเป็นอย่างไร ใครอาวุโสกว่ากันตรงไหน ถนัดหรือเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันหรือไม่ ทุกคนเขารู้ตัวกันอยู่แล้ว อย่าไปกังวลกันว่า เป็นน้องของผม ผมเคยพูดมาแล้วว่าเป็นน้องของผมมันผิดอะไร แล้วมันตรงไหนจากที่ผมพูด ผมยังไม่ได้บอกว่าเขาจะเป็นอะไรสักหน่อย เป็นเรื่องของคณะกรรมการ ที่จะเสนอขึ้นมา ผมเห็นด้วย ผมก็เซ็นกลับไป เรื่องก็จบ ไม่มีปัญหา จะตั้งใครก็ต้องฟัง แต่ถ้าผมทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม มีผลประโยชน์แบบนี้ก็ไม่มีใครฟังผมอยู่ดี ถึงแม้จะตั้งเองก็ตามก็เหมือนกับที่ผมมายืนตรงนี้ เพราะคนอื่นเขาทำในสิ่งที่แก้ปัญหาไม่ได้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
** ผบ.ทร. สานต่อเรือดำน้ำจีน
พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวถึง กรณีที่บัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารประจำปี 58 ในส่วนของกองทัพเรือ ว่า เราใช้หลักเกณฑ์การพิจารณาบุคคล ก็คือจะคัดเอาคนดีที่สุดที่อยู่ใน 5 เสือกองทัพเรือ เนื่องจากเป็นตำแหน่งหลักอยู่แล้ว ในเมื่อขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ แสดงว่าต้องมีศักยภาพ และคนดีทุกคนขึ้นมาถึงจุดนี้ ตนก็เสนอให้ รมว.กลาโหม พิจารณาก็เท่านั้น ในขณะเดียวกันบุคคลที่จะขึ้นมาเป็น ผบ.ทร. คนต่อไปก็ต้องมาสานต่อนโยบายที่ตนทำไว้
สำหรับแคนดิเดต ผบ.ทร. คนถัดไป จะสร้างความเชื่อมั่นได้หรือไม่ พล.ร.อ.ไกรสร กล่าวว่า การแต่งตั้งทุกเหล่าคัดคนที่ดีที่สุดขึ้นมาบริหาร จะไม่ได้ตั้งเพียงคนเดียว แต่จะแต่งตั้งกันทั้งระบบ โดยจะคัดคนดีแต่ละรุ่น เฉลี่ยกันขึ้นไป เพื่อรองรับฐานในการเป็นผู้บริหารในอนาคต คงจะไม่เอนไปรุ่นใดรุ่นหนึ่ง แต่ทุกชั้นยศจะมีการเฉลี่ยกันไป ซึ่งในรุ่นหนึ่งจะมีคนดีประมาณ 15 % ที่เป็นคนเก่งของรุ่น เราก็ต้องสร้างเขาขึ้นมา เพราะฉะนั้นที่ตนกล่าวไปเป็นหลักการในการบริหารกำลังพลอยู่แล้ว คิดว่าทุกคนก็ใช้เหมือนกัน ไม่ใช่เอาแค่รุ่นเดียวแล้วให้ขึ้นมากันทั้งหมด ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้รุ่นต่อไปหายกันถึง1-2 รุ่น
เมื่อถามว่า ผบ.ทร. คนต่อไปจำเป็นต้องผลักดันเรือดำน้ำหรือไม่ พล.ร.อ.ไกรสร กล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะโครงการดังกล่าวกำลังเสนอให้รัฐบาลพิจารณาอยู่ ว่าจะอนุมัติหรือไม่ ถ้าไม่อนุมัติ ก็ต้องยกเลิก หรืออาจจะผลักดันต่อในปีงบประมาณถัดไป ทั้งนี้ตนย้ำว่า เราเสนอสิ่งที่ดีที่สุดตามกรอบงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งงบประมาณ 36,000 ล้านบาท ถือว่าดีที่สุด และตอบโจทย์ที่สุดแล้ว
เมื่อถามว่า รู้สึกเสียใจหรือไม่ที่โครงการดังกล่าวยังไม่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลในช่วงที่เป็น ผบ.ทร. พล.ร.อ.ไกรสร กล่าวว่า "ไม่หรอกครับ ต้องเข้าใจว่าทุกอย่างมีกรอบ เราต้องทำตามหน้าที่ โดยความจำเป็นด้านงบประมาณ ถือเป็นเรื่องของรัฐบาลจะต้องพิจารณา ทุกคนก็เสมือนกับเครื่องจักรฟันเฟื่องขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง ไม่มีอะไรพร้อมไปทุกอย่าง ถ้าจังหวะได้ และงบประมาณได้มันก็ได้ ถ้าไม่ก็ถือเป็นเรื่องของโชคชะตา"
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ถ้าโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำไม่ได้ในปีงบประมาณ 2558 จะไม่ทันในการดูแลผลประโยชน์ของประเทศชาติ ผบ.ทร กล่าวว่า ก็มีส่วน การต่อเรือวันนี้ ไม่ได้ในวันสองวัน แต่ความจริงจะได้ประมาณ 5-6 ปี ในทำนองเดียวกัน กำลังพลต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับอุปกรณ์ต่างๆ ภายในเรือดำน้ำด้วย