xs
xsm
sm
md
lg

โชเฟอร์TAXIยันมือบึ้ม ไม่ใช่คนไทย-ตรวจรถหาDNA

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการ - “สมยศ” ยืนยันคดีบึ้มราชประสงค์มีความคืบหน้า ปัดชาวเติร์กอยู่เบื้องหลัง ยันทำเป็นขบวน ขณะที่โชเฟอร์แท็กซี่เขียวเหลือง ที่รับผู้โดยสารเสื้อเหลืองมือวางบึ้มเข้าให้ปากคำ พร้อมนำรถให้พฐ.ตรวจหาหลักฐาน ยันซ้ำมือบึ้มไม่ใช่คนไทย ขณะที่ในต่างจังหวัด วิตก เห็นอะไรเป็นวัตถุต้องสงสัยไปหมด รองผบ.ตร.สั่งตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดบางส่วนที่ยังขาดหายเพิ่ม เชื่อออกหมายจับได้ในไม่ช้า พรุ่งนี้รู้ผลตรวจดีเอ็นเอบนธนบัตรที่ได้จากจยย.รับจ้าง รับส่งมือบึ้ม “บิ๊กตู่”สั่งปรับแผนเยียวยา เหยื่อบึ้มเท่าเทียมไทย-ต่างชาติ คสช.แถลง ตร.เล็งติดกล้องวงจรปิดเพิ่ม

วานนี้ (25 ส.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่มีการวิเคราะห์ในการเสวนาสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่ระบุว่า อาจมีชาวเติร์กอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ ว่า ตนไม่ได้พูดเช่นนั้น ไม่ทราบข้อมูลตรงนี้ยังบอกไม่ได้ เอาเป็นว่าขณะนี้การสืบสวนสอบสวนมีความคืบหน้า แต่ปัญหาอุปสรรคอยู่ที่กล้องวงจรปิดที่เราเก็บมาไม่ค่อยมีความต่อเนื่อง มีจำนวนมากที่ใช้การไม่ได้ รวมถึงไม่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด จึงเป็นปัญหาในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนคนขับแท็กซี่มีความคืบหน้าทางการสืบสวนอย่างไรบ้างนั้น เรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของพนักงานสอบสวน ส่วนคำให้การขอไม่เปิดเผย

เมื่อถามว่าพบความเชื่อมโยงระหว่างระเบิดที่แยกราชประสงค์ และระเบิดที่ท่าน้ำสาทรหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า รูปแบบระเบิดคล้ายกัน ทำมาจากวัสดุคล้ายกัน ส่วนดินระเบิดนั้นเรายังไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ และการจุดชนวนหรือการจุดระเบิดนั้นก็ยังไม่มีการยืนยัน ถ้าหลายๆ อย่างมีความคล้ายคลึงหรือเหมือนกันเราจึงจะยืนยันว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน แต่ในเบื้องต้นก็น่าจะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน

“จากการสืบสวนเริ่มจะมีความมั่นใจมากขึ้นว่ามีการกระทำเป็นขบวนการ มีการแบ่งหน้าที่กันทำ มีการช่วยเหลือสนับสนุนกัน ทั้งคนตระเตรียมการ คนดูเส้นทาง คนจัดหาระเบิด คนดำเนินการวาง คนหาที่พักหรือพาหนี มีการแบ่งหน้าที่กันทำชัดเจน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยไม่ได้ ส่วนที่ท่าเรือสาทรเจตนาที่จะวางซ้ำอีกลูกหนึ่งหรือไม่นั้น ต้องรอให้จับกุมคนร้ายให้ได้ก่อน กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก็ได้มีการขีดวงแคบลงเรื่อยๆ แต่เรื่องนี้คงบอกไม่ได้ ” ผบ.ตร.ระบุ

***โชเฟอร์TAXI ยันมือบึ้มไม่ใช่คนไทย

เมื่อเวลา 13.50 น.สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ(สพฐ.ตร.) นายเฉลิม ขอสงวนนามสกุล (คำเพ็ง) อายุ 44 ปี คนขับรถแท็กซี่สีเขียวเหลืองซึ่งรับคนร้ายชายสวมเสื้อเหลืองที่ปรากฏภาพในกล้องวงจรปิด เดินทางเข้าให้ปากคำกับ พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง พร้อมให้เจ้าหน้าที่ตรวจหาหลักฐานภายในรถแท็กซี่ หลังจากก่อนหน้านี้ได้เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสน.ลุมพินี และตำรวจกองปราบปรามไปแล้ว

นายเฉลิม กล่าวว่า ตนเพิ่งทราบเมื่อวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 20.00 น.ว่ารถแท็กซี่ของตนเป็นรถที่รับคนร้าย ก่อนจะมาก่อเหตุวางระเบิด ที่ทราบเพราะพี่สาวโทรศัพท์มาบอกว่ามีตำรวจติดต่อมา และเมื่อได้ดูกล้องวงจรปิดก็พบว่ารถคันดังกล่าวเป็นรถของตนจริง โดยวันเกิดเหตุช่วงเวลาประมาณ 15.00น.-16.00 น.ตนได้รับคนร้ายซึ่งเดินทางมาคนเดียวจากบริเวณถ.พระราม 4 ก่อนถึงหน้าตึกชาญอิสระ ย่านศาลาแดง ไปส่งที่สถานีรถไฟหัวลำโพง แต่ไม่ได้เข้าไปส่งภายใน ส่งแค่บริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม

"เท่าที่พอจำได้เขาเป็นฝรั่ง ตอนรับขึ้นมาเขาก็มีท่าทางปกติ พูดคำว่าหัวลำโพงภาษาไทยไม่ชัด คล้ายฝรั่งพูดภาษาไทย เมื่อลงจากรถได้จ่ายค่ารถเป็นแบงก์ร้อย ระหว่างทางก็ไม่ได้มีการพูดคุยกัน ไม่สังเกตว่ามีสัมภาระอะไรบ้าง ไม่แน่ใจว่ามีการใช้โทรศัพท์หรือไม่ แต่ยืนยันว่าไม่ใช่คนไทยแน่นอน"นายเฉลิม ระบุ

***ผบ.ตร.ยันเอาผิดนักข่าวฮ่องกง

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) กล่าวถึงนักข่าวฮ่องกงถูกกักตัวและแจ้งข้อกล่าวหาครอบครองอาวุธตามพ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 กรณีมีเสื้อเกราะซึ่งเป็นยุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครอง ขณะเตรียมขึ้นเครื่องบินกลับฮ่องกงที่สนามบินสุวรรณภูมิ หลังเสร็จสิ้นการรายงานข่าวระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณ ว่า ตนได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร.และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปติดตามเรื่องนี้แล้ว พร้อมทั้งให้ไปทำความเข้าใจกับสื่อต่างชาติที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ได้มีการอธิบายเหตุผลที่มาที่ไปของเหตุการณ์ ว่าเป็นอย่างไรแล้ว ทั้งเสื้อเกราะและเสื้อกันกระสุนตามกฎหมายของประเทศไทยถือว่าเป็นยุทธภัณฑ์คนธรรมดาไม่สามารถมีไว้ครอบครองได้ เมื่อทางการท่าฯ นำตัวมาส่งตำรวจก็หลีกเลี่ยงการดำเนินคดีไม่ได้ ส่วนในเรื่องการลงโทษหรือการตัดสินของศาลเป็นเรื่องที่อยู่ในดุลยพินิจของศาล คงไม่สามารถไปก้าวล่วงได้

**คนต่างจังหวัดวิตก!แจ้งพบวัตถุต้องสงสัย

ที่ จ.เชียงราย เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา ร.ต.ท.สุริยา อุปนันกาศ รองสารวัตรสรรพาวุธ กองกำกับการสืบสวน ภ.จว.เชียงราย พร้อมตำรวจชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) ได้รับแจ้งมีผู้พบวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิดติดอยู่ภายในรถยนต์กระบะ สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน ษค 8902 กรุงเทพฯ จอดอยู่บริเวณหน้าโรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย ต.ริมกก อ.เมืองเชียงราย จึงไปตรวจสอบ พบเป็นกล่องพลาสติกสีดำ มีสายไฟผูกโยงกันไปมา เจ้าหน้าที่จึงได้กันพื้นที่บริเวณโดยรอบและปิดถนนสายบายพาสเชียงราย-ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงชั่วคราว ก่อนออกตรวจสอบโดยรอบตัวรถรวมทั้งกล่องดังกล่าว แต่ปรากฏว่าไม่พบว่ามีระเบิดอยู่ภายในกล่องแต่อย่างใด เมื่อแกะกล่องออกดูก็ไม่พบวงจรที่เกี่ยวข้องกับวัตถุระเบิด แต่อาจเป็นวงจรระบบเครื่องเสียงภายในรถยนต์เท่านั้น

ขณะที่จ.ตราดบริเวณถนนสายสุขุมวิท ต.แสนตุ้ง อ.เขาสมิง ฝั่งตรงข้ามเยื้องกับบริษัท ทวีศักดิ์ กิตติยาค้าไม้ จำกัด หน่วยEOD เข้าเก็บกู้วัตถุต้องสงสัย พบว่าภายในถุงสีน้ำเงินเข้มมีวัตถุคล้ายระเบิด 2 ลูก ลูกแรกมีความสูงประมาณ 10-15 ซม.ทรงกลมคล้ายระเบิด TNT ถูกพันด้วยเทปสีดำและมีกระเดื่องโผล่ออกมา ส่วนลูกที่ 2 มีขนาดใหญ่ลูกแรก ลักษณะคล้ายไปป์บอม โดยด้านบนมีเทปสีดำพันไว้พร้อมกับสายไฟสีแหลือง 1 เส้น จากการตรวจสอบพบว่าวัตถุคล้ายระเบิดทั้ง 2 ลูกเป็นของปลอมที่ถูกทำขึ้นมาเองโดยลูกแรกเป็นคอยล์ปั๊มน้ำ และลูกที่ 2 เป็นกาพ่นสี ซึ่งภายในมีดินดำบรรจุไว้เต็ม

**ชาวหัวหินตื่นวัตถุต้องสงสัยแจ้งEODกู้

ส่วนที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ศูนย์วิทยุ 191 สภ.หัวหิน ได้รับแจ้งจากชาวบ้านพบวัตถุต้องสงสัยคล้ายวัตถุระเบิดทิ้งไว้โคนกอไผ่ บริเวณหมู่ที่ 9 บ้านเขาควง ต.ทับใต้ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ห่างจากบริษัทรับสัมปทานผลิตหินอ่อน ประมาณ 500 เมตร ซึ่งทางEOD เข้าตราจสอบก่อนทำการเก็บกู้วัตถุต้องสงสัยดังกล่าวออกมาจากที่เกิดเหตุ ปรากฏว่า วัตถุต้องสงสัยดังกล่าวไม่ใช่วัตถุระเบิด เป็นเพียงชิ้นส่วนท่อพีวีซีที่ใช้สำหรับต่อกับท่อประปาเท่านั้น

***รู้ผลตรวจDNAบนธนบัตร วินจยย.ส่งมือบึ้มวันนี้

ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผบ.ตร. กล่าวภายหลังการประชุมว่า วันนี้มาฟังผลการสรุปในการดำเนินงานของตำรวจนครบาลและตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งภาพจากกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุทั้งหมดที่เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้ขอมา จะต้องประสานไปยังกทม. เพื่อขอแผ่นพิมพ์เขียว เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเก็บข้อมูลเพิ่มเติมในสิ่งที่ขาดหายไป ส่วนการดำเนินการออกหมายจับผู้ต้องสงสัยในภาพที่ท่าเรือสาทรนั้น ก็อยู่ระหว่างดำเนินการ เมื่อถึงเวลาก็จะออกหมายจับตามภาพสเก็ตแบบราชประสงค์แน่นอน

ส่วนคนขับแท็กซี่หรือคนขับรถตุ๊กตุ๊กมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่นั้น ทางเจ้าหน้าที่กำลังวิเคราะห์ ส่วนรถแท็กซี่คันดังกล่าวไปตรวจสอบพิสูจน์แล้ว ส่วนประเด็นที่คนร้ายหนีออกนอกประเทศไปแล้วนั้น ตนก็ยังไม่ทราบว่าคนร้ายหนีออกไปแล้ว หรือยังไม่ออก

" คดีระเบิดที่แยกราชประสงค์ เมื่อพยานหลักฐานครบ ก็ออกหมายจับตามภาพสเก็ต เพราะคดีดังกล่าวไม่ใช่คดีในระดับประเทศ แต่มันเป็นคดีระดับโลก เนื่องจากมีประชาชนในหลายๆประเทศให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ส่วนประเด็นที่วางไว้ในช่วงที่เกิดเหตุแรกๆจนถึงตอนนี้นั้น ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะตนก็ยังไม่ทราบเช่นกัน แต่รู้อย่างเดียวคือเมื่อเกิดเหตุแล้ว จะต้องเร่งหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดี จากการสอบสวนที่ผ่านมาเหตุระเบิดที่ราชประสงค์และสาทรคิดว่ามีความเกี่ยวข้องกันแน่นอนหรือไม่นั้น ตนคาดว่าเป็นไปได้สูง เพราะส่วนประกอบบางตัวคล้ายกัน "

ส่วนการตรวจดีเอ็นเอจากธรบัตรใบละ 20 บาท ที่คนร้ายให้กับคนขับรถจักรยานยนต์นั้น เจ้าหน้าที่กำลังตรวจหาดีเอ็นเอ คาดว่าจะทราบผลภายในวันที่26ส.ค.นี้ นอกจากนี้ขอฝากสื่อมวลชนช่วยประชาสัมพันธ์ด้วยว่าหากประชาชนหรือผู้อยู่ในเหตุการณ์ต้องการให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ก็ขอให้ติดต่อมาได้ตลอด

***ปรับแผนเยียวยาเหยื่อบึ้มทั้งไทย-เทศ

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ประสบเหตุทั้งบาดเจ็บ และเสียชีวิต ทั้งชาวไทย ต่างประเทศว่า ในปัจจุบันชาวต่างชาติที่เสียชีวิตจะได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลไทยเป็นจำนวนเงินที่ค่อนข้างจะสูงกว่า มีส่วนต่างจากผู้เสียชีวิตที่เป็นชาวไทยมากพอสมควร นายกฯเลยว่าเรื่องนี้มีความจำเป็น และสำคัญ ประชาชนอาศัยอยู่ นักท่องเที่ยวที่มา ต่างต้องการความสุข แต่เมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้ว เราจำเป็นต้องดูแลทั้งสองกลุ่มให้ได้รับการช่วยเหลือ ได้รับความสนใจจากรัฐบาลให้ใกล้เคียงกัน

***คสช.แถลง ตร.เล็งติดกล้องวงจรปิดเพิ่ม

พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ (คสช.) แถลงตอนหนึ่งว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ขอความร่วมมือไปยังสถานที่ราชการ สถานประกอบการ และเจ้าของอาคารต่างๆ ช่วยในการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่มีอยู่ให้สามารถใช้การได้จริง รวมทั้งปรับมุมกล้องและความละเอียดของภาพ ให้เพียงพอที่จะสามารถใช้ตรวจสอบบุคคลได้อย่างชัดเจน และหากเป็นไปได้ อาจให้มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม
กำลังโหลดความคิดเห็น