xs
xsm
sm
md
lg

“บทความที่หลับตาเขียน”

เผยแพร่:   โดย: วิทยา วชิระอังกูร


จู่ๆ ดวงตาข้างขวาของผมก็เกิดพร่ามัวมองเห็นไม่ชัด ลองเอามือปิดสลับข้างไปมาก็รู้ว่าเกิดอาการไม่ปกติ จึงไปพบจักษุแพทย์ หลังจากตรวจแพทย์แจ้งว่าเริ่มเป็นต้อกระจก หากปล่อยทิ้งไว้อาการอาจลุกลาม แพทย์แนะนำให้ผ่าตัดลอกต้อกระจกแล้วใส่เลนส์ตาใหม่ ผมขอกลับมาศึกษาจากผู้รู้และผู้ผ่านประสบการณ์การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาใหม่ จนมั่นใจว่าดีแล้ว จึงตัดสินใจยอมให้หมอผ่าตัดแต่โดยดี

        หลังการผ่าตัดตาขวาถูกปิดครอบ แพทย์สั่งว่าตาที่ผ่าตัดห้ามถูกน้ำ ห้ามก้มต่ำกว่าเอว และให้พยายามพักสายตาประมาณ 1 เดือน ผมจึงต้องนั่งหลับตาเพื่อพักสายตาแทบทั้งวัน 

        หลายวันก่อนผมนั่งหลับตาฟังข่าวทางทีวี เป็นข่าวการลงมติครั้งสำคัญของสภาเรือแป๊ะ ซึ่งผมเคยคาดหวังว่าจะเป็นโอกาสที่แป๊ะและทีมงานที่มีอำนาจพิเศษเด็ดขาด จะช่วยกันจับวิญญาณชั่วร้ายทางการเมืองใส่หม้อถ่วงน้ำเพื่อให้การเมืองไทย ปลอดจากความชั่วร้ายที่ปลิ้นปล้อนหลอกหลอนมาช้านาน

แต่แล้วก็ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเหล่าผู้กระทำผิดคิดมิชอบกลับถูกปลดปล่อยโดยสภาเรือแป๊ะด้วยคะแนนท่วมท้นเกินกว่าครึ่ง ชนิดสวนกระแสความคาดหวังของคนที่อยากเห็นการปฏิรูปทางการเมือง

มิหนำซ้ำผมยังได้ยินข่าวต่อมาว่ามือกฎหมายนักร่างรัฐธรรมนูญในทีมของเรือแป๊ะ ยังออกมาเสนอว่าจะร่างรัฐธรรมนูญโดยกำหนดเป็นเงื่อนไขว่าหลังการเลือกตั้ง ครั้งต่อไปจะต้องจัดตั้งรัฐบาลเป็นรัฐบาลแห่งชาติ 

โดยมุ่งเน้นการปรองดอง ที่ได้ยินคำนี้ทีไร ก็รู้สึกผะอืดผะอมทุกที นับตั้งแต่การจัดอีเวนท์งานปรองดองแบบอีหลักอีเหลื่อหลังการรัฐประหารใหม่ๆ ที่จัดคอนเสิร์ตให้ กปปส. เสื้อเหลือง เสื้อแดงมาจับมือกันบนเวที หรือจับตะหลิวร่วมกัน ซึ่งเห็นแล้วก็หัวร่อมิได้ร้องไห้ไม่ออกจริงๆ

และรัฐบาลแห่งชาติเพื่อการปรองดองก็จินตนาการได้เลยว่า ทั้งรัฐสภาและรัฐบาลจะเต็มไปด้วยซากเดิมการเมืองเก่าๆ วนเวียนมาสร้างปัญหาสารพัดสารพันให้บ้านเมืองแบบเดิมๆ อีกต่อไป

ผมนั่งหลับตาคิดอยู่คนเดียวด้วยความวังเวงในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ในภาวะที่ต้องนั่งหลับตาเขียนบทความโดยวานให้คนตาดีมาช่วยพิมพ์ให้ ผมจะทำอะไรได้นอกจากต้องทำใจนั่งปลงเสียดายโอกาส และสงสารประเทศไทยต่อไป

ก่อนผ่าตัดรักษาดวงตา ผมเคยเขียนบทกวีด้วยอารมณ์ขำขื่นไว้ดังนี้ครับ

“ตามน้ำ”
ยักตื้นก็ติดกึก
ยักลึกก็ติดกัก
เลยทำยึกยึกยักยัก
ติดทั้งกักติดทั้งกึก
เพราะใจไม่ใสจริง
ยังยุ่งยิ่งยังอักอึก
ยักตื้น ฤา ยักลึก
จึงฉึกฉึก จึงฉึกกะฉัก
เรื่อยเรื่อยจึงเรียงเรียง
จึงเลี่ยงเลี่ยงจึงไกลหลัก
ติดหล่มติดชะนัก
จนจมปลักหลักปักเลน
ยักตื้น ฤา ยักลึก
จึงยักยึกอย่างที่เห็น
ปลาตายในน้ำเย็น
เพราะเล่นว่ายไปตามน้ำ...

             ว.แหวนลงยา

แต่เพื่อให้บทความประกอบบทกวีครั้งนี้ตรงตามชื่อเรื่อง จึงขอฝากบทกวีสองบทที่นอนหลับตาเขียนในโรงพยาบาลมาให้อ่านกัน แม้จะค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ผมก็คิดว่าน่าจะดีกว่าเรื่องส่วนรวมของประเทศที่มีแต่เรื่องเลวร้ายไม่สิ้นสุด แม้ในยุคที่หวังจะเห็นการปฏิรูปการเมืองอย่างเด็ดขาดจริงจังด้วยอำนาจการรัฐประหาร แล้วก็หวังค้างอย่างที่เห็นที่เป็นอยู่ มิใช่หรือ?

1) “บทกวีที่หลับตาเขียน”
นอนรอในโรงพยาบาล
รอนานจนม่อยหลับไป
พยาบาลมาขอวัดไข้
ปรอทสอดใส่ ไข้ไม่มี
พยาบาลมาวัดความดัน
ความดันทุรังคงที่
สูงต่ำพอดิบพอดี
ม่อยหลับกรนฟรี้ต่อไป
พยาบาลมาปลุกอีกครา
หยอดยาใส่ตาทันใด
บอกขยายม่านตาไว้
เตรียมให้หมอได้ผ่าตา
ไม่นานพยาบาลมาหยอดซ้ำ
หยอดนี้หยอดย้ำให้ตาชา
ป้ายชื่อผูกแขนตีตรา
ก่อนเข้าห้องผ่าตามพิธี
คิวผ่าตัดนัดสองโมงเช้า
คอยแล้วคอยเล่ายังเงียบฉี่
เลนส์ที่สั่งยังไม่มายังไม่มี
รอคิวใหม่อีกทีเมื่อเลนส์มา
แล้วเลนส์ก็มาพร้อมฟ้าฝน
นอนเปลนอนวกวนไปห้องผ่า
หมอบอกไม่ต้องฉีดยาชา
แค่หยอดยาประทังให้ทำใจ
แล้วหมอก็เริ่มพิธีกรรม
คนถูกทำก็นอนนิ่งไม่ติงไหว
เจ็บลึกเจ็บแปลบก็ทนไป
สักครู่ใหญ่ต้อกระจกก็จากจร
ได้เลนส์เทียมเลนส์ใหม่ใสกระจ่าง
คงมองโลกใสสว่างกว่าเก่าก่อน
ขอบคุณหมอ “เพลิน สุตรา” ผู้อาทร
นอนหลับตาเขียนกลอนให้ลูกพิมพ์
              
2) “หลับตาเห็นธรรม”
หลับตานั่งนิ่งนิ่ง 
สรรพสิ่งหยุดเคลื่อนไหว
มีเพียงลมหายใจ
กับจิตที่ไหววกวน
ตั้งมั่นสมาธิ
ตั้งสติรู้ตัวตน
ปัดกวาดกิเลสเปื้อนปน
เพ่งผลกรรมชั่วกรรมดี
หยุดสร้างสมมติ
หยุดราคะราคี
หยุดมีหยุดไม่มี
หยุดที่สติปัญญา
หลับตานั่งนิ่งนิ่ง
สรรพสิ่งอนัตตา
ธรรมะ ธรรมดา
รู้ธรรมรู้ค่าความเป็นคน

      ว.แหวนลงยา
กำลังโหลดความคิดเห็น