ASTVผู้จัดการรายวัน - จวก “กสทช.” ไม่ช่วยส่งเสริมทีวีดิจิตอล หวังเงินทุน 400 ล้านจาก “กสทช.” ร่วมจัดตั้งวัดเรตติ้งทีวีดิจิตอลมูลค่า 1,500 ล้านบาท ชี้ครึ่งปีหลังลุ้นงบประมาณแผ่นดินกระตุ้นเศรษฐกิจ ทีวีดิจิตอลอัดคอนเทนต์หวังเพิ่มเรตติ้งและรายได้ "PPTV" คิกออฟ "บุนเดสลีกา" หวังกอดคอบอลให้อยู่หมัดครบ 102 แมทช์ตลอดฤดูกาล
นายเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีพีทีวี เปิดเผยว่า ในครึ่งปีหลังนี้ทางสถานีฯจะมีคอนเทนต์กีฬาฟุตบอลดัง 2 รายการ คือ อังกฤษพรีเมียร์ลีก ซึ่งขณะนี้ขายสปอนเซอร์ได้ครบแล้ว ส่วนรายการที่2 คือ การถ่ายทอดสดฟุตบอล บุนเดสลีกา เยอรมัน ฤดูกาล 2015-2016 โดยการจับมือกับทางฟ็อกซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล แชนแนล (ประเทศไทย) จำกัด ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธ์บุนเดสลีกาในเอเชีย 6ปีตั้งแต่ปี2558เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ยังจะมีการเจรจาเพิ่มคอนเทนต์กีฬาอีก 2-3 รายการ ทั้งฟุตบอล มวย และวอลเล่ย์บอล และมีการเปิดตัวละครเรื่องใหม่ช่วงเดือนต.ค.นี้อีก 1 เรื่อง โดยในแง่เรตโฆษณาของพีพีทีวีจะมีการปรับขึ้นอัตโนมัติตามเรตติ้งรายการที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ภาพรวมทีวีดิจิตอลในครึ่งปีหลัง มองว่าจะแข่งขันรุนแรง หลายๆช่องเริ่มนำเสนอคอนเทนต์กีฬามากขึ้น ทั้งที่จุดขายเป็นช่องบันเทิง ทำให้ราคาประมูลคอนเทนต์กีฬาสูงขึ้นตามกลไกลตลาด แต่ในแง่ของเม็ดเงินโฆษณาในทีวีดิจิตอลครึ่งปีหลัง มีเพียงแค่บางช่องที่สามารถปรับราคาได้ จากการนำเสนอคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและมีเรตติ้ง แต่ในภาพรวม โดยเฉพาะในไตรมาสสี่ มองว่าปัจจัยสำคัญคือ งบประมาณแผ่นดิน หากยังไม่อนุมัติออกมา จะทำให้ความเชื่อมั่นลดลง เศรษฐกิจไม่เดินหน้า รากหญ้ามีปัญหา สินค้าบางกลุ่มได้รับผลกระทบ ส่งผลต่องบโฆษณาที่อาจจะทรงตัว
ติงกสทช.ไม่ส่งเสริมทีวีดิจิตอล
นายเขมทัตต์ กล่าวด้วยว่า ความคืบหน้าล่าสุดในการที่สมาคมมีเดียเอเจนซี่แห่งประเทศไทย ได้ทำการคัดเลือกบริษัทวิจัยเรตติ้งทีวีดิจิตอลขึ้นมา ซึ่งยังไม่พร้อมประกาศรายชื่อผู้ที่ได้ไปนั้น มองว่าการจัดทำการวิจัยเรตติ้งทีวีดิจิตอลครั้งนี้ ถือเป็นความบกพร่องต่อหน้าที่ของกสทช. ที่ไม่กำกับดูแลและไม่ส่งเสริมอุตสาหกรรมทีวีดิจิตอลให้เกิดขึ้น ทั้งที่มีกองทุนพัฒนาสื่ออยู่แล้ว
ขณะที่การคัดเลือกบริษัทวิจัยมาดูเรตติ้งทีวีดิจิตอลครั้งนี้ หวังให้ทาง กสทช. ร่วมลงทุนด้วยงบ 400ล้านบาท จากทั้งหมด 1,500 ล้านบาทในระยะเวลา5ปี ส่วนที่เหลือมาจากสถานีโทรทัศน์ที่ร่วมมือกันอีก 20 กว่าช่อง หรือตกช่องละ 50-60 ล้านบาท แต่หาก กสทช.ไม่ร่วมมือ แต่ละช่องจะต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ขณะที่หลายๆความคิดเห็นมองว่า การจัดตั้งวัดเรตติ้งครั้งนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่ ส่วนสำคัญที่สุดอยู่ที่กสทช.เท่านั้น
นายเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีพีทีวี เปิดเผยว่า ในครึ่งปีหลังนี้ทางสถานีฯจะมีคอนเทนต์กีฬาฟุตบอลดัง 2 รายการ คือ อังกฤษพรีเมียร์ลีก ซึ่งขณะนี้ขายสปอนเซอร์ได้ครบแล้ว ส่วนรายการที่2 คือ การถ่ายทอดสดฟุตบอล บุนเดสลีกา เยอรมัน ฤดูกาล 2015-2016 โดยการจับมือกับทางฟ็อกซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล แชนแนล (ประเทศไทย) จำกัด ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธ์บุนเดสลีกาในเอเชีย 6ปีตั้งแต่ปี2558เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ยังจะมีการเจรจาเพิ่มคอนเทนต์กีฬาอีก 2-3 รายการ ทั้งฟุตบอล มวย และวอลเล่ย์บอล และมีการเปิดตัวละครเรื่องใหม่ช่วงเดือนต.ค.นี้อีก 1 เรื่อง โดยในแง่เรตโฆษณาของพีพีทีวีจะมีการปรับขึ้นอัตโนมัติตามเรตติ้งรายการที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ภาพรวมทีวีดิจิตอลในครึ่งปีหลัง มองว่าจะแข่งขันรุนแรง หลายๆช่องเริ่มนำเสนอคอนเทนต์กีฬามากขึ้น ทั้งที่จุดขายเป็นช่องบันเทิง ทำให้ราคาประมูลคอนเทนต์กีฬาสูงขึ้นตามกลไกลตลาด แต่ในแง่ของเม็ดเงินโฆษณาในทีวีดิจิตอลครึ่งปีหลัง มีเพียงแค่บางช่องที่สามารถปรับราคาได้ จากการนำเสนอคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและมีเรตติ้ง แต่ในภาพรวม โดยเฉพาะในไตรมาสสี่ มองว่าปัจจัยสำคัญคือ งบประมาณแผ่นดิน หากยังไม่อนุมัติออกมา จะทำให้ความเชื่อมั่นลดลง เศรษฐกิจไม่เดินหน้า รากหญ้ามีปัญหา สินค้าบางกลุ่มได้รับผลกระทบ ส่งผลต่องบโฆษณาที่อาจจะทรงตัว
ติงกสทช.ไม่ส่งเสริมทีวีดิจิตอล
นายเขมทัตต์ กล่าวด้วยว่า ความคืบหน้าล่าสุดในการที่สมาคมมีเดียเอเจนซี่แห่งประเทศไทย ได้ทำการคัดเลือกบริษัทวิจัยเรตติ้งทีวีดิจิตอลขึ้นมา ซึ่งยังไม่พร้อมประกาศรายชื่อผู้ที่ได้ไปนั้น มองว่าการจัดทำการวิจัยเรตติ้งทีวีดิจิตอลครั้งนี้ ถือเป็นความบกพร่องต่อหน้าที่ของกสทช. ที่ไม่กำกับดูแลและไม่ส่งเสริมอุตสาหกรรมทีวีดิจิตอลให้เกิดขึ้น ทั้งที่มีกองทุนพัฒนาสื่ออยู่แล้ว
ขณะที่การคัดเลือกบริษัทวิจัยมาดูเรตติ้งทีวีดิจิตอลครั้งนี้ หวังให้ทาง กสทช. ร่วมลงทุนด้วยงบ 400ล้านบาท จากทั้งหมด 1,500 ล้านบาทในระยะเวลา5ปี ส่วนที่เหลือมาจากสถานีโทรทัศน์ที่ร่วมมือกันอีก 20 กว่าช่อง หรือตกช่องละ 50-60 ล้านบาท แต่หาก กสทช.ไม่ร่วมมือ แต่ละช่องจะต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ขณะที่หลายๆความคิดเห็นมองว่า การจัดตั้งวัดเรตติ้งครั้งนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่ ส่วนสำคัญที่สุดอยู่ที่กสทช.เท่านั้น