การเมืองไทยสไตล์ “สมบัติผลัดกันชม” นั้น สุดท้าย...นักการเมือง-ชนะ-ผู้นำทหาร...เสมอ!
ที่ผ่านมา “ผู้นำชาติ” ทั้งหลาย ไม่ยอมทำเพื่อชาติอย่างแท้จริง ชาติไทยจึงไร้การปฏิรูปทุกภาคส่วน ทำให้คนดีไม่ได้ขึ้นปกครองชาติ ขณะที่โดยส่วนใหญ่ คนชั่วได้ปกครองบ้านเมือง
ชาติไทยจึงวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ ที่มี-ส.ส.ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง มี-เผด็จการรัฐสภา มี-รัฐบาลชั่วคอร์รัปชันโกงชาติ สุดท้ายจึงมีคณะนายทหารลากปืน ออกมาโค่นล้มรัฐบาลโกงชาติ และมี “รัฐบาลเผด็จการทหาร” มาแทนที่...
แต่ “ผู้นำเผด็จการทหาร” ที่มีอำนาจล้นฟ้า ก็มิได้ปฏิรูปชาติในทุกมิติอย่างจริงจัง อีกทั้งยังอยากสืบทอดอำนาจตนเองและพวกพ้องอยู่เสมอ
ที่สำคัญ “ผู้นำเผด็จการทหาร” ที่มีอำนาจล้นฟ้า แทนที่จะสร้างผลงานดีๆ ให้ชาติ เพื่อชาวไทยจะได้ชื่นชมสรรเสริญ ก็ดันไปหลงกลเกมการเมืองบนความไม่พร้อมในหลายมิติของประชาชน
นั่นคือ งมงายในความเชื่อผิดๆ ที่ว่า การเลือกตั้งสกปรก ก็เป็น “ประชาธิปไตย!!!”
ทั้งๆ ที่ “ผู้นำเผด็จการทหาร” ทุกคน ล้วนรู้อยู่แก่ใจว่า การเลือกตั้งของชาติไทยตั้งแต่อดีตจรดปัจจุบัน เต็มไปด้วยการใช้เงินซื้อเสียงและโกงการเลือกตั้ง แถมมีการผลาญและโกงเงินชาติ ด้วยนโยบายประชานิยมจอมปลอมอีกด้วย ฯลฯ
เลือกตั้งชั่วช้าสามานย์นี้ จึงมิใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริงแม้แต่น้อย หากแต่เป็นช่องทางให้ทุนการเมืองชั่วร้าย ใช้ “การเลือกตั้งกำมะลอ” เป็นใบผ่านทางอันชอบธรรม (กำมะลอ) เข้ายึดสภา-รัฐบาล เพื่อโกงชาติอย่างมโหฬารเท่านั้นเอง
การเมืองเผด็จการทุนสามานย์ จึงยึดถือ “เงิน” เป็นสรณะ ดังนั้น ใครโกงชาติเก่ง-ถือเป็น-“คนเก่ง” เป็นคนที่รัฐบาลชั่วจะสนับสนุนให้ขึ้นเป็นใหญ่ ทั้งในรัฐบาล-องค์กรอิสระ-รัฐวิสาหกิจ-กระทรวง-ทบวง-กรม ฯลฯ
ตัวอย่างยุคคนชั่วได้ดิบได้ดีที่ชัดเจนที่สุด คือ ยุครัฐบาลเผด็จการทุนสามานย์“เหลี่ยม” ครองเมือง เพราะเป็นยุคที่ “คนทำดีได้ดี-ไม่มีให้เห็น” แต่ “คนทำชั่วได้ดี-มีให้เห็นถมไป”
ระบอบประชาธิปไตยกำมะลอนี้ เนื้อแท้จึงเป็นระบอบ “คณา-ธนา-โจราธิปไตย”ของ “กลุ่มเผด็จการทุนสามานย์โกงชาติ” นั่นเอง
ระบอบเผด็จการทุนสามานย์ จะซื้อนักการเมืองไม่รักชาติ มาเป็น “เครื่องมือ” ในการให้ได้เสียงข้างมากในสภาฯ เพื่อยกมือให้ “สมุน” เผด็จการทุนสามานย์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี และตั้งคณะรัฐมนตรีเชิดหน้ายืดอกประกาศตัวว่า เป็น “รัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง” (ตามระบอบ “ประชาธิปไตยโกงกินได้สไตล์เหลี่ยม”)
จากนั้น ส.ส.ขี้ข้าเสียงข้างมาก จะใช้อำนาจเผด็จการในรัฐสภา สนับสนุน-ปกป้อง-ค้ำจุน-รัฐบาลชั่ว ของเผด็จการทุนสามานย์ เพื่อโกงชาติและสืบทอดอำนาจรัฐให้อยู่นานที่สุด
ผลของการคิดผิด-ทำผิดอย่างมหันต์นี้ ทำให้รัฐบาลเผด็จการทหาร ในยุคก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ต้องแสวงหา “เงิน” ด้วยวิธีไม่โปร่งใส มาแจกจ่ายให้นักการเมืองขี้ฉ้อ ทั้งยังต้องเอื้อประโยชน์มากมาย ให้นักการเมืองละโมบไม่รู้จักพอสวาปามอยู่ตลอดเวลา
แต่แล้ว...รัฐบาลเผด็จการทหาร “จอมพลถนอม” ที่ใช้นักการเมืองเป็น “บันไดสืบทอดอำนาจ” ก็ต้องโละทิ้งนักการเมืองขี้ฉ้อเหล่านั้น ด้วยวิธี “เผด็จการจอมพลถนอม” ทำรัฐประหาร โค่นล้ม “รัฐบาลจอมพลถนอม” ลงอีกครา...
สุดท้าย...รัฐบาลเผด็จการ “จอมพลถนอม” ที่มีญาติพี่น้องคุมกำลังทหารไว้ในกำมือ ต้องล้มครืนลงด้วยพลังประชาชนที่ลุกขึ้นขับไล่ จนตัวเผด็จการ “จอมพลถนอม” ต้องเผ่นหนีไปอยู่ต่างแดน อีกทั้งโดนรัฐบาลใหม่ยึดทรัพย์อีกด้วย
อดีตมาซ้ำรอยอีกครา เมื่อ รสช.เข้ายึดอำนาจ หลังรัฐประหารสำเร็จ “พลเอกสุจินดา คราประยูร” ก็ใช้นักการเมืองขี้ฉ้อเขี้ยวลากดิน ที่พวกตนโค่นล้มมาเป็น “บันไดสืบทอดอำนาจ” ด้วยการส่งตนให้ขึ้นเป็น “นายกฯ เสียสัตย์” เพราะหลงเชื่อลมปากกลุ่มทุนสามานย์ และนักการเมืองสอพลอเข้าจังเบอร์
“พลเอกสุจินดา” จึงต้องหาเงินและเอื้อประโยชน์ ป้อนให้ประดานักการเมืองขี้ฉ้อทั้งหลาย จนฉาวด้วยข้อครหาคอร์รัปชันชาติ
รัฐบาล “สุจินดาเสียสัตย์” จึงอยู่ได้แค่ 47 วันเท่านั้น ก็ต้องล้มครืนลงอย่างไม่เป็นท่า เพราะ “มหาจำลอง” กับประชาชนผู้กล้าหาญ ได้ลุกขึ้นขับไล่ “นายกฯ เสียสัตย์” ในเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ 2535”
ขณะที่รัฐบาล “เสียสัตย์-สุจินดา” จะล้มมิล้มแหล่ นักการเมืองขี้ฉ้อเขี้ยวลากดินหลายคน บ้างตีจาก-บ้างแอบซ้ำเติม-บ้างร่วมล้ม “รัฐบาลเสียสัตย์สุจินดา” อย่างแข็งขันอีกด้วย
ส่วนรัฐประหาร “บิ๊กบัง” ในปี 2549 นั้น ก็เป็นทั้งรัฐประหาร “เยี่ยวไม่สุด” และเป็น “มวยล้มต้มคนดูทั้งชาติ” แถมยังเดินซ้ำรอยเท้า “เผด็จการทหารในอดีต” อีกต่างหาก
โดยผู้นำรัฐประหาร กับ ผู้นำรัฐบาลทหาร ยุค “บิ๊กบัง” ได้แอบไป “สมานฉันท์” หรือ “ซูเอี๋ย” กับบรรดานักการเมืองขี้ฉ้อ โดยเฉพาะแอบเจรจากับตัวเผด็จการทุนสามานย์ “เหลี่ยม” ซึ่งคณะรัฐประหารของ “บิ๊กบัง” เองนั่นแหละ เป็นผู้ประณามและโค่นล้ม รัฐบาลเผด็จการทุนสามานย์ “เหลี่ยม” โทษฐานโกงชาติและล้มเจ้า ฯลฯ
แต่ “บิ๊กบัง” ที่มีอำนาจล้นฟ้ายุคนั้น หลง “ฝันหวาน” ว่า...คนชั่วเหล่านั้นจะกลับตัวกลับใจเป็น “คนดี” หรือ “โจรกลับใจ” “บิ๊กบัง” จึงใช้บรรดานักการเมืองขี้ฉ้อ เป็น “เครื่องมือวิเศษ” หวังจะผลักดันให้ขึ้นสู่อำนาจ แต่...วิธีคิดแบบ “โลกสวย” ของ “บิ๊กบัง” กลายกลับเป็น “โลกซวย” ไปเสียฉิบ...
(อ่านต่อ-ตอนแปด...พุธหน้า)
ที่ผ่านมา “ผู้นำชาติ” ทั้งหลาย ไม่ยอมทำเพื่อชาติอย่างแท้จริง ชาติไทยจึงไร้การปฏิรูปทุกภาคส่วน ทำให้คนดีไม่ได้ขึ้นปกครองชาติ ขณะที่โดยส่วนใหญ่ คนชั่วได้ปกครองบ้านเมือง
ชาติไทยจึงวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ ที่มี-ส.ส.ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง มี-เผด็จการรัฐสภา มี-รัฐบาลชั่วคอร์รัปชันโกงชาติ สุดท้ายจึงมีคณะนายทหารลากปืน ออกมาโค่นล้มรัฐบาลโกงชาติ และมี “รัฐบาลเผด็จการทหาร” มาแทนที่...
แต่ “ผู้นำเผด็จการทหาร” ที่มีอำนาจล้นฟ้า ก็มิได้ปฏิรูปชาติในทุกมิติอย่างจริงจัง อีกทั้งยังอยากสืบทอดอำนาจตนเองและพวกพ้องอยู่เสมอ
ที่สำคัญ “ผู้นำเผด็จการทหาร” ที่มีอำนาจล้นฟ้า แทนที่จะสร้างผลงานดีๆ ให้ชาติ เพื่อชาวไทยจะได้ชื่นชมสรรเสริญ ก็ดันไปหลงกลเกมการเมืองบนความไม่พร้อมในหลายมิติของประชาชน
นั่นคือ งมงายในความเชื่อผิดๆ ที่ว่า การเลือกตั้งสกปรก ก็เป็น “ประชาธิปไตย!!!”
ทั้งๆ ที่ “ผู้นำเผด็จการทหาร” ทุกคน ล้วนรู้อยู่แก่ใจว่า การเลือกตั้งของชาติไทยตั้งแต่อดีตจรดปัจจุบัน เต็มไปด้วยการใช้เงินซื้อเสียงและโกงการเลือกตั้ง แถมมีการผลาญและโกงเงินชาติ ด้วยนโยบายประชานิยมจอมปลอมอีกด้วย ฯลฯ
เลือกตั้งชั่วช้าสามานย์นี้ จึงมิใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริงแม้แต่น้อย หากแต่เป็นช่องทางให้ทุนการเมืองชั่วร้าย ใช้ “การเลือกตั้งกำมะลอ” เป็นใบผ่านทางอันชอบธรรม (กำมะลอ) เข้ายึดสภา-รัฐบาล เพื่อโกงชาติอย่างมโหฬารเท่านั้นเอง
การเมืองเผด็จการทุนสามานย์ จึงยึดถือ “เงิน” เป็นสรณะ ดังนั้น ใครโกงชาติเก่ง-ถือเป็น-“คนเก่ง” เป็นคนที่รัฐบาลชั่วจะสนับสนุนให้ขึ้นเป็นใหญ่ ทั้งในรัฐบาล-องค์กรอิสระ-รัฐวิสาหกิจ-กระทรวง-ทบวง-กรม ฯลฯ
ตัวอย่างยุคคนชั่วได้ดิบได้ดีที่ชัดเจนที่สุด คือ ยุครัฐบาลเผด็จการทุนสามานย์“เหลี่ยม” ครองเมือง เพราะเป็นยุคที่ “คนทำดีได้ดี-ไม่มีให้เห็น” แต่ “คนทำชั่วได้ดี-มีให้เห็นถมไป”
ระบอบประชาธิปไตยกำมะลอนี้ เนื้อแท้จึงเป็นระบอบ “คณา-ธนา-โจราธิปไตย”ของ “กลุ่มเผด็จการทุนสามานย์โกงชาติ” นั่นเอง
ระบอบเผด็จการทุนสามานย์ จะซื้อนักการเมืองไม่รักชาติ มาเป็น “เครื่องมือ” ในการให้ได้เสียงข้างมากในสภาฯ เพื่อยกมือให้ “สมุน” เผด็จการทุนสามานย์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี และตั้งคณะรัฐมนตรีเชิดหน้ายืดอกประกาศตัวว่า เป็น “รัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง” (ตามระบอบ “ประชาธิปไตยโกงกินได้สไตล์เหลี่ยม”)
จากนั้น ส.ส.ขี้ข้าเสียงข้างมาก จะใช้อำนาจเผด็จการในรัฐสภา สนับสนุน-ปกป้อง-ค้ำจุน-รัฐบาลชั่ว ของเผด็จการทุนสามานย์ เพื่อโกงชาติและสืบทอดอำนาจรัฐให้อยู่นานที่สุด
ผลของการคิดผิด-ทำผิดอย่างมหันต์นี้ ทำให้รัฐบาลเผด็จการทหาร ในยุคก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ต้องแสวงหา “เงิน” ด้วยวิธีไม่โปร่งใส มาแจกจ่ายให้นักการเมืองขี้ฉ้อ ทั้งยังต้องเอื้อประโยชน์มากมาย ให้นักการเมืองละโมบไม่รู้จักพอสวาปามอยู่ตลอดเวลา
แต่แล้ว...รัฐบาลเผด็จการทหาร “จอมพลถนอม” ที่ใช้นักการเมืองเป็น “บันไดสืบทอดอำนาจ” ก็ต้องโละทิ้งนักการเมืองขี้ฉ้อเหล่านั้น ด้วยวิธี “เผด็จการจอมพลถนอม” ทำรัฐประหาร โค่นล้ม “รัฐบาลจอมพลถนอม” ลงอีกครา...
สุดท้าย...รัฐบาลเผด็จการ “จอมพลถนอม” ที่มีญาติพี่น้องคุมกำลังทหารไว้ในกำมือ ต้องล้มครืนลงด้วยพลังประชาชนที่ลุกขึ้นขับไล่ จนตัวเผด็จการ “จอมพลถนอม” ต้องเผ่นหนีไปอยู่ต่างแดน อีกทั้งโดนรัฐบาลใหม่ยึดทรัพย์อีกด้วย
อดีตมาซ้ำรอยอีกครา เมื่อ รสช.เข้ายึดอำนาจ หลังรัฐประหารสำเร็จ “พลเอกสุจินดา คราประยูร” ก็ใช้นักการเมืองขี้ฉ้อเขี้ยวลากดิน ที่พวกตนโค่นล้มมาเป็น “บันไดสืบทอดอำนาจ” ด้วยการส่งตนให้ขึ้นเป็น “นายกฯ เสียสัตย์” เพราะหลงเชื่อลมปากกลุ่มทุนสามานย์ และนักการเมืองสอพลอเข้าจังเบอร์
“พลเอกสุจินดา” จึงต้องหาเงินและเอื้อประโยชน์ ป้อนให้ประดานักการเมืองขี้ฉ้อทั้งหลาย จนฉาวด้วยข้อครหาคอร์รัปชันชาติ
รัฐบาล “สุจินดาเสียสัตย์” จึงอยู่ได้แค่ 47 วันเท่านั้น ก็ต้องล้มครืนลงอย่างไม่เป็นท่า เพราะ “มหาจำลอง” กับประชาชนผู้กล้าหาญ ได้ลุกขึ้นขับไล่ “นายกฯ เสียสัตย์” ในเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ 2535”
ขณะที่รัฐบาล “เสียสัตย์-สุจินดา” จะล้มมิล้มแหล่ นักการเมืองขี้ฉ้อเขี้ยวลากดินหลายคน บ้างตีจาก-บ้างแอบซ้ำเติม-บ้างร่วมล้ม “รัฐบาลเสียสัตย์สุจินดา” อย่างแข็งขันอีกด้วย
ส่วนรัฐประหาร “บิ๊กบัง” ในปี 2549 นั้น ก็เป็นทั้งรัฐประหาร “เยี่ยวไม่สุด” และเป็น “มวยล้มต้มคนดูทั้งชาติ” แถมยังเดินซ้ำรอยเท้า “เผด็จการทหารในอดีต” อีกต่างหาก
โดยผู้นำรัฐประหาร กับ ผู้นำรัฐบาลทหาร ยุค “บิ๊กบัง” ได้แอบไป “สมานฉันท์” หรือ “ซูเอี๋ย” กับบรรดานักการเมืองขี้ฉ้อ โดยเฉพาะแอบเจรจากับตัวเผด็จการทุนสามานย์ “เหลี่ยม” ซึ่งคณะรัฐประหารของ “บิ๊กบัง” เองนั่นแหละ เป็นผู้ประณามและโค่นล้ม รัฐบาลเผด็จการทุนสามานย์ “เหลี่ยม” โทษฐานโกงชาติและล้มเจ้า ฯลฯ
แต่ “บิ๊กบัง” ที่มีอำนาจล้นฟ้ายุคนั้น หลง “ฝันหวาน” ว่า...คนชั่วเหล่านั้นจะกลับตัวกลับใจเป็น “คนดี” หรือ “โจรกลับใจ” “บิ๊กบัง” จึงใช้บรรดานักการเมืองขี้ฉ้อ เป็น “เครื่องมือวิเศษ” หวังจะผลักดันให้ขึ้นสู่อำนาจ แต่...วิธีคิดแบบ “โลกสวย” ของ “บิ๊กบัง” กลายกลับเป็น “โลกซวย” ไปเสียฉิบ...
(อ่านต่อ-ตอนแปด...พุธหน้า)