นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวถึง การเคลื่อนไหวของ สปช.ต่อร่างรัฐธรรมนูญในขณะนี้ว่า งานปฏิรูปประเทศของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ เริ่มจะงวดเข้ามาทุกที และคงจะเสร็จสิ้นไม่เกินวันที่ 10 ส.ค.นี้ กรรมาธิการบางคณะก็เสนองานปฏิรูปต่อที่ประชุม สปช. เสร็จไปแล้ว จึงเหลือในส่วนของคณะอื่นๆไม่มากนัก
ดังนั้น สปช.ในหลายคณะกรรมาธิการ เตรียมมาติดตามศึกษาต่อเนื้อหาของรัฐธรรมนูญที่จะเสนอต่อสภาปฏิรูป ในวันที่ 22 ส.ค.นี้ เรียกได้ว่า สถานการณ์ในขณะนี้อยู่ในขั้นตอนเตรียมการศึกษาประสานแนวร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันแต่ละกลุ่ม แต่ละคณะ ทั้งนี้เท่าที่ติดตามดูและมีการปรึกษาหารือร่วมกัน โดยเฉพาะกลุ่มปฏิรูปทางการเมือง และกลุ่มปฏิรูปกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมได้มีการเตรียมการวางแผนเป็นหัวหอกในการศึกษา และพิจารณาประเด็นต่างๆ ในรัฐธรรมนูญอย่างใกล้ชิด มีการติดตามแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญมาอย่างต่อเนื่อง จะเป็นกลุ่มแกนนำในการประมวล และประเมินรัฐธรรมนูญทั้งหมด จะชี้ให้เห็นถึงจุดใดที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือไม่อย่างไร จุดดี จุดเด่น จุดบกพร่อง จุดใดรับได้ จุดใดรับไม่ได้ จากนั้นจะนำข้อพิจารณาทั้งหมดแถลงให้ประชาชนได้รับทราบ จะได้มีส่วนอย่างสำคัญให้เป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์รัฐธรรมนูญอย่างกว้างขวาง อีกทั้งจะเป็นข้อประกอบการพิจารณาของ สปช. ว่าประชาชนเขามีความคิดเห็นต่อรัฐธรรมนูญอย่างไร และเขาต้องการอย่างไร อันจะมีส่วนอย่างสำคัญ ที่จะให้สปช.พิจารณาในการโหวตร่าง รัฐธรรมนูญ คำนึงถึงความต้องการของประชาชน และเสียงสะท้อนของประชาชน
นายวันชัย กล่าวต่อว่า ขณะนี้กลุ่มปฏิรูปการเมืองและกลุ่มปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ได้มีการประสานแลกเปลี่ยนข้อมูลกับ สปช. กลุ่มต่างๆทั้งรายกลุ่ม และรายบุคคลอยู่ตลอดเวลา เช่น กลุ่ม สปช.จังหวัด กลุ่ม สปช.สายอดีตข้าราชการ ทั้งพลเรือน ทหาร กลุ่ม สปช. สายนักวิชาการ สายเอ็นจีโอ และกลุ่มสปช. ที่เคยเคลื่อนไหวทางการเมืองมาก่อน ได้มีการปรึกษาหารือผ่านแกนแต่ละกลุ่มอยู่อย่างต่อเนื่อง พร้อมที่จะเคลื่อนไหวไปในแนวทางเดียวกันที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชน จึงเชื่อว่าหลังเสร็จภารกิจเรื่องงานปฏิรูปประเทศ และแถลงการปฏิรูปประเทศต่อประชาชนของสภาปฏิรูปฯใน วันที่ 13 ส.ค.แล้ว คงจะมีการเคลื่อนไหวในเรื่องรัฐธรรมนูญ มีการถกแถลงกันแรงขึ้น อันจะทำให้หาแนวทางร่วมกันว่าเห็นควรจะให้รัฐธรรมนูญผ่านหรือไม่ผ่าน โดยจะต้องมีคำตอบอย่างชัดเจนให้กับประชาชนว่า ที่ให้ผ่านนั้นด้วยเหตุผลใด และที่ไม่ให้ผ่านนั้นก็ด้วยเหตุผลใดเช่นกัน ซึ่งตรงนี้จะเป็นคำตอบที่สำคัญ
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นสำคัญที่ต้องร่วมพิจารณา เพราะเป็นข้อเรียกร้องของประชาชน จนนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นั่นก็คือจะต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง และวันนี้ จนกระทั่งที่จะมีการโหวตให้รัฐธรรมนูญผ่านนำไปสู่การเลือกตั้งได้ มีการปฏิรูปประเทศเสร็จสิ้นแล้วหรือยัง หรือจะปล่อยให้มีการเลือกตั้ง แล้วค่อยไปปฏิรูป ประเด็นนี้ คงจะเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่กลุ่มต่างๆ จะนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจของสมาชิกควบคู่ไปกับการโหวตรับ หรือไม่รับ รัฐธรรมนูญ
"เท่าที่มีการปรึกษาหารือกัน ในเบื้องต้นเกือบจะทุกกลุ่มทุกฝ่าย มีความเห็นพ้องต้องกันว่า หมวดที่ว่าด้วยเรื่องการเมืองนั้น เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าตัวการเมือง นักการเมืองดีแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างตามร่างรัฐธรรมนูญ ก็คงจะดีไปหมด ถ้านักการเมืองไม่ได้เรื่อง ไม่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็คงจะบิดเบี้ยวไปหมด จึงต้องพิจารณาประเด็นนี้กันอย่างละเอียดรอบคอบ พูดง่ายๆก็คือไล่เรียงกันอย่างถี่ยิบ จุดดีจุดเด่นจุดด้อยเอามาเปรียบเทียบกันในแบบขึงพืดให้เห็นกันอย่างชัดเจน ณ ขณะนี้เฉพาะประเด็นที่มาของนายกรัฐมนตรี การเลือกตั้ง ส.ส.แบบสัดส่วนผสม และที่มา ส.ว.ก็วิพากษ์วิจารณ์กันชนิดที่ว่า จะผ่านหรือไม่ผ่าน ก็อยู่ตรงประเด็นนี้แหละ มีทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกันอย่างมากมาย แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นว่า ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากร่างเดิมเลย และก็ไม่มั่นใจว่า จะแก้ปัญหาของประเทศได้ เฉพาะ 2-3 เรื่องนี้ก็น่าคิดแล้ว ถ้าวิเคราะห์เจาะลึกเข้าไปละเอียดทุกมาตรา ผสมกับเรื่องที่ว่านี้แล้วก็ยิ่งจะไปกันใหญ่ ยิ่งใกล้วันส่งรัฐธรรมนูญและใกล้วันโหวต ผมก็พลอยวิตกกังวลไปกับกรรมาธิการยกร่างฯ ด้วยเหมือนกัน" นายวันชัย กล่าว
** "สุริยะใส"ชี้ปฏิรูปเริ่มแผ่วปลาย
นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และ ผอ.สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) กล่าวว่า เส้นทางเดินปฏิรูปประเทศเริ่มแผ่วปลาย ความหวังของผู้คนเริ่มริบหรี่ และมืดมนมากขึ้นโดยอาจมีสาเหตุมาจาก แรงต้านจากกลุ่มที่เสียอำนาจ ความไม่เป็นเอกภาพใน สปช. และท่าทีที่แผ่วเบาจาก คสช.-ครม. ทั้งที่เรื่องปฏิรูปประเทศไทย ถือเป็นสัญญาประชาคมระหว่างประชาชนกับรัฐบาลชุดนี้
ปฏิรูป กลายเป็นวาทกรรมที่พูดกันมากที่สุดพูดกันได้ทุกๆวันตลอดปีกว่าๆ ที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีผลิตผลชัดเจนเป็นรูปธรรม เพราะยังหาทิศทางร่วมและสังคมยังไม่ตกผลึกเพียงพอร่วมกัน แต่ก็มีไม่น้อยที่เอาวาทกรรมปฎิรูปประเทศไปเป็นเพียงเกมการเมืองและสร้างภาพพจน์ให้ตัวเองดูดีเท่านั้น
ความกลวงของการปฎิรูปกว่า 1 ปีที่ผ่านมา จึงเหลือสถานะกลายเป็นแค่สีสันทางการเมือง ยังไม่มีสัญญานบวกที่จะทำให้สังคมเชื่อมั่นและมีความหวังใดๆได้ว่า ประเทศไทยจะเดินหน้าสู่การปฏิรูปจะไม่กลับไปอยู่ในวังวนของการเมืองที่แตกแยก และล้มเหลวแบบที่ผ่านๆมา
ฉะนั้นฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงคือ สปช. และคสช. จะต้องตระหนักและต่อลมหายใจการปฏิรูปให้มีแรงส่งกลับขึ้นมาอีกรอบ โดยเฉพาะ สปช. ช่วงเวลาที่เหลือเดือนกว่าๆ ควรเร่งหาจุดร่วมลงตัวว่าจะผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือไม่ อย่างไร ซึ่งควรได้ข้อยุติก่อนถึงวันโหวต ไม่ใช่ต่างคนต่างคิด และเริ่มมีเกมการเมืองเข้ามาปะปน
ในส่วนของ ครม.ต้องถือเอาการปรับ ครม. ตอบโจทย์เรื่องปฎิรูปประเทศที่มีทิศทางและมีรูปธรรมมากกว่าที่ผ่านมา โดย ครม. อาจจัดทำไทม์ไลน์ของการปฏิรูปประเทศในเรื่องใหญ่ๆ 4-5 เรื่องที่สำคัญก่อนก็พอ ซึ่งไม่จำเป็นต้องรอการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ
ดังนั้น สปช.ในหลายคณะกรรมาธิการ เตรียมมาติดตามศึกษาต่อเนื้อหาของรัฐธรรมนูญที่จะเสนอต่อสภาปฏิรูป ในวันที่ 22 ส.ค.นี้ เรียกได้ว่า สถานการณ์ในขณะนี้อยู่ในขั้นตอนเตรียมการศึกษาประสานแนวร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันแต่ละกลุ่ม แต่ละคณะ ทั้งนี้เท่าที่ติดตามดูและมีการปรึกษาหารือร่วมกัน โดยเฉพาะกลุ่มปฏิรูปทางการเมือง และกลุ่มปฏิรูปกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมได้มีการเตรียมการวางแผนเป็นหัวหอกในการศึกษา และพิจารณาประเด็นต่างๆ ในรัฐธรรมนูญอย่างใกล้ชิด มีการติดตามแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญมาอย่างต่อเนื่อง จะเป็นกลุ่มแกนนำในการประมวล และประเมินรัฐธรรมนูญทั้งหมด จะชี้ให้เห็นถึงจุดใดที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือไม่อย่างไร จุดดี จุดเด่น จุดบกพร่อง จุดใดรับได้ จุดใดรับไม่ได้ จากนั้นจะนำข้อพิจารณาทั้งหมดแถลงให้ประชาชนได้รับทราบ จะได้มีส่วนอย่างสำคัญให้เป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์รัฐธรรมนูญอย่างกว้างขวาง อีกทั้งจะเป็นข้อประกอบการพิจารณาของ สปช. ว่าประชาชนเขามีความคิดเห็นต่อรัฐธรรมนูญอย่างไร และเขาต้องการอย่างไร อันจะมีส่วนอย่างสำคัญ ที่จะให้สปช.พิจารณาในการโหวตร่าง รัฐธรรมนูญ คำนึงถึงความต้องการของประชาชน และเสียงสะท้อนของประชาชน
นายวันชัย กล่าวต่อว่า ขณะนี้กลุ่มปฏิรูปการเมืองและกลุ่มปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ได้มีการประสานแลกเปลี่ยนข้อมูลกับ สปช. กลุ่มต่างๆทั้งรายกลุ่ม และรายบุคคลอยู่ตลอดเวลา เช่น กลุ่ม สปช.จังหวัด กลุ่ม สปช.สายอดีตข้าราชการ ทั้งพลเรือน ทหาร กลุ่ม สปช. สายนักวิชาการ สายเอ็นจีโอ และกลุ่มสปช. ที่เคยเคลื่อนไหวทางการเมืองมาก่อน ได้มีการปรึกษาหารือผ่านแกนแต่ละกลุ่มอยู่อย่างต่อเนื่อง พร้อมที่จะเคลื่อนไหวไปในแนวทางเดียวกันที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชน จึงเชื่อว่าหลังเสร็จภารกิจเรื่องงานปฏิรูปประเทศ และแถลงการปฏิรูปประเทศต่อประชาชนของสภาปฏิรูปฯใน วันที่ 13 ส.ค.แล้ว คงจะมีการเคลื่อนไหวในเรื่องรัฐธรรมนูญ มีการถกแถลงกันแรงขึ้น อันจะทำให้หาแนวทางร่วมกันว่าเห็นควรจะให้รัฐธรรมนูญผ่านหรือไม่ผ่าน โดยจะต้องมีคำตอบอย่างชัดเจนให้กับประชาชนว่า ที่ให้ผ่านนั้นด้วยเหตุผลใด และที่ไม่ให้ผ่านนั้นก็ด้วยเหตุผลใดเช่นกัน ซึ่งตรงนี้จะเป็นคำตอบที่สำคัญ
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นสำคัญที่ต้องร่วมพิจารณา เพราะเป็นข้อเรียกร้องของประชาชน จนนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นั่นก็คือจะต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง และวันนี้ จนกระทั่งที่จะมีการโหวตให้รัฐธรรมนูญผ่านนำไปสู่การเลือกตั้งได้ มีการปฏิรูปประเทศเสร็จสิ้นแล้วหรือยัง หรือจะปล่อยให้มีการเลือกตั้ง แล้วค่อยไปปฏิรูป ประเด็นนี้ คงจะเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่กลุ่มต่างๆ จะนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจของสมาชิกควบคู่ไปกับการโหวตรับ หรือไม่รับ รัฐธรรมนูญ
"เท่าที่มีการปรึกษาหารือกัน ในเบื้องต้นเกือบจะทุกกลุ่มทุกฝ่าย มีความเห็นพ้องต้องกันว่า หมวดที่ว่าด้วยเรื่องการเมืองนั้น เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าตัวการเมือง นักการเมืองดีแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างตามร่างรัฐธรรมนูญ ก็คงจะดีไปหมด ถ้านักการเมืองไม่ได้เรื่อง ไม่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็คงจะบิดเบี้ยวไปหมด จึงต้องพิจารณาประเด็นนี้กันอย่างละเอียดรอบคอบ พูดง่ายๆก็คือไล่เรียงกันอย่างถี่ยิบ จุดดีจุดเด่นจุดด้อยเอามาเปรียบเทียบกันในแบบขึงพืดให้เห็นกันอย่างชัดเจน ณ ขณะนี้เฉพาะประเด็นที่มาของนายกรัฐมนตรี การเลือกตั้ง ส.ส.แบบสัดส่วนผสม และที่มา ส.ว.ก็วิพากษ์วิจารณ์กันชนิดที่ว่า จะผ่านหรือไม่ผ่าน ก็อยู่ตรงประเด็นนี้แหละ มีทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกันอย่างมากมาย แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นว่า ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากร่างเดิมเลย และก็ไม่มั่นใจว่า จะแก้ปัญหาของประเทศได้ เฉพาะ 2-3 เรื่องนี้ก็น่าคิดแล้ว ถ้าวิเคราะห์เจาะลึกเข้าไปละเอียดทุกมาตรา ผสมกับเรื่องที่ว่านี้แล้วก็ยิ่งจะไปกันใหญ่ ยิ่งใกล้วันส่งรัฐธรรมนูญและใกล้วันโหวต ผมก็พลอยวิตกกังวลไปกับกรรมาธิการยกร่างฯ ด้วยเหมือนกัน" นายวันชัย กล่าว
** "สุริยะใส"ชี้ปฏิรูปเริ่มแผ่วปลาย
นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และ ผอ.สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) กล่าวว่า เส้นทางเดินปฏิรูปประเทศเริ่มแผ่วปลาย ความหวังของผู้คนเริ่มริบหรี่ และมืดมนมากขึ้นโดยอาจมีสาเหตุมาจาก แรงต้านจากกลุ่มที่เสียอำนาจ ความไม่เป็นเอกภาพใน สปช. และท่าทีที่แผ่วเบาจาก คสช.-ครม. ทั้งที่เรื่องปฏิรูปประเทศไทย ถือเป็นสัญญาประชาคมระหว่างประชาชนกับรัฐบาลชุดนี้
ปฏิรูป กลายเป็นวาทกรรมที่พูดกันมากที่สุดพูดกันได้ทุกๆวันตลอดปีกว่าๆ ที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีผลิตผลชัดเจนเป็นรูปธรรม เพราะยังหาทิศทางร่วมและสังคมยังไม่ตกผลึกเพียงพอร่วมกัน แต่ก็มีไม่น้อยที่เอาวาทกรรมปฎิรูปประเทศไปเป็นเพียงเกมการเมืองและสร้างภาพพจน์ให้ตัวเองดูดีเท่านั้น
ความกลวงของการปฎิรูปกว่า 1 ปีที่ผ่านมา จึงเหลือสถานะกลายเป็นแค่สีสันทางการเมือง ยังไม่มีสัญญานบวกที่จะทำให้สังคมเชื่อมั่นและมีความหวังใดๆได้ว่า ประเทศไทยจะเดินหน้าสู่การปฏิรูปจะไม่กลับไปอยู่ในวังวนของการเมืองที่แตกแยก และล้มเหลวแบบที่ผ่านๆมา
ฉะนั้นฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงคือ สปช. และคสช. จะต้องตระหนักและต่อลมหายใจการปฏิรูปให้มีแรงส่งกลับขึ้นมาอีกรอบ โดยเฉพาะ สปช. ช่วงเวลาที่เหลือเดือนกว่าๆ ควรเร่งหาจุดร่วมลงตัวว่าจะผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือไม่ อย่างไร ซึ่งควรได้ข้อยุติก่อนถึงวันโหวต ไม่ใช่ต่างคนต่างคิด และเริ่มมีเกมการเมืองเข้ามาปะปน
ในส่วนของ ครม.ต้องถือเอาการปรับ ครม. ตอบโจทย์เรื่องปฎิรูปประเทศที่มีทิศทางและมีรูปธรรมมากกว่าที่ผ่านมา โดย ครม. อาจจัดทำไทม์ไลน์ของการปฏิรูปประเทศในเรื่องใหญ่ๆ 4-5 เรื่องที่สำคัญก่อนก็พอ ซึ่งไม่จำเป็นต้องรอการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ