ASTVผู้จัดการรายวัน/ระยอง - อธิบดีกรมควบคุมโรคเผยสั่งกักตัวชายไทยระยอง 2 คน ที่มีไข้จากเกาหลีใต้ เสี่ยงติดเมอร์ส ทราบผลแลปวันนี้
เย็นวานนี้ (21 ก.ค.) นายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึง กรณีมีข่าวพบผู้ป่วยโรคเมอร์ส ที่ จ.ระยอง ว่า ได้รับรายงานจากทีมสอบสวนโรคในพื้นที่แล้ว ผู้ป่วยรายนี้ เป็นเพศชาย อายุ 26 ปี บ้านอยู่ อ.เมือง จ.ระยอง ไม่มีประวัติเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง แต่เมื่อ 3 วันที่ผ่านมา (18 ก.ค.) มีเพื่อน 3 คน เดินทางกลับจากประเทศเกาหลีใต้ มาเยี่ยมและได้ออกไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน โดยผู้ป่วยสังเกตพบว่า เพื่อน 2 คน ที่มาเยี่ยมอาจมีอาการไข้หรือเป็นหวัด และขณะนี้เพื่อนทั้ง 3 คน ได้เดินทางกลับภูมิลำเนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหมดแล้ว ซึ่งล่าสุดมีข่าวว่าเพื่อน 1 คน เสียชีวิต จึงได้สั่งการให้นักระบาดวิทยาลงพื้นที่สอบสวนโรคโดยด่วน
ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายนี้มาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลด้วยอาการ มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก 2 วันก่อนมาโรงพยาบาล ผลการตรวจเอ็กซเรย์ปอดพบปกติ เบื้องต้นสรุปว่า ผู้ป่วยมีอาการไข้และมีอาการของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน แพทย์จึงรับไว้สังเกตอาการและตรวจวินิจฉัยในห้องแยกโรคของโรงพยาบาลระยอง ซึ่งเป็นไปตามมาตรการเฝ้าระวังโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ เมอร์ส ทั้งนี้ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการคาดว่าจะได้รับในวันนี้ (22 ก.ค.)
ผู้สื่อข่าวรายงานช่วงบ่ายวันเดียวกัน ได้รับแจ้งว่ามีผู้ป่วยซึ่งมีอาการเป็นไข้ อ่อนเพลีย ถ่ายเหลว ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลระยอง หลังจากเพิ่งให้การต้อนรับเพื่อน 3 คน ซึ่งทำงานในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ประเทศเกาหลี ที่เดินทางมาเยี่ยมและพักอาศัยอยู่ที่บ้านพักของผู้ป่วย และขณะนี้เพื่อนทั้ง 3 รายได้เดินทางออกจากจังหวัดระยองแล้ว โดยเพื่อน 1 ใน 3 รายหลังเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดอุบลราชธานี ได้ล้มป่วยและเสียชีวิต
ผู้ป่วยรายนี้ทำงานอยู่ในแผนกช่างประกอบของโรงงานปิโตรเคมีชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งหลังจากเพื่อนทั้ง 3 เดินทางกลับไป ปรากฏว่าผู้ป่วยมีอาการป่วยเป็นไข้ อ่อนแรง อุจจาระเหลว มาเป็นเวลา 2 วันก่อนที่ญาติจะส่งตัวเข้ารักษา
นายแพทย์ประสิทธิ์ ทองอัศดายุ แพทย์เวรโรงพยาบาลระยอง กล่าวว่า ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเมอร์ส จะมีอาการคล้ายคนเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ โดยจะมีอาการไข้สูง ไอ หายใจหอบ หายใจติดขัด ถ่ายเหลวและหากเป็นหนักจะเสียชีวิตภายใน 3-4 สัปดาห์ โดยเชื้อจะอยู่ในละอองน้ำมูกและน้ำลายผู้ป่วย จึงทำให้ติดต่อได้ง่ายจากการไอหรือจาม สำหรับผู้ป่วยรายนี้เพียงแต่เข้าข่ายต้องสงสัย ซึ่งจะต้องรอผลการเพาะเชื้อก่อน จึงจะสรุปได้ว่าป่วยด้วยโรคใด.
เย็นวานนี้ (21 ก.ค.) นายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึง กรณีมีข่าวพบผู้ป่วยโรคเมอร์ส ที่ จ.ระยอง ว่า ได้รับรายงานจากทีมสอบสวนโรคในพื้นที่แล้ว ผู้ป่วยรายนี้ เป็นเพศชาย อายุ 26 ปี บ้านอยู่ อ.เมือง จ.ระยอง ไม่มีประวัติเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง แต่เมื่อ 3 วันที่ผ่านมา (18 ก.ค.) มีเพื่อน 3 คน เดินทางกลับจากประเทศเกาหลีใต้ มาเยี่ยมและได้ออกไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน โดยผู้ป่วยสังเกตพบว่า เพื่อน 2 คน ที่มาเยี่ยมอาจมีอาการไข้หรือเป็นหวัด และขณะนี้เพื่อนทั้ง 3 คน ได้เดินทางกลับภูมิลำเนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหมดแล้ว ซึ่งล่าสุดมีข่าวว่าเพื่อน 1 คน เสียชีวิต จึงได้สั่งการให้นักระบาดวิทยาลงพื้นที่สอบสวนโรคโดยด่วน
ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายนี้มาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลด้วยอาการ มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก 2 วันก่อนมาโรงพยาบาล ผลการตรวจเอ็กซเรย์ปอดพบปกติ เบื้องต้นสรุปว่า ผู้ป่วยมีอาการไข้และมีอาการของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน แพทย์จึงรับไว้สังเกตอาการและตรวจวินิจฉัยในห้องแยกโรคของโรงพยาบาลระยอง ซึ่งเป็นไปตามมาตรการเฝ้าระวังโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ เมอร์ส ทั้งนี้ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการคาดว่าจะได้รับในวันนี้ (22 ก.ค.)
ผู้สื่อข่าวรายงานช่วงบ่ายวันเดียวกัน ได้รับแจ้งว่ามีผู้ป่วยซึ่งมีอาการเป็นไข้ อ่อนเพลีย ถ่ายเหลว ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลระยอง หลังจากเพิ่งให้การต้อนรับเพื่อน 3 คน ซึ่งทำงานในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ประเทศเกาหลี ที่เดินทางมาเยี่ยมและพักอาศัยอยู่ที่บ้านพักของผู้ป่วย และขณะนี้เพื่อนทั้ง 3 รายได้เดินทางออกจากจังหวัดระยองแล้ว โดยเพื่อน 1 ใน 3 รายหลังเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดอุบลราชธานี ได้ล้มป่วยและเสียชีวิต
ผู้ป่วยรายนี้ทำงานอยู่ในแผนกช่างประกอบของโรงงานปิโตรเคมีชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งหลังจากเพื่อนทั้ง 3 เดินทางกลับไป ปรากฏว่าผู้ป่วยมีอาการป่วยเป็นไข้ อ่อนแรง อุจจาระเหลว มาเป็นเวลา 2 วันก่อนที่ญาติจะส่งตัวเข้ารักษา
นายแพทย์ประสิทธิ์ ทองอัศดายุ แพทย์เวรโรงพยาบาลระยอง กล่าวว่า ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเมอร์ส จะมีอาการคล้ายคนเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ โดยจะมีอาการไข้สูง ไอ หายใจหอบ หายใจติดขัด ถ่ายเหลวและหากเป็นหนักจะเสียชีวิตภายใน 3-4 สัปดาห์ โดยเชื้อจะอยู่ในละอองน้ำมูกและน้ำลายผู้ป่วย จึงทำให้ติดต่อได้ง่ายจากการไอหรือจาม สำหรับผู้ป่วยรายนี้เพียงแต่เข้าข่ายต้องสงสัย ซึ่งจะต้องรอผลการเพาะเชื้อก่อน จึงจะสรุปได้ว่าป่วยด้วยโรคใด.
