เสียงจอแจที่ลอยออกมาจากห้องออแกไนเซอร์ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เป็นสัญญาณบอกว่า ได้เวลาปล่อยตัวเหล่าโมเดลขึ้นสังเวียนแห่งการเดินแบบแล้ว ทุกคนเริ่มทยอยออกจากห้องทีละคน สองคน และจากการยืนสังเกตการณ์อยู่หน้าห้อง สายตาก็พานไปพบกับเป้าหมายของการสัมภาษณ์ในวันนี้
‘ไอซ์ - ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์’ อยู่ท่ามกลางโมเดลอีกกว่า 10 ชีวิตที่รอเตรียมพร้อมขึ้นเวที ณ ขณะนั้น เสื้อลายขวางสีน้ำเงินสลับขาว ต่างหูเงินคู่เก่งบนใบหู รวมถึงกางเกงยีนส์สุดแนว ขับให้ชายคนดังกล่าวดูโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ และไม่ได้มีเพียงแค่สายตาเดียวเท่านั้นที่มอง ยังมีอีกหลายสายตาที่ยืนจับจ้องดูเขาอยู่ คนเหล่านั้นคือ แฟนคลับของไอซ์ ที่มาให้กำลังใจเขาอยู่ไม่ห่าง
ความดังของหนุ่มคนนี้ไม่ได้หยุดอยู่เฉพาะเพียงแค่เมืองไทย แต่ตัวไอซ์เองยังดังไกลไปถึงแดนกิมจิ ด้วยการสร้างปรากฏการณ์เป็นนายแบบไทยคนแรกและคนเดียวที่ไปเดินบนรันเวย์ประเทศเกาหลี อีกทั้งยังกลายเป็นแรงบันดาลใจชิ้นสำคัญให้กับเหล่าโมเดลไทยที่อยากโกอินเตอร์เหมือนกันกับเขา
หลังจากการเดินแบบจบลง ท่วงท่าอันกระฉับกระเฉงของเขานำพาไปยังร้านกาแฟแห่งหนึ่ง การนั่งลงพูดคุยแบบสบายๆ จึงเริ่มต้นขึ้น รวมถึงชีวิตของหนุ่มตี๋หน้าใสคนนี้ก็ถูกเล่าออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ผมอายุ 24 ปี เรียนจบสาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เริ่มต้นอาชีพนายแบบมาตั้งแต่อายุ 19-20 ปี ทำงานมาได้ประมาณ 3-4 ปีแล้ว และไปทำงานเป็นนายแบบอยู่ที่ประเทศเกาหลีประมาณครึ่งปี”
เด็กหนุ่มผู้ไม่ประสีประสาเรื่องแฟชั่น
ถ้าไม่ได้อ่านนิตยสารเล่มหนึ่งมาก่อนหน้านี้ ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่า ไอซ์จะไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าแฟชั่นมาก่อน เพราะจากการแต่งตัวตรงหน้า เรียกได้ว่า จัดใหญ่ จัดเต็มเอามากๆ แต่พอให้ไอซ์นึกย้อนไปก่อนที่จะเข้าวงการนายแบบอย่างจริงจัง ความรู้เกี่ยวกับวงการนี้ของเขาเป็นศูนย์
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น จะให้โยนไปในตะกร้าที่เรียกว่า ความบังเอิญ ก็ได้ บังเอิญไม่รู้เรื่องแฟชั่นมาก่อน และบังเอิญมีคนเข้ามาเจอผม และให้ผมลองทำดู ผมไม่เคยคิดถึงงานในวงการแฟชั่นมาก่อน คำว่าแฟชั่นวีคคืออะไร ก็ยังไม่รู้จักเลย แต่เพราะด้วยเหตุบังเอิญ จึงชักพาให้ผมเข้ามาในวงการนี้ และพอลองทำ ก็รู้สึกว่า ทำได้ดีและค่อนข้างพอใจกับตัวเอง จึงอยากเต็มที่กับมันดูสักครั้ง”
“เมื่อทำงานไปได้สักพัก จะมีคนรอบข้างคอยบอกอยู่ตลอดว่า ชอบ ทำงานดีนะ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คนในครอบครัว หรือแม้กระทั่งคนทำงานด้วยกัน เหมือนเขาพูดให้ผมพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ อีกทั้งยังเห็นความสำคัญในตัวผม ผมจึงรู้สึกชอบงานนี้ไปในตัว”
แน่นอนว่า วงการบันเทิงหรือแม้กระทั่งวงการแฟชั่น มักจะถูกตั้งป้อมเอาไว้ก่อนแล้วว่า เด็กใหม่ที่เข้ามาอาจจะโดนหลอกได้ง่าย ซึ่งเด็กหนุ่มอย่างไอซ์ก็พะว้าพะวงตรงจุดนี้เช่นเดียวกัน
“ตอนแรกมีความรู้สึกกลัวอยู่บ้าง อย่างที่ทราบข่าวกันมาว่า บางคนโดนหลอกให้ไปถ่ายรูป หรือทำอะไรต่างๆ นานา อีกทั้งเพื่อนๆ ก็จะชอบมาพูดข่มว่า ระวังโดนหลอก ยิ่งทำให้กลัวเข้าไปใหญ่ พอเขาติดต่อให้ไปเดินแบบ ผมก็เข้าอินเทอร์เน็ตศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับแฟชั่นเลยว่า แบรนด์นี้มีอยู่จริงหรือเปล่า มีแฟชั่นวีคชื่อนี้จัดอยู่จริงๆ ใช่ไหม เป็นการหาข้อมูลก่อนตัดสินใจไปเดินแบบกับเขา พอรู้ว่าทุกอย่างว่า เป็นเรื่องจริงและไม่มีอะไร ก็ค่อนข้างมั่นใจในระดับหนึ่ง”
หลายครอบครัวอาจวิตกกังวลเมื่อลูกเข้าวงการ แต่สำหรับครอบครัวของไอซ์กลับรู้สึกดีใจมากกว่าที่ลูกได้เข้ามาทำงานในวงการนี้
“คุณพ่อมีพูดบ้างเหมือนกันว่า วงการนี้ไม่มั่นคงนะ ไม่แน่นอนหรอก แต่ถ้าอยากทำก็ทำให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด ซึ่งถือเป็นโชคดีอย่างหนึ่งที่ครอบครัวเข้าใจในตัวตนและสิ่งที่ผมทำ อีกทั้งยังภูมิใจที่ผมเข้ามาทำงานในวงการนี้ เพราะคนในครอบครัวไม่มีใครทำงานด้านแฟชั่นมาก่อนเลย และผมเป็นคนแรกที่ได้ทำ เขาเห็นผมรัก ชอบ และมีความสุข จึงสนับสนุนและเห็นดีเห็นงามด้วย”
นายแบบหนุ่มเล่าติดตลกต่อว่า ตอนแรกแค่คิดมาเดินขำๆ ไม่ได้จริงจังอะไร แต่พอเมื่อจบการศึกษา และหางานประจำทำอยู่ อาชีพนี้ก็พลันเกิดขึ้นในความคิดของตัวเอง จนในที่สุด เขาก็ตั้งใจส่งผลงานให้แต่ละที่พิจารณา และยึดอาชีพนี้เป็นอาชีพประจำ ซึ่งงานแรกที่ไอซ์ประเดิม เป็นงานยักษ์ของวงการแฟชั่นเสียด้วย
“จำได้เลยว่า เป็นงานแบงค็อกแฟชั่นวีค ผมมีโอกาสเดินแบบให้กับแบรนด์เสื้อผ้าแบรนด์หนึ่ง หลังจากเดินเสร็จ ผลตอบรับที่ได้กลับมาก็คือ มีคนรู้จักมากขึ้น เพราะแฟชั่นวีคแต่ละครั้ง จะมีบุคคลในวงการแฟชั่นมานั่งชมคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าที่นำเสนอในวันนั้น อีกทั้งงานนี้ยังเป็นการเปิดตัวผมไปโดยปริยาย ทำให้งานดังกล่าวต่อยอดการจ้างงานของผมไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการเดินแบบ การถ่ายภาพนิ่ง หรืองานอื่นๆ ซึ่งถือเป็นจังหวะชีวิตที่ดีมาก”
4 ปีที่ทำงานในวงการแฟชั่น ทำให้ไอซ์มั่นใจในการเดินแบบของตัวเองประมาณหนึ่ง และคิดอยากจะลองส่งผลงานไปให้ที่อื่นพิจารณาดูบ้าง แต่ที่ที่ส่งไปนั้น ไม่ใช่เมืองไทยที่เขาคุ้นเคยในการทำงานแต่อย่างใด
“ผมทำงานมาพอสมควรแล้ว มีคนคอยสอนและติวตลอดเวลาทำงาน อีกทั้งยังเต็มที่กับการทำงานในทุกๆ ครั้ง นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้ผมคิดที่จะส่งผลงานไปให้ที่อื่นพิจารณาดู เหมือนเป็นการพิสูจน์ศักยภาพของตัวเองขึ้นไปอีกขั้นว่า สามารถไปได้ไกลกว่านี้หรือไม่ โดยเป็นการวัดใจในการทำงานของผมอย่างหนึ่ง นั่นคือ การส่งผลงานไปให้ต่างประเทศพิจารณา”
หนุ่มไทยผู้เจิดจรัสบนรันเวย์เกาหลี
คงจะไม่ผิดอะไรนัก ถ้าใช้คำว่า อาจหาญ กับผู้ชายคนนี้ เนื่องจากไอซ์ทำงานในประเทศไทยมาได้ประมาณหนึ่ง และด้วยความอยากรู้อยากลองของตัวเองว่า การทำงานในต่างประเทศ จะเหมือนหรือต่างจากที่เมืองไทยอย่างไร เขาจึงส่งผลงานไปที่เอเจนซี่นายแบบยักษ์ใหญ่ทั่วเอเชีย
“เริ่มต้นจากการทำงานแฟชั่นวีคงานหนึ่ง งานนั้นผมเจอนายแบบต่างชาติเยอะมาก เขาก็เข้ามาคุยกับผมตามปกติ แต่ตอนนั้นผมกลับมีคำถามว่า ทำไมเขาถึงเข้ามาทำงานในเมืองไทยได้ เพราะว่าอะไร จึงตัดสินใจเดินเข้าไปถามเลยว่า คุณมาเมืองไทยได้อย่างไร เข้ามาทำงานได้เลยเหรอ หรือแค่มาเที่ยวเท่านั้น เขาบอกว่า ไม่ใช่ ตัวเขาเองก็ส่งผลงานมาให้เอเจนซี่เมืองไทยพิจารณาเหมือนกัน และทางนี้เขาก็ตอบรับ จึงได้มาทำงานที่นี่
“ผมเข้าใจตั้งแต่วันนั้นเลยว่า มันเริ่มต้นจากตรงนี้ และมีกระบวนการแบบนี้นี่เอง ประจวบเหมาะกับเพื่อนผมบางคนมีโอกาสได้ไปทำงานเมืองนอก ไปเป็นนางแบบที่ต่างประเทศ ทำให้ผมมีความคิดว่า ลองส่งผลงานของตัวเองดู ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร อีกทั้งพี่ๆ ในวงการที่ผมรู้จักและสนิทกันก็บอกว่า ทำงานที่เมืองไทยมาพอสมควรแล้ว ลองไปเปิดตลาดข้างนอกดูบ้าง ผมจึงตัดสินใจส่งผลงานของตัวเองทันที”
สิ่งที่ไอซ์ส่งไปให้เอเจนซี่ต่างประเทศดู ส่วนใหญ่เป็นภาพนิ่ง ประเภทงานถ่ายแฟชั่น โดยเลือกรูปที่ทำงานออกมาดี เหมาะสมกับงาน มีหลายคาแร็คเตอร์ และเป็นรูปที่ตัวเองชอบ รวบรวมส่งให้เขาทั้งหมด ส่วนรูปตอนเดินแบบ ไอซ์คัดมาเพียงแค่ 2-3 ชุดเท่านั้น เพื่อให้เขารู้ว่า ตัวเองเดินแบบเป็นอย่างไร หรือรูปร่างเป็นอย่างไร
จากการส่งผลงานไปทั้งหมด ชายหนุ่มคนนี้หวังโดยตลอดว่า ทุกเอเจนซี่จะชอบในตัวตนและผลงานของเขา
“ตอนที่ส่งไปหวังไว้เลยว่า เขาจะต้องชอบผมก่อน ยังไม่รู้ว่า ได้งานหรือไม่ได้งาน แต่อย่างน้อยให้ชอบผมก่อนก็ดี และอยู่ดีๆ เขาก็ชอบผมขึ้นมา ส่งสัญญามาให้เซ็น และบินไปที่ประเทศเขาทันที ตอนนั้นมีหลายประเทศตอบรับกลับมา ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น และเกาหลี แต่ประเทศที่ผมเลือกคือเกาหลี เพราะประเทศเกาหลีเป็นผู้นำในหลายๆ ด้าน ทั้งวงการบันเทิงและวงการแฟชั่น ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดีกับผม
“ถ้าเกิดว่า ผมผ่านการเดินแบบที่ประเทศเกาหลีได้ ก้าวต่อไปในการทำงานต่างประเทศก็จะง่ายขึ้น อย่างโมเดลชาวเกาหลีหลายคนไปเดินแบบที่ฝั่งยุโรปกันเยอะมาก ผมเองก็อยากจะต่อยอดการทำงาน และไปถึงตรงจุดนั้นให้ได้ จึงเลือกประเทศนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการทำงานต่างประเทศของผม”
เอเจนซี่เกาหลีที่ไอซ์สังกัดอยู่มีชื่อว่า Garten นายแบบในสังกัดเป็นชายล้วนทั้งหมด และมีเพียง 15 คนเท่านั้น โดยกว่าที่นายแบบไทยคนนี้จะเข้าไปเป็นตัวจริงของที่นั่นได้ ชายหนุ่มเล่าว่า สะบักสะบอมแบบสุดๆ
“ผมต้องบินไปเกาหลีก่อน 1 เดือน เพื่อทำการคัดเลือกเข้าสังกัด แต่กว่าจะผ่านและบรรจุเป็นนายแบบของสังกัด Garten ได้ ยอมรับเลยว่า โหดมาก ไม่ใช่แค่เขาชอบรูปผมเพียงอย่างเดียว แต่เขาเชิญผมมานั่งคุยถึงทัศนคติ มุมมองที่มีต่ออาชีพโมเดลว่าเป็นอย่างไร เริ่มต้นจาก ทำไมถึงอยากเป็นโมเดล มั่นใจแค่ไหนว่า จะทำออกมาได้ดี คือเป็นการพูดคุยถึงความคิดและพฤติกรรมของผมก่อน
“จากนั้นจะเป็นการฝึกซ้อมเดินแบบและถ่ายแบบ ต้องรู้ว่าโพสต์ท่าแบบไหน มุมกล้องเป็นอย่างไร และทางสังกัดก็จะเป็นคนออกความเห็นว่า ต้องปรับตรงนี้นะ ต้องทำแบบนี้ ขนาดวิธีการแต่งตัวไปทำงานยังมีการสอนเลย เรียกได้ว่า จัดเต็มทุกรูปแบบของการเป็นนายแบบจริงๆ”
ทั้งซ้อมและสอนการเป็นนายแบบตั้งแต่หัวจรดเท้า การทดสอบยิ่งต้องเข้มข้นเป็นของธรรมดา และตัวไอซ์เองยังจำบททดสอบอันยากลำบากชิ้นหนึ่งได้ไม่มีวันลืม
“จำได้ว่า เป็นการทดสอบเรื่องการเดินแบบ โดยทางสังกัดเรียกผมไปที่ออฟฟิศ แล้วเดินแบบให้เขาดู เดินวนไปวนมาเกือบ 100 รอบ สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่การเดิน แต่อยู่ที่รองเท้าขนาดเล็กที่ผมใส่ เป็นรองเท้าคัทชูแบบสวมเข้าไป และผมเองไม่ได้ใส่ถุงเท้าตอนเดิน คือเจ็บและปวดเท้ามาก เพราะรองเท้ามันกัดเท้าผมอยู่ แต่ผมไม่กล้าบ่น เพราะกลัวว่า ถ้าบ่นไป เดี๋ยวจะดูเป็นคนสำออย ฉะนั้นต้องจริงจังและมืออาชีพ ผมก็เลยได้แต่เดินต่อไป
“ตอนเดินทดสอบ ทางสังกัดมีความเห็นหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น เดินไม่ดี คอตก ไหล่ตก ไหล่ขึ้นเยอะไป ตอนเดินไม่คิดอะไรเหรอ คือมีคำติมากมายในวันนั้น พอเดินจบ เขาถึงมารู้ว่า ผมเป็นอะไร ทำไมวันนี้ถึงเดินได้ไม่ดี เพราะมีเลือดออกมาจากเท้าผมเต็มเลย หลังจากถอดรองเท้าออกมา ทางสังกัดตกใจมากและพูดว่า ทำไมไม่บอกเขา แต่ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจอะไร พยายามทำให้เต็มที่ที่สุด ผลดีก็คือ ผมจำท่าเดินได้แม่นมาก หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น”
บททดสอบการเป็นนายแบบเกาหลีของไอซ์ท่าทางจะไม่จบลงง่ายๆ เพราะนอกจากการฝึกซ้อมที่หนักหนาเอาการแล้ว อีกบททดสอบที่ชายหนุ่มคนนี้เจอ และเป็นกำแพงที่ใหญ่มากสำหรับเขา คือภาษาประจำชาติของคนประเทศนั้น
“ยอมรับว่า ไม่ได้เตรียมตัวเกี่ยวกับเรื่องภาษาเลย เมื่อส่งผลงานไป ก็คิดแต่เพียงว่า คงเหมือนกับโมเดลต่างชาติที่เขามาทำงานบ้านเรา คือบินมาและมาทำงานเลย อีกความคิดหนึ่งก็คือ คนไทยพูดภาษาอังกฤษได้เยอะพอสมควร ที่นั่นก็คงจะเหมือนกัน แต่ไม่เลย คนเกาหลีพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ทางสังกัดเลยบอกว่า ให้ผมเริ่มต้นเรียนรู้และรู้จักภาษาเกาหลีบางคำไว้ เพื่อที่จะทำให้ผมน่าเอ็นดูมากขึ้นเวลาทำงาน เช่น สวัสดี ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย
“ผมพยายามที่จะพูดภาษาเกาหลีให้มากขึ้นกับทีมงานคนเกาหลี เพื่อการทำงานที่ราบรื่นมากขึ้น และอีกสิ่งหนึ่งที่ผมต้องจำก็คือ จำชื่อคนที่เป็นทีมงาน อย่างคนไทยจะชอบเรียกชื่อเล่นกัน แต่ชื่อของคนเกาหลีจะมี 3 พยางค์ ผมก็ต้องจำชื่อและนามสกุลของเขาให้หมด รวมถึงตำแหน่งที่เขาเป็นด้วย รายละเอียดจึงค่อนข้างมาก แต่ก็ผ่านมันมาได้”
งานแรกที่ไอซ์ได้ทำในประเทศเกาหลีคือ งานถ่ายแบบภาพนิ่งของแม็กกาซีนเล่มหนึ่ง และยังเป็นโฆษณาไปด้วยในตัว หลายคนอาจมองว่า งานชิ้นแรกกับคนไม่คุ้นเคย น่าจะมีแต่ความตื่นเต้น แต่ไอซ์มองว่า มันเป็นโอกาสที่ดีมากๆ
“ผมได้ถ่ายแบบกับเหล่าโมเดลเกาหลีเป็นครั้งแรก โดยผมเองเคยรู้จักเขามาก่อนแล้ว มีคนหนึ่งเป็นท็อปโมเดลสังกัดผมร่วมถ่ายแบบในครั้งนี้ด้วย แถมยังได้เจอท็อปโมเดลคนอื่นๆ อีก จึงรู้สึกว่า เป็นโอกาสที่ดีมากๆ เพราะจะได้เรียนรู้วิธีการทำงานของคนอื่นแบบไม่ต้องแอบมอง คือไปร่วมงานด้วยกันกับเขาตรงนั้นเลย และได้เห็นการทำงานที่แตกต่างกันออกไป อาทิ วิธีการโพสต์ต่างๆ ซึ่งสนุกมาก อีกทั้งยังเป็นการถ่ายแบบนอกสถานที่ด้วย ยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่เลย”
หนุ่มหน้าอินเทรนด์คนนี้ ผ่านการถ่ายงานของเกาหลีมาแล้วหลายเล่ม ทั้ง GQ Korea, Esquire Korea, Arena Korea, Marie Claire Korea และอีกมากมาย แต่งานใหญ่ที่สุดของวงการแฟชั่นเกาหลีกำลังรอเขาอยู่ นั่นคือ โซลแฟชั่นวีค ซึ่งนายแบบเกาหลีหลายคนใฝ่ฝันอยากจะเดินแบบงานนี้สักครั้ง รวมถึงนายแบบไทยอย่างไอซ์ด้วย
“ผมเดินงานนี้มาแล้ว 2 ครั้ง 2 ฤดูกาล คือ Winter กับ Spring-Summer โดยงานโซลแฟชั่นวีค จะเป็นงานรวมคอลเล็กชั่นใหม่ของทุกแบรนด์ในประเทศเกาหลีมาอยู่ในเวทีเดียวกัน หนังสือทุกหัว ทุกเล่ม บุคคลในวงการแฟชั่นทุกคนจะมารวมตัวกัน เพื่อมาดูว่า ทางดีไซน์เนอร์จะออกแบบอะไรใหม่ๆ ออกมาให้ดูบ้าง เพื่อที่จะนำไปขายหลังจากนั้น เรียกได้ว่า เป็นงานใหญ่ที่สุดเลยก็ว่าได้
“เมื่อมาที่ประเทศเกาหลี ผมมีความคิดว่า ขอให้ได้เดินสัก 2-3 แบรนด์ แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว เพราะยอมรับว่า ยากพอสมควรกับเวทีใหญ่แบบนี้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผมก็ได้เดินงานนี้ถึง 2 ครั้ง เป็นอะไรที่ภาคภูมิใจมาก และเดือนตุลาคมนี้ ก็จะเป็นงานเดินแบบโซลแฟชั่นวีคครั้งที่ 3 ของผม ผมจึงรู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้ทำงานตรงนี้”
นึกถึงประเทศเกาหลี หลายคนคงปลาบปลื้มกับวัฒนธรรม อาหาร สถานที่ท่องเที่ยว หรือเครื่องสำอางแบรนด์ดัง แต่สำหรับคนทำงานอย่างไอซ์แล้ว เขาประทับใจคนของที่นั่นมากๆ
“เรื่องสถานที่ท่องเที่ยว ผมเฉยๆ นะ เพราะว่าบางสถานที่ก็หนาวจนเกินไป ผมจะประทับใจเรื่องราวเกี่ยวกับคนมากกว่า เขาให้การต้อนรับผมเป็นอย่างดี คุยกับผมดีมาก ทีมงานสนิทสนมกัน แถมยังได้มิตรภาพระหว่างเพื่อนร่วมงานอีกด้วย ซึ่งผมมองว่า เรื่องเพื่อนสำคัญมากๆ เพราะอย่างผมไปทำงานที่ประเทศของเขา เขาไม่จำเป็นต้องมาเอาใจใส่ผม ทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตัวเองไป
“ที่ประเทศเกาหลีไม่ใช่แบบนั้น เขาดูแลผมเหมือนพี่น้อง คนในสังกัดดูแลผมดีมากๆ ผมจึงคิดว่า เพื่อนและมิตรภาพคือสิ่งที่ผมได้มาจากที่นั่น และถ้าเกิดว่า เขามาที่เมืองไทย ผมก็คงต้องดูแลเอาใจใส่เขาให้ดีเหมือนกัน เหมือนกับที่เพื่อนทำให้กันและกัน”
ความสำเร็จของนายแบบไทยในแดนกิมจิ
ข้ามน้ำข้ามทะเลไปประสบความสำเร็จถึงแดนโสมขนาดนี้ อยากให้ลองวิเคราะห์ตัวเองหน่อยว่า อะไรภายในตัวไอซ์ที่เอาชนะใจต้นสังกัดทางเกาหลีได้อย่างอยู่หมัด
“ความกล้าและความมุ่งมั่นมาก่อนอย่างแรกเลย เพราะที่ทางต้นสังกัดเกาหลีเลือกผม เป็นเพราะผมกล้าส่งผลงานไปให้เขาพิจารณา รวมถึงคาแร็คเตอร์ที่ชัดเจนของตัวเอง โดยเป็นการผสมผสานระหว่างไทยกับเกาหลี บางมุมผมดูเป็นคนเกาหลี บางมุมผมดูเป็นคนไทย ซึ่งเป็น 2 ส่วนผสมที่เข้ากันได้อย่างลงตัว
“ถ้าให้มองถึงนิสัยส่วนตัว ผมเป็นคนไม่เรื่องเยอะมากกว่า ไม่ค่อยเรื่องเยอะกับการทำงาน ให้ทำอะไรผมก็ทำ คือเต็มที่กับทุกๆ งาน มีอะไรสั่งมา ผมทำได้หมด ไม่มีเขิน ไม่มีอาย ให้ทำอะไรทำหมดเลย อยากได้แบบนี้ใช่ไหม จัดไป เป็นคนเต็มที่กับทุกๆ อย่าง”
สิ่งที่นายแบบไทยคนนี้ได้ทำ เป็นจังหวะและโอกาสที่ดีมากๆ สำหรับชีวิต แต่ถ้าให้ไอซ์มองว่า เรื่องของโชคและดวงก็น่าจะมีส่วนช่วยอยู่ไม่น้อยให้เขายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้ เจ้าตัวอธิบายว่า บางเรื่องเกี่ยวข้องกับดวง และบางเรื่องก็เกี่ยวข้องกับตัวเอง
“ถ้าเกิดว่า ไม่เริ่มต้นส่งผลงานให้พิจารณา อยู่ดีๆ เขาจะมาชอบผมไหม ตรงนี้เรื่องดวงอธิบายไม่ได้ เพราะเป็นการหาโอกาสด้วยตัวของผมเอง แต่ถ้าคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าที่เขาจ้างผมเดินหรือถ่ายแบบ พอดีเขาเกิดชอบคาแร็คเตอร์แบบผมขึ้นมา ตรงนี้อธิบายได้ว่า เป็นเรื่องของดวงและความบังเอิญ ดังนั้นแล้ว โชคหรือดวงอาจจะเกี่ยวข้องกับบางเรื่อง ถามว่าปฏิเสธไหม ไม่ปฏิเสธ บางเรื่องมีส่วนมากทีเดียว แต่อย่างเรื่องการส่งผลงานนี่ เกี่ยวข้องกับตัวเองล้วนๆ เลย”
ไอซ์ท่องกับตัวเองตลอดว่า สู้ๆ ท่ามกลางคำถามและความเหนื่อยมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บินไกลตั้ง 6 ชั่วโมง เหนื่อยนะ ท็อปโมเดลจะเป็นไปได้เหรอ ในหัวของชายหนุ่มนึกถึงแต่คำถามเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา แต่กุญแจสำคัญที่ทำให้เขาฝ่าคำถามเหล่านั้นมาได้คือ ความมั่นใจ
“ต้องคิดว่าทำได้ก่อน คำถามเหล่านั้นก็จะเริ่มจางหายไปเอง ผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ต้องทำได้สิ ต้องทำได้ รวมถึงกำลังใจจากคนรอบข้างก็สำคัญ พวกเขาคอยบอกผมว่า ไปสิ สู้ๆ ทำได้อยู่แล้ว ความมั่นใจผมเลยเพิ่มมากขึ้น และเลือกที่จะเดินในเส้นทางนี้ อย่าคิดว่า ตัวเองด้อยกว่าคนอื่นเด็ดขาด การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นไม่มีอะไรดีขึ้น แข่งกับตัวเองดีที่สุด”
อยู่ดีๆ คำว่า เก่ง ก็ผุดขึ้นมาในความคิดระหว่างที่สัมภาษณ์อยู่ ถ้าจะให้นิยามผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าว่า เก่ง ไอซ์เองจะยอมรับคำนิยามนี้หรือเปล่า
“ผมรู้สึกว่า ต้องพัฒนาตัวเองมากขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเก่งเลย ถ้าผมบอกว่า ตัวเองเก่งเมื่อไร ทุกอย่างจะจบและหมดลงทันที เพราะรู้หมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้อะไรอีก แต่งานแฟชั่นคืองานเรียนรู้ การทำงานทุกอย่างจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ เรียนรู้ให้มากขึ้น ศึกษางานจากคนอื่นเยอะๆ ไม่ใช่แค่ทำงานถ่ายรูป โพสต์ท่าเพียงอย่างเดียว ต้องศึกษาว่า งานนี้เป็นอย่างไร ต้องรู้และอ่านทางให้ออก รวมถึงนำมาปรับใช้ในการทำงานครั้งต่อไป”
น้องหน้าใหม่ในวงการเดินแบบเกิดขึ้นมาไม่เว้นแต่ละวัน และแต่ละคนดูท่าทางจะสนใจการโกอินเตอร์ของไอซ์เป็นพิเศษ ซึ่งตัวไอซ์เองก็ไม่ได้หวงวิชาความรู้แต่อย่างใด เจออะไร เห็นอะไร ไปพบกับอะไร หนุ่มคนนี้บอกทุกคนแบบหมดเปลือก
“ผมมองว่า ไม่ใช่การสอนน้องนะ แต่เป็นการแลกเปลี่ยนและแบ่งปันประสบการณ์มากกว่า ว่าผมทำอะไรมาบ้าง เจอเหตุการณ์อะไรจากที่นั่นมา ซึ่งมีน้องๆ ที่ทำงานด้วยกันก็เข้าถามไถ่ผมอยู่ตลอด บางทีนำผลงานมาให้ดูว่า สามารถส่งไปได้หรือไม่ ผมก็บอกว่า ส่งไปเลย ดีแล้วแบบนี้ แต่จะไม่ได้ให้คะแนนหรือประเมินสิ่งที่พวกเขาทำแต่อย่างใด เพราะทุกคนมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน ผมเป็นเพียงแค่คนให้กำลังใจและสนับสนุนเขาอยู่ห่างๆ ให้เขากล้าทำในสิ่งที่ยากขึ้น”
รันเวย์แต่ละงานอาจจบลงเป็นฤดูกาล แต่รันเวย์ชีวิตยังคงทอดยาวต่อไป ไม่รู้ว่าแผนต่อไปของโมเดลเกาหลีสัญชาติไทยคนนี้จะเป็นเช่นไร
“เร็วๆ นี้ เดือนตุลาคม ยังมีงานแฟชั่นที่เกาหลีรออยู่แน่นอน แต่อนาคตข้างหน้า อยากลองไปญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ดูบ้าง รวมไปถึงประเทศแถบยุโรปก็น่าสนใจ ถ้าสามารถไปได้ ก็ค่อยว่ากันอีกที”
แฟนคลับยังคงรุมถ่ายรูปไอซ์อย่างต่อเนื่อง และความต่อเนื่องนี้ดูท่าว่า จะไม่มีวันหมดลงไปง่ายๆ เหมือนกับแววตาแห่งความตั้งใจและทุ่มเทที่ยังคงฉายชัดอยู่ในนัยน์ตาหล่อเท่คู่นี้
ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Feel Good
เรื่อง : ยุทธชัย สว่างสมุทรชัย
ภาพ : ปวริศร์ แพงราช