“ประยุทธ์” ย้ำไม่เคยหวังลาภ ยศ เข้ามา เพราะไม่อยากให้ประเทศพัง ชี้ปัญหาหมักหมมจนคนบางคนถูกล้างสมองไปแล้ว ระบุไม่ใช้อำนาจกับนักศึกษาต้าน อภัยหลายครั้ง แนะพ่อแม่ดูแลลูกถ้ายากให้เรียนจบ เตือนจะรักใครไม่เคยห้าม แต่อย่าก้าวก่ายตนสวนกลับแน่ ก่อนถามให้คิดคนหนีคดีต่างแดนทำผิดกฎหมายใช่หรือไม่ ถึงกลับบ้านไม่ได้
วันนี้ (23 พ.ค.) เมื่อเวลา 19.00 น. ที่ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “นายกฯพบหอการค้า รวมพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ซึ่งจัดโดยหอการค้าไทย เป็นการจัดประชุมใหญ่หอการค้า 5 ภาค ประจำปี 2558
โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า ทุกวันนี้คนไทยมีอยู่ 2 อย่าง คือ ข้อเท็จจริงกับความรู้สึก คนไทยเป็นคนโรแมนติก ส่วนใหญ่ใช้ความรู้สึก รักใครชอบใคร เกลียดใคร ก็ใช้หัวใจเสียเป็นส่วนมาก แต่ใช้สมองน้อยในการคิดใคร่ครวญว่ามันใช่หรือไม่ใช่ น้อยมาก ตนไม่ได้ดูถูก ดังนั้น วันนี้สิ่งแรกที่เราต้องแก้คือเราต้องมีความรู้ มีสติ และมีความรู้สึกในการครองชีวิต หากประเทศไทยยังใช้ความรู้สึกในการดำรงชีวิตอยู่อย่างนี้ ไม่ว่าอะไรก็ตามคงเดินต่อไปกันไม่ได้ แม้แต่ตนเองยังต้องพยายามมีสติ ไม่โกรธ ซึ่งก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง และถ้าใครมาอยู่ตรงจุดเดียวกับตน ก็จะรู้ว่าต้องอดทนมากพอสมควร
พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลนี้ไม่ได้เข้ามาเพื่อผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น หลายคนพูดว่ารัฐบาลเตรียมจะต่ออำนาจต่อไปจนเลือกตั้ง ซึ่งตนได้บอกว่าจะให้ทำประชามติก็บอกมา ก็กลับกลายเป็นว่า ตนวางแผนไว้แล้วว่าให้ทำประชามติเพื่ออยู่อีก 3 เดือน แล้วตนจะอยู่ไปทำอะไร ถ้าอยู่แล้วเพื่อให้ได้ประโยชน์ ตนไม่อยู่แน่ เพราะทุกวันนี้สลึงหนึ่งก็ยังไม่ได้ เบี้ยประชุมก็ไม่รับ ตนถือว่าเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ เสี่ยงชีวิตเข้ามา ไหนจะครอบครัว ญาติพี่น้อง แต่ประเทศชาติจะปล่อยไปไม่ได้ ทั้งที่ช่วงนั้นเวลารับราชการก็เหลือน้อยเต็มที แต่เมื่อเห็นว่าปัญหาที่ถูกปล่อยมานานเป็นสิบๆ ปี จะปล่อยไปไม่ได้ คนบางคนถูกล้างสมองไปแล้ว
ขณะที่สื่อมวลชนตนเข้าใจมีความหวังดี แต่บางครั้งอาจเป็นการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เวลาพูดอะไรออกไป ลืมมองในมุมกลับที่จะกลับเข้ามาในประเทศ กลับมาที่รัฐบาล หรือกลับมาที่คนไทย ตนทำทุกวันนี้ ตนยอมเสียหน้าเพียงคนเดียว ยอมโดนด่า โดนตำหนิ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพราะว่าตนเข้ามาแบบนี้ แต่ตนต้องการให้คนไทยมีศักดิ์ศรี ดังนั้นยืนยันว่า ตนดำเนินการทุกอย่างด้วยความเป็นห่วงและคาดหวังว่า อนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร จึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ ไว้ว่า มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
ส่วนที่มีการวิจารณ์ว่า มั่นคง หมายถึงทหารได้งบมากกว่าคนอื่นนั้นแสดงว่าไม่เข้าใจระบบงานงบประมาณ ตนเป็นทหาร มีประสบการณ์ในกองทัพมา 38 ปี อยู่ในค่ายทหารมาตั้งแต่เกิด มีแม่เป็นครู วันนี้ก็มีภรรยาเป็นครู เพราะฉะนั้นอยู่ในระเบียบมาตลอดชีวิต ก็ยังอุตส่าห์มีคนไปโพสต์ มีรูปว่าตนนั่งเรียบร้อยข้างภรรยา แหมช่างทำ ซึ่งตนก็ขอถามว่าแล้วใครไม่ทำอย่างนี้บ้างล่ะ อย่างไรก็ตาม ตนถือว่าสื่อให้เกียรติกับตน ถึงแม้ว่าจะมีทะเลาะเบาะแว้งบ้างก็ธรรมดา ตนอยากให้มีความไม่เข้าใจกันหรือจะมีการอธิบายอะไรกับสื่อ ตนอยากให้อยู่กันในประเทศ ไม่ต้องเอาออกไปข้างนอก ทุกวันนี้โซเชียลมีเดียรวดเร็ว ซึ่งปัญหานี้ทุกประเทศเจอปัญหาโซเชียลมีเดียเหมือนกันหมด ดังนั้น สิ่งใดที่เป็นความเลวร้าย ไม่เรียบร้อย ไม่ใช่เรื่องที่เราจะปิดบัง แต่เป็นเรื่องที่สามารถชี้แจงได้ ว่ากำลังแก้ไขอะไรกันอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเรื่องโรฮิงจาหรืออะไรก็แล้วแต่
“ผมมีหลักการชัดเจนเวลาจะพูดอะไรออกไป ก่อนที่ผมจะพูด ผมคิดแล้วคิดอีก เวลาทำงานผมพูดแต่ผมคิด เวลาผมสั่งอะไรต่างๆ ไม่ใช่ใช้แต่อำนาจ เพราะอำนาจใช้มากๆ ก็หมดเร็ว บางวันก็ใช้ไม่ได้ อย่างที่นักศึกษาออกมา ก็ใช้ไม่ได้ เพราะนั่นคืออนาคตของเรา ผมพยายามเข้าใจว่าเขามีไฟแรง มีอุดมการณ์ที่ดี แต่มันยังไม่ใช่เวลา ผมก็ให้อภัยมาหลายรอบเหลือเกิน พ่อแม่เขาก็ห่วงลูก ถ้าอยากจะให้ลูกจบการศึกษา ก็ต้องไปสอนลูก ว่าที่เราเข้ามา เรากำลังทำอะไรกันอยู่ เรากำลังสร้างประวัติศาสตร์กันใช่หรือไม่ เรากำลังแก้ปัญหา ถ้าทุกคนคิดว่าประเทศไทยไม่เคยมีปัญหามาเลยคงไม่เป็นธรรมกับประเทศไทย กับคนไทย ทุกคนจะรักใครชอบใครผมไม่เคยห้าม ไม่เคยไปเกลียดใคร แต่ใครจะมาแตะผมไม่ได้ ถ้าว่าผม ผมก็สวนเอา และต้องไม่ได้นั่งทำฟีลลิ่ง เวลาเขาพูดอะไรมาทีก็ตกใจที พูดมาทีก็เอาอีกแล้ว ก็ข้ามกันไม่พ้นเสียทีใช่หรือไม่ อะไรที่เป็นความเลวร้าย เราหยุดไปก็จบ เขาอยากจะพูดก็พูดไป ผมก็พูดได้เพียงอย่างเดียวว่า ถ้าถูกกฎหมายก็กลับมา ถ้าไม่ถูกกฎหมายก็แสดงว่าเขาผิดกฎหมายใช่หรือไม่ ถึงกลับบ้านไม่ได้ นั่นแหละคือเรื่องของผม อย่างไรผมก็ชนะเขาอยู่แล้วตอนนี้ แต่วันหน้าอยู่ที่พวกท่านว่าจะดูแลผมหรือเปล่า ผมเชื่อมั่นว่าทำความดี ไม่ต้องกลัว พระก็เยอะ พกพระอยู่ด้วย”