วันนี้(23พ.ค.) ที่โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ "นายกฯ พบหอการค้า:รวมพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้สิ่งที่ประเทศต้องเร่งแก้ไขคือ คนไทยต้องมีความรู้ มีสติ เพราะหากยังใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจ ประเทศจะไม่สามารถเดินหน้าได้ รัฐบาลนี้ไม่ได้เข้ามาเพื่อผลประโยชน์ แต่เข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหา ส่วนเรื่องทำประชามติหลายคนมองว่าตนต้องการอยู่ในอำนาจอีก 3 เดือนนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะการทำหน้าที่ขณะนี้ตนมีความเสี่ยงทั้งส่วนตัวและครอบครัว ซึ่งในเรื่องดังกล่าวในมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ตัดสินใจ ส่วนมาตรา 44 มีไว้เพื่อควบคุมสถานการณ์ภายในประเทศให้สงบสุข แต่ไม่ได้ใช้อำนาจดังกล่าวกับทุกเรื่อง
ซึ่งในส่วนของความมั่นคงเราต้องมีศักยภาพที่เพียงพอเพื่อป้องกันไม่ต้องสู้กับใคร ซึ่งวันนี้ไทยต้องชื้อยุทโธปกรณ์จากต่างประเทศเพราะยังไม่สามารถผลิตเองได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คนไทยเคยชินกับการมีเงินใช้ ดังนั้นเมื่อเกิดความขัดสนจึงโทษว่าเป็นความผิดของรัฐบาล โดยไม่รู้ว่าเงินที่หายไปเป็นผลมาจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ที่มักใช้โครงการประชานิยมซื้อใจประชาชน ซึ่งในรัฐบาลชุดนี้ไม่ทำเช่นนั้น แต่ยืนยันว่า ซึ่งจนถึงขณะนี้ตนยังไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศ รวมถึงในส่วนของหนี้สาธารณะ และตนได้กำหนดแนวทางในการจัดสรรงบประมาณแผ่นให้กับหน่วยงานต่างๆ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดความยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้หลายคนคาดหวังว่า เศรษฐกิจของประเทศจะดีขึ้นหลังจากเลือกตั้ง ซึ่งมองว่าอาจเป็นเช่นนั้นในสายตาต่างชาติ แต่อยากให้ไตร่ตรองว่าในประเทศจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า คนกำหนดวิสัยทัศน์ ว่า ปัจจุบันข้อมูลในโซเชี่ยลกระจายอย่างรวดเร็ว ซึ่งบางทีข้อมูลยังไม่ถูกต้อง ซึ่งสิ่งใดที่เป็นความเลวร้ายไม่ใช้เรื่องที่ต้องปิดบัง แต่เป็นเรื่องที่ต้องชี้แจง อย่างเรื่องโรฮินจามีการพูดถึงกันมาก จะให้ไทยเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งที่ไม่ใช้ต้นเหตุและปลายเหตุพร้อมยืนยันว่า ในการดำเนินการใดๆ ตนไตร่ตรองอย่างดีไม่ได้ใช้เพียงอำนาจ อย่างเหตุการณ์ที่นักศึกษา รวมตัวกันต้านรัฐประหาร เพราะถือเป็นอนาคตของประเทศ ซึ่งตนพยายามเข้าใจว่ามีอุดมการณ์ที่ดี แต่ต้องอธิบายให้เข้าใจว่ายังไม่ใช่เวลา รัฐบาลกำลังจะแก้ไขปัญหา
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้สิ่งที่ประเทศต้องเร่งแก้ไขคือ คนไทยต้องมีความรู้ มีสติ เพราะหากยังใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจ ประเทศจะไม่สามารถเดินหน้าได้ รัฐบาลนี้ไม่ได้เข้ามาเพื่อผลประโยชน์ แต่เข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหา ส่วนเรื่องทำประชามติหลายคนมองว่าตนต้องการอยู่ในอำนาจอีก 3 เดือนนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะการทำหน้าที่ขณะนี้ตนมีความเสี่ยงทั้งส่วนตัวและครอบครัว ซึ่งในเรื่องดังกล่าวในมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ตัดสินใจ ส่วนมาตรา 44 มีไว้เพื่อควบคุมสถานการณ์ภายในประเทศให้สงบสุข แต่ไม่ได้ใช้อำนาจดังกล่าวกับทุกเรื่อง
ซึ่งในส่วนของความมั่นคงเราต้องมีศักยภาพที่เพียงพอเพื่อป้องกันไม่ต้องสู้กับใคร ซึ่งวันนี้ไทยต้องชื้อยุทโธปกรณ์จากต่างประเทศเพราะยังไม่สามารถผลิตเองได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คนไทยเคยชินกับการมีเงินใช้ ดังนั้นเมื่อเกิดความขัดสนจึงโทษว่าเป็นความผิดของรัฐบาล โดยไม่รู้ว่าเงินที่หายไปเป็นผลมาจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ที่มักใช้โครงการประชานิยมซื้อใจประชาชน ซึ่งในรัฐบาลชุดนี้ไม่ทำเช่นนั้น แต่ยืนยันว่า ซึ่งจนถึงขณะนี้ตนยังไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศ รวมถึงในส่วนของหนี้สาธารณะ และตนได้กำหนดแนวทางในการจัดสรรงบประมาณแผ่นให้กับหน่วยงานต่างๆ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดความยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้หลายคนคาดหวังว่า เศรษฐกิจของประเทศจะดีขึ้นหลังจากเลือกตั้ง ซึ่งมองว่าอาจเป็นเช่นนั้นในสายตาต่างชาติ แต่อยากให้ไตร่ตรองว่าในประเทศจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า คนกำหนดวิสัยทัศน์ ว่า ปัจจุบันข้อมูลในโซเชี่ยลกระจายอย่างรวดเร็ว ซึ่งบางทีข้อมูลยังไม่ถูกต้อง ซึ่งสิ่งใดที่เป็นความเลวร้ายไม่ใช้เรื่องที่ต้องปิดบัง แต่เป็นเรื่องที่ต้องชี้แจง อย่างเรื่องโรฮินจามีการพูดถึงกันมาก จะให้ไทยเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งที่ไม่ใช้ต้นเหตุและปลายเหตุพร้อมยืนยันว่า ในการดำเนินการใดๆ ตนไตร่ตรองอย่างดีไม่ได้ใช้เพียงอำนาจ อย่างเหตุการณ์ที่นักศึกษา รวมตัวกันต้านรัฐประหาร เพราะถือเป็นอนาคตของประเทศ ซึ่งตนพยายามเข้าใจว่ามีอุดมการณ์ที่ดี แต่ต้องอธิบายให้เข้าใจว่ายังไม่ใช่เวลา รัฐบาลกำลังจะแก้ไขปัญหา
