เมื่อเวลา13.30 น. วานนี้ ( 6 ก.ค.) องค์คณะตุลาการศาลปกครอง ได้ออกนั่งไต่สวนคดีที่บริษัท พีซเทเลวิชั่น จำกัดผู้ประกอบกิจการสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้บริหาร พีซทีวีพร้อมพวกรวม 5 คน ยื่นฟ้องคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ (กสท.) เสียงข้างมาก ที่มีมติสั่งปิดและเพิกถอนใบอนุญาต พีซทีวี โดยเป็นการไต่สวนเพื่อพิจารณาว่า จะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา ให้บริษัท พีซเทเลวิชั่น จำกัด สามารถออกอากาศต่อไปได้ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาได้หรือไม่
ทั้งนี้ การไต่สวนทาง บริษัท พีซเทเลวิชั่น จำกัด มีนายจตุพร เดินทางมาให้ถ้อยคำด้วยตนเอง ขณะที่ กสทช. ส่ง นายสมบัติ ลีลาพตะ รองเลขาธิการสำนักงานกสทช.เข้าชี้แจง
หลังการชี้แจงเกือบ 3 ชั่วโมง นายจตุพร ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นการอธิบายข้อเท็จจริง 2 ฝ่ายซึ่งก่อนหน้านี้ ได้เคยให้ถ้อยคำกับคณะอนุกรรมการของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) มาแล้ว และ อนุกสม. มีความเห็นให้ กสทช. ทบทวนมติที่สั่งปิด พีซทีวี ซึ่งตนก็ได้สอบถามองค์คณะก็ให้ความชัดเจนว่า หลังจากนี้น่าจะมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งภายใน 2 สัปดาห์
ด้านนายสมบัติ กล่าวว่า ก็ได้ชี้แจงขั้นตอนกระบวนการของกสทช. ก่อนมีคำสั่งปิด และเพิกถอนใบอนุญาตพีซทีวี พร้อมยืนยันว่ากสทช. ได้ทำตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างครบถ้วน ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ไม่มีโอกาสชี้แจงก่อนคำสั่งปิด ทาง กสทช. ก็ยอมรับ เพราะในกฎหมายมีข้อยกเว้นไว้ว่า กรณีใดบ้างที่ กสทช. สามารถมีคำสั่งทางปกครองได้เลย โดยไม่ต้องให้ผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจง ซึ่งกรณีของพีซทีวี ก็เข้าข่ายให้ กสทช. ใช้อำนาจ ดำเนินการได้เลย
ส่วนกรณีที่ ทางพีซทีวี อ้างมติ กสม. เรื่องให้ กสทช.กลับไปทบทวนมตินั้น เบื้องต้นยังเป็นความเห็นของอนุกรรมการใน กสม. ยังไม่ใช่มติที่เป็นทางการจาก กสม. และทาง กสทช. ก็ยังไม่เคยได้รับหนังสือความเห็นดังกล่าวจากอนุกรรมการ กสม.
**“วัชระ”ยัน”เอไอเอส” ติดค่าไฟและค่าเช่าที่รัฐจริง
นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นางวิไล เคียงประดู่ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานประชาสัมพันธ์ บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด ยืนยันจ่ายค่ากระแสไฟฟ้าและค่าใช้พื้นที่ของสถาบันการบินพลเรือนแล้วว่า ตนต้องขอขอบคุณนางวิไล ที่พยายามแก้ต่างแทนเจ้าของบริษัท แต่ตนก็ต้องเชื่อมั่นในเอกสารทางราชการมากกว่า คือหนังสือที่ ตผ.0025/1173 ของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ลงวันที่ 25 ก.พ.2558 เรื่องขอให้ทบทวนกระบวนการทำสัญญาหรือข้อตกลงต่างๆ ระหว่างสถาบันการบินพลเรือน กับบริษัทเอไอเอส.ตามเอกสารที่ปรากฏนี้
โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบพบว่า เอไอเอส เข้ามาใช้พื้นที่ตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 ถึงปัจจุบัน โดยมิได้มีการขออนุญาตจากกรมธนารักษ์ และมิได้ชำระค่าเช่าที่ราชพัสดุให้กับกรมธนารักษ์ และสถาบันการบินพลเรือนก็มิได้เรียกเก็บค่าเช่าพื้นที่กับเอไอเอส แต่ประการใด ทำให้รัฐได้รับความเสียหายและ สบพ. ยังต้องรับภาระการชำระค่าไฟฟ้าที่เกิดจากการใช้ของ เอเอส อีกด้วย
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ สบพ. ให้เอกชนเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่ได้มีการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายจนทำให้ทางราชการได้รับความเสียหายต้องชำระค่าไฟฟ้าในส่วนที่ไม่ใช่งานของราชการ และเพื่อเป็นการป้องกันมิให้เกิดผลเสียหายแก่ทางราชการเพิ่มขึ้นอีก และเป็นการรักษาประโยชน์ของแผ่นดิน จึงเห็นควรให้ สบพ. พิจารณาทบทวนในเรืองดังกล่าว โดยให้ บมจ.เอไอเอส รื้อถอนเสาสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมชำระค่าไฟฟ้าที่ผ่านมา ลงชื่อ นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรวาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
ดังนั้นในวันนี้ (7ก.ค.) ตนจะนำเอกสารผลการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องนี้ และหนังสือจากกรมธนารักษ์ที่ยืนยันว่าบริษัทเอไอเอส ไม่เคยทำสัญญาเช่าใดๆ กับกรมธนารักษ์ ไปเปิดเผยต่อสื่อมวลชนที่รัฐสภา เพื่อ
ยืนยันว่า เป็นเรื่องจริงมีเอกสารทางราชการยืนยัน และรักษาผลประโยชน์ชาติ จึงไม่มีความเกรงกลัวใดๆ
ทั้งนี้ การไต่สวนทาง บริษัท พีซเทเลวิชั่น จำกัด มีนายจตุพร เดินทางมาให้ถ้อยคำด้วยตนเอง ขณะที่ กสทช. ส่ง นายสมบัติ ลีลาพตะ รองเลขาธิการสำนักงานกสทช.เข้าชี้แจง
หลังการชี้แจงเกือบ 3 ชั่วโมง นายจตุพร ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นการอธิบายข้อเท็จจริง 2 ฝ่ายซึ่งก่อนหน้านี้ ได้เคยให้ถ้อยคำกับคณะอนุกรรมการของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) มาแล้ว และ อนุกสม. มีความเห็นให้ กสทช. ทบทวนมติที่สั่งปิด พีซทีวี ซึ่งตนก็ได้สอบถามองค์คณะก็ให้ความชัดเจนว่า หลังจากนี้น่าจะมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งภายใน 2 สัปดาห์
ด้านนายสมบัติ กล่าวว่า ก็ได้ชี้แจงขั้นตอนกระบวนการของกสทช. ก่อนมีคำสั่งปิด และเพิกถอนใบอนุญาตพีซทีวี พร้อมยืนยันว่ากสทช. ได้ทำตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างครบถ้วน ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ไม่มีโอกาสชี้แจงก่อนคำสั่งปิด ทาง กสทช. ก็ยอมรับ เพราะในกฎหมายมีข้อยกเว้นไว้ว่า กรณีใดบ้างที่ กสทช. สามารถมีคำสั่งทางปกครองได้เลย โดยไม่ต้องให้ผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจง ซึ่งกรณีของพีซทีวี ก็เข้าข่ายให้ กสทช. ใช้อำนาจ ดำเนินการได้เลย
ส่วนกรณีที่ ทางพีซทีวี อ้างมติ กสม. เรื่องให้ กสทช.กลับไปทบทวนมตินั้น เบื้องต้นยังเป็นความเห็นของอนุกรรมการใน กสม. ยังไม่ใช่มติที่เป็นทางการจาก กสม. และทาง กสทช. ก็ยังไม่เคยได้รับหนังสือความเห็นดังกล่าวจากอนุกรรมการ กสม.
**“วัชระ”ยัน”เอไอเอส” ติดค่าไฟและค่าเช่าที่รัฐจริง
นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นางวิไล เคียงประดู่ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานประชาสัมพันธ์ บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด ยืนยันจ่ายค่ากระแสไฟฟ้าและค่าใช้พื้นที่ของสถาบันการบินพลเรือนแล้วว่า ตนต้องขอขอบคุณนางวิไล ที่พยายามแก้ต่างแทนเจ้าของบริษัท แต่ตนก็ต้องเชื่อมั่นในเอกสารทางราชการมากกว่า คือหนังสือที่ ตผ.0025/1173 ของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ลงวันที่ 25 ก.พ.2558 เรื่องขอให้ทบทวนกระบวนการทำสัญญาหรือข้อตกลงต่างๆ ระหว่างสถาบันการบินพลเรือน กับบริษัทเอไอเอส.ตามเอกสารที่ปรากฏนี้
โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบพบว่า เอไอเอส เข้ามาใช้พื้นที่ตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 ถึงปัจจุบัน โดยมิได้มีการขออนุญาตจากกรมธนารักษ์ และมิได้ชำระค่าเช่าที่ราชพัสดุให้กับกรมธนารักษ์ และสถาบันการบินพลเรือนก็มิได้เรียกเก็บค่าเช่าพื้นที่กับเอไอเอส แต่ประการใด ทำให้รัฐได้รับความเสียหายและ สบพ. ยังต้องรับภาระการชำระค่าไฟฟ้าที่เกิดจากการใช้ของ เอเอส อีกด้วย
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ สบพ. ให้เอกชนเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่ได้มีการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายจนทำให้ทางราชการได้รับความเสียหายต้องชำระค่าไฟฟ้าในส่วนที่ไม่ใช่งานของราชการ และเพื่อเป็นการป้องกันมิให้เกิดผลเสียหายแก่ทางราชการเพิ่มขึ้นอีก และเป็นการรักษาประโยชน์ของแผ่นดิน จึงเห็นควรให้ สบพ. พิจารณาทบทวนในเรืองดังกล่าว โดยให้ บมจ.เอไอเอส รื้อถอนเสาสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมชำระค่าไฟฟ้าที่ผ่านมา ลงชื่อ นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรวาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
ดังนั้นในวันนี้ (7ก.ค.) ตนจะนำเอกสารผลการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องนี้ และหนังสือจากกรมธนารักษ์ที่ยืนยันว่าบริษัทเอไอเอส ไม่เคยทำสัญญาเช่าใดๆ กับกรมธนารักษ์ ไปเปิดเผยต่อสื่อมวลชนที่รัฐสภา เพื่อ
ยืนยันว่า เป็นเรื่องจริงมีเอกสารทางราชการยืนยัน และรักษาผลประโยชน์ชาติ จึงไม่มีความเกรงกลัวใดๆ