xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

อุเทน ชาติภิญโญ ปักธงชิงเก้าอี้ “ผู้ว่าฯกทม.”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เชื่อแน่ว่าคนกรุงเทพฯ หรือคนที่มาอาศัยอยู่ในเมืองกรุง ต่างรู้ซึ้งถึงความวุ่นวายอย่างสาหัสสากรรจ์ในการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงของประเทศไทยเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องรถติด น้ำท่วมน้ำขัง ตลอดจนไปถึงความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน ที่ฝากไว้กับผู้รับผิดชอบอย่าง กทม.ไม่ได้เลย เพราะที่ผ่านมา กทม.ภายใต้การนำของผู้ว่าฯที่มาจากการเลือกตั้งมักถูกวิพากษ์วิจารณ์การทำงานในแทบจะทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะช่วงหลังๆที่มีเสียงด่าขรมระงมไปหมดจากเหตุน้ำท่วมน้ำขังที่ยังไร้หนทางในการแก้ไข

“อุเทน ชาติภิญโญ” อดีตประธานกรรมการผันน้ำลงทะเลด้านตะวันออก เมื่อครั้งวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 จนถูกยกให้เป็น “กูรูน้ำ” คนหนึ่งของประเทศก็เคยออกมาเสนอแนะแนวทางในการระบายน้ำของเมืองกรุงอยู่บ่อยครั้ง รวมไปถึงปัญหาอื่นๆที่เกิดขึ้นใน กทม.ด้วย มาวันนี้ “อุเทน” ที่ผันตัวมาเป็นหัวหน้าพรรคคนไทย แต่ก็ติดหล่มทางการเมืองไม่สามารถทำงานการเมืองได้ในยุคปัจจุบันเช่นเดียวกับพรรคการเมืองอื่นๆ ก็ประสบปัญหาไม่ต่างจากคน กทม.ทั่วไป เพราะอาศัยและเติบโตอยู่ในเมืองหลวงมานับหลายสิบปี นอกจากนี้จะแสดงความเห็นเรื่องการทำงานของ กทม.แล้ว ก็ยังสร้างเซอร์ไพร์สเล็กประกาศตัวที่จะลงชิงเก้าอี้ “ผู้ว่าฯกทม.” ที่คนปัจจุบันจะหมดวาระในอีกไม่ถึง 2 ปีข้างหน้าด้วย

สาเหตุที่ประกาศว่าจะลงชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม.ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

ในฐานะที่เติบโตใน กทม.มาโดยตลอด เห็นว่า กทม.ในหลายยุคที่ผ่านมาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงดีขึ้นเลย ยังคงแต่มีปัญหาเดิมๆที่หมักหมมมากขึ้นเรื่อยๆ คน กทม.ไม่เคยก้าวพ้นความเครียดจากรถติด และนับวันยิ่งสาหัสสากรรจ์มากขึ้น ไม่เคยพ้นบ่วงกรรมของน้ำท่วม ก็เป็นปัญหามาทุกยุคทุกสมัย ซ้ำร้ายวันนี้ความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินยิ่งไม่มีอีก ทั้งหลายทั้งปวงก็มาจากผู้บริหาร กทม.ที่คิดไม่เป็น ทำไม่ได้ และคิดไม่ได้ ทำไม่เป็น ทำให้การบริหาร กทม.ล้มเหลว ถ้าผมมีโอกาสจะขจัดสิ่งนี้ให้ได้ เพราะส่วนตัวเชื่อว่ามีคุณสมบัติคิดเป็นทำได้ และคิดได้ทำเป็น

ที่ผ่านมาก็ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับปัญหาใน กทม.หลายเรื่อง

เรื่องน้ำท่วม และการระบายน้ำ ผมก็คอมเมนต์ในฐานะที่เคยดูแลเกี่ยวกับเรื่องการระบายน้ำ และได้ประสานงานกับทาง กทม.ในยุคนั้น ซึ่งก็ทำให้เห็นว่า ยังมีข้อบกพร่องอยู่มากแล้วก็เรื้อรังมาถึงทุกวันนี้ นอกจากไม่สามารถทำให้สถานการณ์ดีขึ้นแล้วยังแสดงออกด้วยบุคลิกและคำพูดที่ก้าวร้าว ซึ่งไม่ใช่วิสัยของคนที่เป็นผู้บริหาร ที่เป็นห่วงมากในตอนนี้ คือความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคน กทม.ที่ตกต่ำอย่างมาก สาเหตุหนึ่งก็คือการลักวิ่งชิงปล้น ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดี ทำให้มีโจรขโมยมากขึ้น กทม.กลับไม่มีมาตรการใดที่จะออกมาปกป้องให้ประชาชนให้มีความปลอดภัย แค่หลอดไฟตามเสาไฟก็ไม่มีการดูแล ยังมีกล้องวงจรปิดที่ไม่เคยใช้ได้เลยเมื่อเกิดเหตุ ส่งผลให้เกิดจุดเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น คนที่รับเคราะห์ก็คือประชาชน

เรื่องนี้น่าจะเป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย

ผู้ว่าฯต้องดูแลความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนในพื้นที่ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปรับโครงสร้างตำรวจให้ขึ้นตรงกับผู้ว่าฯในแต่ละจังหวัด โดยเริ่มจาก กทม.ดูแลตำรวจในส่วนของนครบาลไปเลย เพื่อให้เกิดความมีประสิทธิภาพในการประสานหรือสั่งงาน

เรื่องการจราจรติดขัดดูจะเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก

ต้องทำความเข้าใจว่า เรามีพื้นที่ถนนจำกัด แต่ปริมาณรถยนต์มีมากขึ้นเรื่อยๆ และปัจจุบันมักมีการใช้ถนนเป็นที่จอดรถ หรือหยุดรถโดยไม่จำเป็น ส่งผลให้มีพื้นที่จราจรที่มีอยู่น้อยแล้วน้อยลงไปอีก โดยเฉพาะบรรดารถส่งของต่างๆที่มักง่ายจอดในที่ห้ามจอด ส่งผลให้เกิดปัญหาการจราจร และยังมีการปล่อยปละละเลยใช้พื้นที่ทางเท้าแบบผิดๆ ค้าขายแผงลอยต่างๆ ต้องโทษผู้มีอำนาจบังคับใช้กฎหมาย ทั้งตำรวจ และเจ้าหน้าที่เทศกิจของ กทม.

ถือเป็นงานหินมากสำหรับรื้อระบบจราจรใน กทม. หลายคนที่ผ่านมาก็ไม่เคยทำได้

กทม.จำเป็นต้องจัดระเบียบการใช้รถใช้ถนนกันใหม่ โดยการเคารพกฎหมาย ตรงไหนห้ามจอดก็ต้องเข้มงวดเคร่งครัด หรือกำหนดเวลาอนุโลมในการจอดรถใหม่เฉพาะหลังเที่ยงคืนถึงไม่เกินตี 4 เป็นต้น สิ่งที่อยากเสนอคือการจัดระบบเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาเสียใหม่ เมื่อเราใช้รถพวงมาลัยขวา ก็ควรที่จะต้องห้ามเลี้ยวขวาในแทบทุกแยกของ กทม. เพราะเป็นการขวางรถที่สัญจรไปมา หากยกเลิกระบบเลี้ยวขวา โดยให้รถวิ่งตรง และเลี้ยวซ้ายเท่านั้น จะทำให้ระบบจราจรไหลลื่น อาจจะต้องอ้มหน่อยคนใช้รถก็ต้องเสียสละ แต่ทำให้ระบบการจราจรใน กทม.ไม่ติดขัดอย่างที่เป็นอยู่แน่นอน

ว่ากันว่าปัญหาส่วนใหญ่ใน กทม.เพราะมีคนอาศัยเป็นจำนวนมาก

เราอาจจะไม่คำนึงถึงกัน คือประชากรแฝง หรือคนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำมาหากินใน กทม. โดยที่ลืมไปว่า กทม.มีขีดจำกัดในการรองรับคน ส่วนใหญ่เข้ามาแล้วจะสร้างปัญหาเพิ่มภาระให้กับ กทม. เรื่องขยะ มลพิษต่างๆ เหมือนคนต่างถิ่นเข้ามาแทะทึ้ง กทม. โดยไม่มีความผูกพันธ์ หรือรักเหมือนบ้านวเอง จึงต้องให้มีการจัดระเบียบขึ้นทะเบียนผู้อาศัยให้เป็นกิจลักษณะ เราไม่ได้กีดกันใครที่จะมาทำมาหากินใน กทม. แต่ต้องมีการแจ้งย้าย ซึ่งกฎหมายก็มีกำหนดไว้แล้วในเรื่องการเปลี่ยนแปลงถิ่นที่อยู่

เรื่องการทุจริตของ กทม.ก็มีการพูดถึงกันมากพอสมควร

การตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่นก็สำคัญ ตั้งแต่ระดับเล็กๆ เราจะต้องไม่เห็นใบเสร็จ 2 เล่ม เล่มหนึ่งเข้ารัฐ เล่มหนึ่งเข้ากระเป๋าตัวเอง ระบบจัดซื้อจัดจ้างต้องเปลี่ยนรูปแบบทั้งหมด ตัดเรื่องการกำหนดสเปค ซึ่งเป็นต้นตอสำคัญของการทุจริตเบิกใช้งบประมาณของภาครัฐ สิ่งหนึ่งที่ต้องหมดไปทันทีคือ เรื่องการกำหนดสเปก ควรเป็นการเปิดเสรี กำหนดวัตถุประสงค์ที่ต้องการใช้ ส่วนใครจะเอาของดีหรือไม่ดีมาเสนอ ก็มาดูที่เรื่องคุณภาพอีกที

ปัญหาการระบายน้ำก็ถือว่าเป็นวาระแห่ง กทม.เลยทีเดียว

น้ำท่วม กทม.ป็นปัญหาเรื้อรังในแต่ละฤดูกาล ต้องรับรู้และเข้าใจระบบระบายน้ำของ กทม.ให้ถ่องแท้ จีงจะสามารถควบคุมสถานการณ์ หรือแก้ไขได้อย่างทันท่วงที แต่ปัจจุบัน กทม.ทำงานเชิงรับ มีปัญหาแล้วค่อยตามแก้ ทั้งที่ควรเตรียมพร้อมตลอดเวลา อย่างเรื่องระดับน้ำในคลองต้องกำหนดใหม่ให้เหมาะสม และต้องนำระบบอัตโนมัติเข้าไปควบคุมการเปิดปิดประตูระบายน้ำ รวมทั้งกำหนดระดับท่อระบายน้ำ และใช้บ่อพักน้ำในท่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เปลี่ยนตะแกรงของแต่ละบ่อจากเหล็กซี่แนวตั้งเป็นแนวนอน ปรับให้ใหญ่และยาวขึ้น เพื่อป้องกันการกีดขวางขยะ เพิ่มบ่อพักน้ำให้มากขึ้นเป็นเท่าตัวเพื่อหาช่องให้น้ำไป ตามหลักการ “หาที่ให้น้ำอยู่ หาทางให้น้ำไป”

เร็วเกินไปหรือไม่ เพราะยังเลือกเวลาอีกเกือบ 2 ปี อีกทั้งสถานการณ์การเมืองยังไม่นิ่ง

สิ่งที่ผมประกาศว่าสนใจที่จะลงสมัครเป็นผู้ว่าฯกทม.ถือเป็นความกล้ามากกว่าที่จะมองว่าเร็วไม่เร็ว เป็นการประกาศว่าผมไม่ได้แอบ ยินฺดีเปิดตัวให้คนรับรู้ และสะท้อนว่าผมได้เตรียมตัวไว้นานแล้ว อย่างเมื่อครั้งเลือกตั้งปี 2554 ถ้าจำกันได้ก็ข่าวว่าพรรคการเมืองใหญ่ติดต่อให้ผมลงสมัคร แต่ติดปัญหาเรื่องการย้ายสำมะโนครัวเล็กน้อย

ผู้ว่าฯกทม.มักต้องมีพรรคการเมืองใหญ่สนับสนุน

ผู้ว่าฯกทม.หรือผู้บริหารเมืองที่ใหญ่ขนาดนี้ควรต้องเป็นอิสระ ที่ผ่านมาแม้จะลงสมัครในนามอิสระกัน แต่ก็รู้กันดีว่ามีพรรคการเมืองหนุนหลัง สุดท้ายการทำงานก็คำนึงถึงแต่เรื่องคะแนนเสียง เพราะหวังผลในการเลือกตั้งครั้งต่อไป จนการทำงานขาดประสิทธิภาพ ไม่มีความเด็ดขาดในการบริหารงาน เมื่อผู้ว่าฯกทม.ต้องเป็นอิสระ ดังนั้นความเป็นตัวของตัวเองสำคัญที่สุด และประชาชนคน กทม.เองก็ควรที่จะคิดได้เสียที จากการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.จากการเลือกตั้ง 28 ปีที่ผ่านมา มีผู้ว่าฯกทม.คนไหนบ้างมีผลงานเป็นประโยชน์ให้กับ กทม.จริงๆ

การที่ผู้ว่าฯกทม.ช่วงหลังได้คะแนนเป็นล้านเสียง แบบนี้เราจะเหนื่อยไหม

ผมไม่ได้คำนึงถึงเสียงที่จะได้ เพราะเชื่อว่าหากคนได้ฟังกรอบแนวคิดและเข้าใจวิธีคิดของผม ก็ถือเป็นประโยชน์กับประชาชนคน กทม.และประเทศชาติบ้านเมืองอย่างหนึ่งแล้ว ส่วนถึงเวลานั้นจะลงสมัคร หรือจะชนะเลือกตั้งไหม ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องกังวล


กำลังโหลดความคิดเห็น