ASTVผู้จัดการรายวัน-ยุทธจักรสีกากีใก้ลระเบิด "ศรีวราห์" ฮึดสู้ ทำหนังสือร้อง "บิ๊กป้อม" มติลับ 3-2 อุทธรณ์คำสั่งศาลปกครอง เยียวยาการเสียโอกาสจากการนับทวีคูณอายุราชการ ชนแหลก "เอก-พงศพัศ" ยันเป็นคู่ขัดแย้ง เคยสอยตัวเอง เมื่อปี 55 ซัด "สมยศ" ฉวยโอกาสเล่นกลตอนประธาน ก.ตร. เดินทางไปทำภารกิจ แฉลงคะแนนครั้งแรก เสมอ 2-2 แต่ให้นับใหม่จนแพ้ไป 1 เสียง เผยศึกนี้ใหญ่หลวง มีเดิมพันด้วยเก้าอี้ ผบ.ตร.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.ศรีวาห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. ได้ทำหนังสือร้องเรียนถึง พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีมติการประชุม (ลับ) ก.ตร. ครั้งที่ 8/2558 เมื่อ 25 มิ.ย.58 เรื่องให้อุทรณ์คำสั่งศาลปกครองการเกี่ยวกับการนับวันทวีคูณอายุราชการ
คำร้องระบุว่า ทราบจาก ก.ตร.ท่านหนึ่ง ซึ่งเข้าประชุมเมื่อวันดังกล่าว ช่วงเวลา 11.00 น. ประธาน ก.ตร. ติดภารกิจ จึงออกจากที่ประชุม และได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ทำหน้าที่ประธานแทน จากนั้น ผบ.ตร. ได้เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาว่าจะอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครอง ต่อศาลปกครองสูงสุดหรือไม่ และขอให้มีมติในเรื่องนี้ ที่ประชุมพิจารณาให้มีการลงคะแนนลับ มี ก.ตร. ร่วมพิจารณา 7 ท่าน ปรากฏผลการลงคะแนนลับ ไม่อุทธรณ์ 2 ให้อุทธรณ์ 2 งดออกเสียง 3 เสียง ทำให้คะแนนเท่ากัน ประธานในที่ประชุม จึงได้กล่าวในที่ประชุมว่า "ถ้าให้ประธานลงคะแนนเสียงด้วย ก็จะถูกฟ้องคนเดียว" และได้สั่งพักการประชุม ก่อนที่ประธานจัดให้มีการลงคะแนนเสียงใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยวิธีลับ ผลที่ออกมา คือ ไม่อุทธรณ์ 2 ให้อุทธรณ์ 3 งดออกเสียง 2 เสียง
คำร้องระบุอีกว่า การดำเนินการออกเสียงลงคะแนนและมีมติดังกล่าว ขัดต่อกฎหมาย และข้อบังคับ ก.ตร. โดยกรณี พล.ต.อ.สมยศ ทำหน้าที่แทน ประธานก.ตร. ตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ม.42 วรรค 2 บัญญัติไว้ว่า ในการประชุม ถ้าประธาน ก.ตร. ไม่อยู่ให้ ก.ตร. เลือก ก.ตร. คนใดคนหนึ่งเป็นประธาน แต่ในการประชุมนี้ ไม่มีการเลือกแต่อย่างใด จึงทำให้การประชุม ก.ตร. ครั้งนี้ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากนี้ ในกรณีการประชุม ก.ตร. ดังกล่าว ลงคะแนนลับในครั้งแรก ผลคะแนนเท่ากัน ตามข้อบังคับ ก.ตร. ว่าด้วยการประชุม และการลงคะแนน พ.ศ. 2547 กำหนดให้ว่า กรณีเสียงเท่ากัน ให้ประธานออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียง เป็นเสียงชี้ขาดโดยพลัน แต่การที่ประธานในที่ประชุมได้สั่งให้พัก แล้วมีการลงคะแนนใหม่อีกครั้ง มติดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ที่สำคัญ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ และ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. ที่ร่วมลงมติด้วยนั้น ทั้งคู่เป็นคู่กรณี และมีส่วนได้เสีย เนื่องจากอยู่ร่วมประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 9/2555 เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2555 ที่ตนได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ในกรณีที่ ก.ตร. มีมติไม่ชอบด้วยกฎหมาย และศาลปกครองกลาง ได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติ ก.ตร. ดังกล่าว ดังนั้น ผู้มีส่วนได้เสียดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้กระทำการพิจารณาทางการปกครอง ตาม ม. 13(1) แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และ ข้อบังคับ ก.ตร. ว่าด้วยการประชุม และการลงมติของก.ตร.และอนุ ก.ตร. พ.ศ. 2547 มติดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ท้ายคำร้อง ย้ำว่า การประชุม ก.ตร. ดังกล่าว ได้พิจารณาว่า จะอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองกลางของตน ต่อศาลปกครองสูงสุดหรือไม่ เป็นการพิจารณาทางปกครอง การกระทำดังกล่าว จึงต้องปฏิบัติตามพ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 จึงได้มีหนังสือขอเข้าชี้แจงต่อที่ประชุม ก.ตร. เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม การประชุมดังกล่าวจึงมิชอบด้วยกฎหมาย จึงเรียนมาเพื่อขอได้โปรดสั่งการให้ยกเลิกมติในการประชุมดังกล่าว เพื่อให้ถูกต้องต่อไป
ล่าสุดมีรายงานว่า พล.อ.ประวิตร ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มีหนังสือแจ้งถึง ผบ.ตร. ระบุว่า พล.ต.ท.ศรีวราห์ ได้มีหนังสือด่วนมาก ลงวันที่ 25 มิ.ย.2558 คัดค้านการลงมติในการประชุม ก.ตร. อันขัดต่อกฎหมายและข้อบังคับ จากการประชุม ก.ตร. เมื่อ 25 มิ.ย.2558 วาระเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขแดง ที่ 1360 /2558 ให้ ผบ.ตร. ตรวจสอบ โดยพิจารณาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย แล้วเสนอความเห็นโดยด่วน ในวันที่ 29 มิ.ย.2558 แต่เนื่องจาก ผบ.ตร. เดินทางไปราชการต่างประเทศ พล.ต.อ.เอก รรท.ผบ.ตร.ได้รับหนังสือดังกล่าว และสั่งการไปยัง พล.ต.อ.ชัยยง กีรติขจร ที่ปรึกษา (สบ10) ให้หารือเรื่องนี้ร่วมกับตัวแทนสำนักงานกฎหมายและคดี และตัวแทนสำนักงาน ก.ตร.เพื่อพิจารณาตามที่มีการสั่งการ และร้องเรียน
โดยผลการหารือเบื้องต้น ได้ข้อสรุปว่า ประเด็นที่ว่า ไม่มีการเลือกพล.ต.อ.สมยศ ทำหน้าที่ประธานการประชุมแทนพล.อ.ประวิตรนั้น สามารถทำได้ เพราะมีประกาศ คสช. ฉบับที่ 88/57 การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วย ตร. เปลี่ยนแปลงโครงสร้างก.ตร.โดยกำหนดให้ ผบ.ตร. เป็นรองประธานก.ตร. ดังนั้น การทำหน้าที่ประธาน ของพล.ต.อ.สมยศ สามารถทำได้
ส่วนที่ พล.ต.ท.ศรีวราห์ โต้แย้งกรณี พล.ต.อ.เอก และพล.ต.อ.พงศพัศ ไม่มีสิทธิร่วมประชุม เพราะเป็นคู่กรณี และมีส่วนได้เสียนั้น ประเด็นนี้ชี้ว่า เป็นการร่วมพิจารณาว่าจะอุทธรณ์คำพิพากษาหรือไม่ ซึ่งเป็นการพิจารณาในฐานะ ก.ตร. ซึ่งเป็นคู่ความตามคำพิพากษาของศาลปกครอง รอง ผบ.ตร. ทั้ง 2 คน จึงมีสิทธิพิจารณา
โดยสรุปว่า การประชุม ก.ตร.ครั้งที่ผ่านมา ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นไปตามกฏข้อบังคับ
ทั้งนี้ ตร.ได้ทำหนังสือถึงพล.อ.ประวิตร เพื่อขอขยายเวลาการชี้แจง เพื่อให้การพิจารณาเป็นไปอย่างรอบคอบ และรอให้ พล.ต.อ.สมยศ กลับจากไปราชการได้ร่วมพิจารณาอีกครั้ง
มีรายงานด้วยว่า ศึกเยียวยาทวีคูณอายุราชการ น.1 ที่มีการลงมติลับ 3-2 มาจนถึงการแฉแหลกของ พล.ต.ท.ศรีวราห์ ครั้งนี้ ทำให้บรรยากาศภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกิดความตึงเครียดขึ้นมาทันที โดยเฉพาะ พล.ต.อ.สมยศ ที่เคยเฮฮากับกลุ่มผู้สื่อข่าว กลับเงียบขรึม แม้แต่คดีมือปืนยิง นายสมยศ สุธางค์กูร อดีตเจ้าพ่อพระราม 9 คาเฟ่ ผบ.ตร.ยังสงวนท่าทีต่างกับทุกๆ ครั้ง
ทั้งนี้ เชื่อกันว่านอกจาก พล.ต.อ.สมยศ จะไม่สบายใจแล้ว ยังมีนายตำรวจระดับ รอง ผบ.ตร. อีกหลายนายพลอยรู้สึกอึดอัดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอาจมีเดิมพันกันด้วยเก้าอี้ และศักดิ์ศรีของ พล.ต.อ.สมยศ ในฐานะผู้นำสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเลยก็ว่าได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.ศรีวาห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. ได้ทำหนังสือร้องเรียนถึง พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีมติการประชุม (ลับ) ก.ตร. ครั้งที่ 8/2558 เมื่อ 25 มิ.ย.58 เรื่องให้อุทรณ์คำสั่งศาลปกครองการเกี่ยวกับการนับวันทวีคูณอายุราชการ
คำร้องระบุว่า ทราบจาก ก.ตร.ท่านหนึ่ง ซึ่งเข้าประชุมเมื่อวันดังกล่าว ช่วงเวลา 11.00 น. ประธาน ก.ตร. ติดภารกิจ จึงออกจากที่ประชุม และได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ทำหน้าที่ประธานแทน จากนั้น ผบ.ตร. ได้เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาว่าจะอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครอง ต่อศาลปกครองสูงสุดหรือไม่ และขอให้มีมติในเรื่องนี้ ที่ประชุมพิจารณาให้มีการลงคะแนนลับ มี ก.ตร. ร่วมพิจารณา 7 ท่าน ปรากฏผลการลงคะแนนลับ ไม่อุทธรณ์ 2 ให้อุทธรณ์ 2 งดออกเสียง 3 เสียง ทำให้คะแนนเท่ากัน ประธานในที่ประชุม จึงได้กล่าวในที่ประชุมว่า "ถ้าให้ประธานลงคะแนนเสียงด้วย ก็จะถูกฟ้องคนเดียว" และได้สั่งพักการประชุม ก่อนที่ประธานจัดให้มีการลงคะแนนเสียงใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยวิธีลับ ผลที่ออกมา คือ ไม่อุทธรณ์ 2 ให้อุทธรณ์ 3 งดออกเสียง 2 เสียง
คำร้องระบุอีกว่า การดำเนินการออกเสียงลงคะแนนและมีมติดังกล่าว ขัดต่อกฎหมาย และข้อบังคับ ก.ตร. โดยกรณี พล.ต.อ.สมยศ ทำหน้าที่แทน ประธานก.ตร. ตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ม.42 วรรค 2 บัญญัติไว้ว่า ในการประชุม ถ้าประธาน ก.ตร. ไม่อยู่ให้ ก.ตร. เลือก ก.ตร. คนใดคนหนึ่งเป็นประธาน แต่ในการประชุมนี้ ไม่มีการเลือกแต่อย่างใด จึงทำให้การประชุม ก.ตร. ครั้งนี้ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากนี้ ในกรณีการประชุม ก.ตร. ดังกล่าว ลงคะแนนลับในครั้งแรก ผลคะแนนเท่ากัน ตามข้อบังคับ ก.ตร. ว่าด้วยการประชุม และการลงคะแนน พ.ศ. 2547 กำหนดให้ว่า กรณีเสียงเท่ากัน ให้ประธานออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียง เป็นเสียงชี้ขาดโดยพลัน แต่การที่ประธานในที่ประชุมได้สั่งให้พัก แล้วมีการลงคะแนนใหม่อีกครั้ง มติดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ที่สำคัญ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ และ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. ที่ร่วมลงมติด้วยนั้น ทั้งคู่เป็นคู่กรณี และมีส่วนได้เสีย เนื่องจากอยู่ร่วมประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 9/2555 เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2555 ที่ตนได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ในกรณีที่ ก.ตร. มีมติไม่ชอบด้วยกฎหมาย และศาลปกครองกลาง ได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติ ก.ตร. ดังกล่าว ดังนั้น ผู้มีส่วนได้เสียดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้กระทำการพิจารณาทางการปกครอง ตาม ม. 13(1) แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และ ข้อบังคับ ก.ตร. ว่าด้วยการประชุม และการลงมติของก.ตร.และอนุ ก.ตร. พ.ศ. 2547 มติดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ท้ายคำร้อง ย้ำว่า การประชุม ก.ตร. ดังกล่าว ได้พิจารณาว่า จะอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองกลางของตน ต่อศาลปกครองสูงสุดหรือไม่ เป็นการพิจารณาทางปกครอง การกระทำดังกล่าว จึงต้องปฏิบัติตามพ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 จึงได้มีหนังสือขอเข้าชี้แจงต่อที่ประชุม ก.ตร. เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม การประชุมดังกล่าวจึงมิชอบด้วยกฎหมาย จึงเรียนมาเพื่อขอได้โปรดสั่งการให้ยกเลิกมติในการประชุมดังกล่าว เพื่อให้ถูกต้องต่อไป
ล่าสุดมีรายงานว่า พล.อ.ประวิตร ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มีหนังสือแจ้งถึง ผบ.ตร. ระบุว่า พล.ต.ท.ศรีวราห์ ได้มีหนังสือด่วนมาก ลงวันที่ 25 มิ.ย.2558 คัดค้านการลงมติในการประชุม ก.ตร. อันขัดต่อกฎหมายและข้อบังคับ จากการประชุม ก.ตร. เมื่อ 25 มิ.ย.2558 วาระเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขแดง ที่ 1360 /2558 ให้ ผบ.ตร. ตรวจสอบ โดยพิจารณาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย แล้วเสนอความเห็นโดยด่วน ในวันที่ 29 มิ.ย.2558 แต่เนื่องจาก ผบ.ตร. เดินทางไปราชการต่างประเทศ พล.ต.อ.เอก รรท.ผบ.ตร.ได้รับหนังสือดังกล่าว และสั่งการไปยัง พล.ต.อ.ชัยยง กีรติขจร ที่ปรึกษา (สบ10) ให้หารือเรื่องนี้ร่วมกับตัวแทนสำนักงานกฎหมายและคดี และตัวแทนสำนักงาน ก.ตร.เพื่อพิจารณาตามที่มีการสั่งการ และร้องเรียน
โดยผลการหารือเบื้องต้น ได้ข้อสรุปว่า ประเด็นที่ว่า ไม่มีการเลือกพล.ต.อ.สมยศ ทำหน้าที่ประธานการประชุมแทนพล.อ.ประวิตรนั้น สามารถทำได้ เพราะมีประกาศ คสช. ฉบับที่ 88/57 การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วย ตร. เปลี่ยนแปลงโครงสร้างก.ตร.โดยกำหนดให้ ผบ.ตร. เป็นรองประธานก.ตร. ดังนั้น การทำหน้าที่ประธาน ของพล.ต.อ.สมยศ สามารถทำได้
ส่วนที่ พล.ต.ท.ศรีวราห์ โต้แย้งกรณี พล.ต.อ.เอก และพล.ต.อ.พงศพัศ ไม่มีสิทธิร่วมประชุม เพราะเป็นคู่กรณี และมีส่วนได้เสียนั้น ประเด็นนี้ชี้ว่า เป็นการร่วมพิจารณาว่าจะอุทธรณ์คำพิพากษาหรือไม่ ซึ่งเป็นการพิจารณาในฐานะ ก.ตร. ซึ่งเป็นคู่ความตามคำพิพากษาของศาลปกครอง รอง ผบ.ตร. ทั้ง 2 คน จึงมีสิทธิพิจารณา
โดยสรุปว่า การประชุม ก.ตร.ครั้งที่ผ่านมา ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นไปตามกฏข้อบังคับ
ทั้งนี้ ตร.ได้ทำหนังสือถึงพล.อ.ประวิตร เพื่อขอขยายเวลาการชี้แจง เพื่อให้การพิจารณาเป็นไปอย่างรอบคอบ และรอให้ พล.ต.อ.สมยศ กลับจากไปราชการได้ร่วมพิจารณาอีกครั้ง
มีรายงานด้วยว่า ศึกเยียวยาทวีคูณอายุราชการ น.1 ที่มีการลงมติลับ 3-2 มาจนถึงการแฉแหลกของ พล.ต.ท.ศรีวราห์ ครั้งนี้ ทำให้บรรยากาศภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกิดความตึงเครียดขึ้นมาทันที โดยเฉพาะ พล.ต.อ.สมยศ ที่เคยเฮฮากับกลุ่มผู้สื่อข่าว กลับเงียบขรึม แม้แต่คดีมือปืนยิง นายสมยศ สุธางค์กูร อดีตเจ้าพ่อพระราม 9 คาเฟ่ ผบ.ตร.ยังสงวนท่าทีต่างกับทุกๆ ครั้ง
ทั้งนี้ เชื่อกันว่านอกจาก พล.ต.อ.สมยศ จะไม่สบายใจแล้ว ยังมีนายตำรวจระดับ รอง ผบ.ตร. อีกหลายนายพลอยรู้สึกอึดอัดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอาจมีเดิมพันกันด้วยเก้าอี้ และศักดิ์ศรีของ พล.ต.อ.สมยศ ในฐานะผู้นำสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเลยก็ว่าได้