ASTVผู้จัดการรายวัน-ตร.ปอท.ร่วมทหาร ทำการจับกุมสาวเสื้อแดง เจ้าของเฟซบุ๊ก "Chanisa B..." กุข่าวปฏิวัติซ้อน เผยพบหมิ่นเบื้องสูงเผยแพร่ทางโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กด้วย ตั้งข้อหาผิด ม.112 พบเป็นเครือข่าย "เอนก ซานฟราน" ที่ถูกออกหมายจับไปก่อนหน้านี้ ระบุหลังนำตัวมาแถลงข่าว เจ้าตัวยอมรับสารภาพ ก่อนเป็นลมล้มฟุบ ด้าน "ไพบูลย์" ปฏิเสธข่าวบินไปนิวซีแลนด์ ประสานขอตัว "ตั้ง อาชีวะ" ย้ำได้ขอให้บัวแก้วทำหน้าที่แจงต่างชาติแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (24 มิ.ย.) ที่สำนักงานตำรววจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร. และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) พล.ต.ต.ศิริพงษ์ ติมุลา ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) พ.ต.อ.ยศวีร์ พรพีรพาน ผกก.1 บก.ปอท. พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา สว. บก.ปอท.และเจ้าหน้าที่ทหาร ร่วมกันแถลงข่าวกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอท. เจ้าหน้าที่ทหาร และหน่วยความมั่นคง ร่วมกันจับกุม น.ส.ชญาภา โชคพรบุศศรี อายุ 49 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพ ที่ 2/2558 ลงวันที่ 22 มิ.ย.2558 พร้อมของกลางอุปกรณ์โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต กล้องถ่ายวิดีโอ โทรศัพท์มือถือ โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่บ้านเลขที่ 8/32 หมู่ 3 ต.บางเมือง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า จากกรณีมีผู้โพสต์ข่าวลือว่าจะมีการปฏิวัติซ้อนเผยแพร่ตามสื่อออนไลน์ จนสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.จึงได้สั่งการให้ บก.ปอท.เร่งหาต้นตอและสืบสวนหาตัวผู้ที่กระทำผิด โดยได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหารที่ทำงานด้านการข่าวสืบสวนสอบสวนจนทราบตัวผู้กระทำผิด คือ น.ส.ชญาภา ซึ่งเป็นผู้ที่โพสต์ข้อความเป็นคนแรกทางโซเชียลมีเดีย จึงได้ใช้อำนาจ คสช. เข้าควบคุมตัวในเบื้องต้น โดยเจ้าหน้าที่ทหารได้นำตัวผู้ต้องหามาส่งให้กับตำรวจเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันได้ขอนุมัติศาลทหารกรุงเทพออกหมายจับ น.ส.ชญาภา ด้วย
ทั้งนี้ อยากฝากเตือนไปยังประชาชนให้ใช้วิจารณญาณ หากรับข้อความใดๆ ที่มีลักษณะหมิ่นเหม่ที่เข้าข่ายเป็นข้อความเท็จสร้างความเสียหายต่อผู้อื่น หรือสร้างความตระหนกตกใจ หรือกระทบต่อความมั่นคง หรือมีลักษณะลามกอนาจาร ก็ไม่ควรที่จะโพสต์ หรือแชร์ต่อไป เพราะจะมีความผิดไปด้วย
"อย่างกรณีนี้ น.ส.ชญาภา อ้างว่ารับข้อความมาจากที่อื่นแล้วนำมาส่งต่อ ซึ่งก็ต้องตรวจสอบว่ามีการนำข้อความมาจากที่อื่นแล้วนำมาตัดต่อ หรือใส่รูปและข้อความเพิ่มเติมหรือไม่ อยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลจากคอมพิวเตอร์ที่ยึดมาตรวจสอบ"
ด้าน พล.ต.ต.ศิริพงษ์ กล่าวว่า จากการสืบสวนทางเทคนิค พบว่าผู้ที่โพสต์ข้อความดังกล่าวคนแรกทางโซเชียลมีเดีย คือ ผู้ใช้เฟซบุ๊ค ใช้ชื่อว่า "Chanisa B..." จากการตรวจสอบติดตามร่องรอยทราบว่าโพสต์มาจากบ้านเลขที่ 8/32 หมู่ 3 ต.บางเมือง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นบ้านพักของ น.ส.ชญาภา จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่ทหารจากกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์เข้าทำการตรวจค้นบ้านพักของ น.ส.ชญาภา พร้อมยึดของกลาง คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ รวม 7 รายการ และควบคุมตัว น.ส.ชญาภา มาทำการสอบปากคำ
ขณะเดียวกันพบว่านอกจากการโพสต์ข้อความปล่อยข่าวลือเรื่องปฏิวัติซ้อนแล้ว ยังพบหลักฐานว่า น.ส.ชญาภา มีการโพสต์ข้อความที่พาดพิงสถาบันฯ ตำรวจจึงได้ขออนุมัติหมายจับจากศาลทหารกรุงเทพ ในข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และข้อหานำเข้าข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการน่าจะทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นและประชาชน หรือเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) และ (2)
ทั้งนี้ ในชั้นการสอบสวน น.ส.ชญาภา ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยยอมรับว่าเป็นผู้นำภาพการเคลื่อนย้ายรถถังที่เผยแพร่ในกลุ่มไลน์คนเสื้อแดง ซึ่งตนเป็นสมาชิกอยู่ มาอัพโหลดขึ้นเฟซบุ๊คของตน แล้วตบแต่งข้อความว่าจะมีปฏิวัติซ้อน
น.ส.ชญาภา กล่าวว่า ตนขอให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา หากย้อนกลับไปได้จะไม่ทำความผิด อยากฝากเตือนไปถึงผู้ที่คิดจะทำ หรือผู้ที่รับข้อความมา อยากให้คิดให้รอบคอบก่อนที่จะส่งต่อ ไม่อยากให้ทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือมองว่าเป็นเรื่องสนุก
พล.ต.ต.ศิริพงษ์ อธิบายแผนผังที่นำมาประกอบการแถลงข่าวว่า ตามผังที่แสดงให้สื่อมวลชน ผู้ต้องหารายนี้มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นอีกหลายคน จากแผนผังได้แบ่งผู้กระทำผิดออกเป็น 3 ระดับได้แก่ ผู้บงการ หรือผู้ผลิตความคิด ระดับปฏิบัติการ คือ น.ส.ชญาภา และระดับล่างสุดผู้เสพความคิด เป็นแนวร่วม อาจมีการแชร์หรือส่งต่อ อย่างคดีเครือข่ายบรรพตก็มีลักษณะโครงสร้างแบบเดียวกัน
โดยจากการตรวจสอบข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ที่ตรวจยึดได้ทราบว่า น.ส.ชญาภา ได้มีการติดต่อกับนายแจ็ค ซึ่งขณะนี้อยู่ในประเทศออสเตรเลีย โดยจากข้อมูลของตำรวจนายแจ็ค เป็นขบวนการเดียวกับ นายเมูญ หรือ เอนก ชัยชนะ หรือ "เอนก ซานฟราน" ซึ่งทุกคนที่กล่าวมาถูก ปอท.ออกหมายจับแล้วทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศ โดยที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้นิ่งนอนใจได้มีการประสานทุกช่องทางที่จะนำตัวผู้ต้องหาเหล่านี้กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย เพราะผู้ต้องหาเหล่านี้มีบทบาทสำคัญ เป็นผู้ผลิตความคิดมีอิทธิพลทางความคิดต่อเรือข่าย และแนวร่วม
ผู้สื่อข่าวถามถึงมูลเหตุจูงใจในการกระทำผิด รวมถึงมีการได้ค่าตอบแทนด้วยหรือไม่ พล.ต.ต.ศิริพงษ์ กล่าวว่า น.ส.ชญาภา ยังไม่ได้ให้ข้อมูลในส่วนนี้ คงต้องมีการสอบสวนต่อไป อย่างไรก็ตามแม้ตัวเขาจะไม่พูดแต่หลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์สามารถจะบอกได้
เมื่อถามว่าการกระทำผิดของผู้ต้องหารายนี้เชื่อมโยงกับกลุ่มการเมืองเก่าหรือไม่ พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า จากข้อมูลและหลักฐานที่มีอยู่ ไม่พบว่ามีความเชื่องโยงถึงกลุ่มการเมือง เป็นเพียงผู้ที่มีความเห็นต่างเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังการแถลงข่าว น.ส.ชญาภา ซึ่งก่อนหน้านั้นเจ้าตัวมีทีท่าทีอิดโรย ถึงกับเป็นลม ไม่สามารถลุกเดินเองได้ เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานรถพยาบาลจาก รพ.ตำรวจมารับตัวไปรักษาต่อไป
วันเดียวกันนี้ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ได้ออกมาปฏิเสธถึงกรณีที่มีข่าวว่าได้เดินทางไปประเทศนิวซีแลนด์ เพื่อประสานนำตัว นายเอกภพ เหลือรา หรือ ตั้ง อาชีวะ กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย ว่า ไม่เป็นความจริง ซึ่งตนเห็นข่าวแล้ว แต่ไม่อยากขยายความ หรือออกมาปฏิเสธกับสื่อ เพราะไม่อยากให้เรื่องบานปลาย แต่ได้ให้ข้อมูลไปยังกระทรวงการต่างประเทศหมดแล้ว ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของกระทรวงฯ ในการไปชี้แจงกับต่างประเทศ ถึงกรณีบุคคลที่มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตามที่ทางการไทยได้แจ้งไป
ส่วนแนวทางถอนพาสปอร์ตผู้ทำความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้น ตามกฎหมายสามารถทำได้ แต่ผู้ที่หลบหนีไปต่างประเทศ ล้วนถือหนังสือเดินทางของประเทศนั้น จึงไม่มีผลกระทบ อีกทั้งคนเหล่านี้ไปในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง เราจึงไม่สามารถละเมิดกฎหมายต่างประเทศได้ แต่ก็อยากให้ต่างประเทศ เคารพความรู้สึกของคนไทย มันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ซึ่งบางครั้งสูงกว่ากฎหมายด้วยซ้ำไป
ด้านนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม สั่งการในที่ประชุม ครม. ให้นายพรชัย รุจิประภา รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ไปร่วมทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้โซเซียลมีเดีย เพิ่มความเข้มข้นในการป้องกันการใช้โซเชียลมีเดียไปสร้างความขัดแย้ง แตกแยก และการทำให้เกิดความเข้าใจผิด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (24 มิ.ย.) ที่สำนักงานตำรววจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร. และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) พล.ต.ต.ศิริพงษ์ ติมุลา ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) พ.ต.อ.ยศวีร์ พรพีรพาน ผกก.1 บก.ปอท. พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา สว. บก.ปอท.และเจ้าหน้าที่ทหาร ร่วมกันแถลงข่าวกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอท. เจ้าหน้าที่ทหาร และหน่วยความมั่นคง ร่วมกันจับกุม น.ส.ชญาภา โชคพรบุศศรี อายุ 49 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพ ที่ 2/2558 ลงวันที่ 22 มิ.ย.2558 พร้อมของกลางอุปกรณ์โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต กล้องถ่ายวิดีโอ โทรศัพท์มือถือ โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่บ้านเลขที่ 8/32 หมู่ 3 ต.บางเมือง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า จากกรณีมีผู้โพสต์ข่าวลือว่าจะมีการปฏิวัติซ้อนเผยแพร่ตามสื่อออนไลน์ จนสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.จึงได้สั่งการให้ บก.ปอท.เร่งหาต้นตอและสืบสวนหาตัวผู้ที่กระทำผิด โดยได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหารที่ทำงานด้านการข่าวสืบสวนสอบสวนจนทราบตัวผู้กระทำผิด คือ น.ส.ชญาภา ซึ่งเป็นผู้ที่โพสต์ข้อความเป็นคนแรกทางโซเชียลมีเดีย จึงได้ใช้อำนาจ คสช. เข้าควบคุมตัวในเบื้องต้น โดยเจ้าหน้าที่ทหารได้นำตัวผู้ต้องหามาส่งให้กับตำรวจเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันได้ขอนุมัติศาลทหารกรุงเทพออกหมายจับ น.ส.ชญาภา ด้วย
ทั้งนี้ อยากฝากเตือนไปยังประชาชนให้ใช้วิจารณญาณ หากรับข้อความใดๆ ที่มีลักษณะหมิ่นเหม่ที่เข้าข่ายเป็นข้อความเท็จสร้างความเสียหายต่อผู้อื่น หรือสร้างความตระหนกตกใจ หรือกระทบต่อความมั่นคง หรือมีลักษณะลามกอนาจาร ก็ไม่ควรที่จะโพสต์ หรือแชร์ต่อไป เพราะจะมีความผิดไปด้วย
"อย่างกรณีนี้ น.ส.ชญาภา อ้างว่ารับข้อความมาจากที่อื่นแล้วนำมาส่งต่อ ซึ่งก็ต้องตรวจสอบว่ามีการนำข้อความมาจากที่อื่นแล้วนำมาตัดต่อ หรือใส่รูปและข้อความเพิ่มเติมหรือไม่ อยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลจากคอมพิวเตอร์ที่ยึดมาตรวจสอบ"
ด้าน พล.ต.ต.ศิริพงษ์ กล่าวว่า จากการสืบสวนทางเทคนิค พบว่าผู้ที่โพสต์ข้อความดังกล่าวคนแรกทางโซเชียลมีเดีย คือ ผู้ใช้เฟซบุ๊ค ใช้ชื่อว่า "Chanisa B..." จากการตรวจสอบติดตามร่องรอยทราบว่าโพสต์มาจากบ้านเลขที่ 8/32 หมู่ 3 ต.บางเมือง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นบ้านพักของ น.ส.ชญาภา จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่ทหารจากกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์เข้าทำการตรวจค้นบ้านพักของ น.ส.ชญาภา พร้อมยึดของกลาง คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ รวม 7 รายการ และควบคุมตัว น.ส.ชญาภา มาทำการสอบปากคำ
ขณะเดียวกันพบว่านอกจากการโพสต์ข้อความปล่อยข่าวลือเรื่องปฏิวัติซ้อนแล้ว ยังพบหลักฐานว่า น.ส.ชญาภา มีการโพสต์ข้อความที่พาดพิงสถาบันฯ ตำรวจจึงได้ขออนุมัติหมายจับจากศาลทหารกรุงเทพ ในข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และข้อหานำเข้าข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการน่าจะทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นและประชาชน หรือเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) และ (2)
ทั้งนี้ ในชั้นการสอบสวน น.ส.ชญาภา ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยยอมรับว่าเป็นผู้นำภาพการเคลื่อนย้ายรถถังที่เผยแพร่ในกลุ่มไลน์คนเสื้อแดง ซึ่งตนเป็นสมาชิกอยู่ มาอัพโหลดขึ้นเฟซบุ๊คของตน แล้วตบแต่งข้อความว่าจะมีปฏิวัติซ้อน
น.ส.ชญาภา กล่าวว่า ตนขอให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา หากย้อนกลับไปได้จะไม่ทำความผิด อยากฝากเตือนไปถึงผู้ที่คิดจะทำ หรือผู้ที่รับข้อความมา อยากให้คิดให้รอบคอบก่อนที่จะส่งต่อ ไม่อยากให้ทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือมองว่าเป็นเรื่องสนุก
พล.ต.ต.ศิริพงษ์ อธิบายแผนผังที่นำมาประกอบการแถลงข่าวว่า ตามผังที่แสดงให้สื่อมวลชน ผู้ต้องหารายนี้มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นอีกหลายคน จากแผนผังได้แบ่งผู้กระทำผิดออกเป็น 3 ระดับได้แก่ ผู้บงการ หรือผู้ผลิตความคิด ระดับปฏิบัติการ คือ น.ส.ชญาภา และระดับล่างสุดผู้เสพความคิด เป็นแนวร่วม อาจมีการแชร์หรือส่งต่อ อย่างคดีเครือข่ายบรรพตก็มีลักษณะโครงสร้างแบบเดียวกัน
โดยจากการตรวจสอบข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ที่ตรวจยึดได้ทราบว่า น.ส.ชญาภา ได้มีการติดต่อกับนายแจ็ค ซึ่งขณะนี้อยู่ในประเทศออสเตรเลีย โดยจากข้อมูลของตำรวจนายแจ็ค เป็นขบวนการเดียวกับ นายเมูญ หรือ เอนก ชัยชนะ หรือ "เอนก ซานฟราน" ซึ่งทุกคนที่กล่าวมาถูก ปอท.ออกหมายจับแล้วทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศ โดยที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้นิ่งนอนใจได้มีการประสานทุกช่องทางที่จะนำตัวผู้ต้องหาเหล่านี้กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย เพราะผู้ต้องหาเหล่านี้มีบทบาทสำคัญ เป็นผู้ผลิตความคิดมีอิทธิพลทางความคิดต่อเรือข่าย และแนวร่วม
ผู้สื่อข่าวถามถึงมูลเหตุจูงใจในการกระทำผิด รวมถึงมีการได้ค่าตอบแทนด้วยหรือไม่ พล.ต.ต.ศิริพงษ์ กล่าวว่า น.ส.ชญาภา ยังไม่ได้ให้ข้อมูลในส่วนนี้ คงต้องมีการสอบสวนต่อไป อย่างไรก็ตามแม้ตัวเขาจะไม่พูดแต่หลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์สามารถจะบอกได้
เมื่อถามว่าการกระทำผิดของผู้ต้องหารายนี้เชื่อมโยงกับกลุ่มการเมืองเก่าหรือไม่ พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า จากข้อมูลและหลักฐานที่มีอยู่ ไม่พบว่ามีความเชื่องโยงถึงกลุ่มการเมือง เป็นเพียงผู้ที่มีความเห็นต่างเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังการแถลงข่าว น.ส.ชญาภา ซึ่งก่อนหน้านั้นเจ้าตัวมีทีท่าทีอิดโรย ถึงกับเป็นลม ไม่สามารถลุกเดินเองได้ เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานรถพยาบาลจาก รพ.ตำรวจมารับตัวไปรักษาต่อไป
วันเดียวกันนี้ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ได้ออกมาปฏิเสธถึงกรณีที่มีข่าวว่าได้เดินทางไปประเทศนิวซีแลนด์ เพื่อประสานนำตัว นายเอกภพ เหลือรา หรือ ตั้ง อาชีวะ กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย ว่า ไม่เป็นความจริง ซึ่งตนเห็นข่าวแล้ว แต่ไม่อยากขยายความ หรือออกมาปฏิเสธกับสื่อ เพราะไม่อยากให้เรื่องบานปลาย แต่ได้ให้ข้อมูลไปยังกระทรวงการต่างประเทศหมดแล้ว ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของกระทรวงฯ ในการไปชี้แจงกับต่างประเทศ ถึงกรณีบุคคลที่มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตามที่ทางการไทยได้แจ้งไป
ส่วนแนวทางถอนพาสปอร์ตผู้ทำความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้น ตามกฎหมายสามารถทำได้ แต่ผู้ที่หลบหนีไปต่างประเทศ ล้วนถือหนังสือเดินทางของประเทศนั้น จึงไม่มีผลกระทบ อีกทั้งคนเหล่านี้ไปในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง เราจึงไม่สามารถละเมิดกฎหมายต่างประเทศได้ แต่ก็อยากให้ต่างประเทศ เคารพความรู้สึกของคนไทย มันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ซึ่งบางครั้งสูงกว่ากฎหมายด้วยซ้ำไป
ด้านนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม สั่งการในที่ประชุม ครม. ให้นายพรชัย รุจิประภา รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ไปร่วมทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้โซเซียลมีเดีย เพิ่มความเข้มข้นในการป้องกันการใช้โซเชียลมีเดียไปสร้างความขัดแย้ง แตกแยก และการทำให้เกิดความเข้าใจผิด