ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ข้ามเดือนสู่สัปดาห์ที่ 6 แล้วสำหรับข่าวครึกโครมและถูกโหมกระพือจนร่ำ ลือเป็นที่สนใจไปทั่วโลก จากเรื่องราวที่เป็นที่สนใจของคนเพียงกลุ่มเล็กๆ กรณีชาวโรฮีนจาที่อาศัยอยู่ใน จ.นครศรีธรรมราช ไปแจ้งความไว้กับ สภ.หัวไทรเมื่อวันที่ 29 เม.ย.ว่าหลานชาย 2 คนถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ จนนำไปสู่การจับกุมนายหน้าชาวโรฮีนจาด้วยกัน และพบว่ามีการนำไปกักขังไว้ที่ค่ายกักกันบนเขาไม้แก้ว บ้านตะโล๊ะ ม.8 ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อเขตแดนกับประเทศมาเลเซีย
จากนั้นวันที่นับตั้งแต่ย่างเข้าสู่เดือน พ.ค.เป็นต้นมา เรื่องนี้ก็กลายเป็นข่าวใหญ่และลุกลามรวดเร็วจนถึงวันนี้ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเห็นจุดจบ ประเด็นสำคัญน่าจะเป็นเพราะแรงกดดันจากชาติมหาอำนาจตะวันตก ซึ่งได้ประกาศขึ้นบัญชีดำสินค้าอุตสาหกรรมประมงส่งออกของไทย และจ่อจะมีการนำไปสู่การกีดกันครั้งใหญ่ อันเนื่องจากไทยถูกกล่าวหาว่าพัวพันขบวนการค้าแรงงานข้ามชาติ ส่งผลให้รัฐบาล พล.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่งให้จัดการแก้ทุกปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ชนิดต้องล้างบางอย่างเฉียบขาด
จาก 1 พ.ค.เป็นต้นมาที่มีการสนธิกำลังทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่กู้ภัยยกทัพขึ้นไปตรวจค้นค่ายกักกันบนเขาไม้แก้ว นอกจากจะพบเพิ่งพักพิงชั่วคราวจำนวนมากมายแล้ว ยังพบศพชาวโรฮีนจาที่เพิ่งเสียชีวิต แต่ที่สร้างความตกตะลึงพรึงเพริดก็คือ การตรวจพบหลุมฝั่งศพจำนวนมากมาย ซึ่งได้มีการขุดขึ้นมาทำการพิสูจน์แล้ว 36 ศพ จึงนำไปสู่การล้างบางขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติครั้งใหญ่แบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และลุกลามไปยังหลายจังหวัดของภาคใต้ ไม่เพียงเท่านั้นยังข้ามไปฝั่งมาเลเซียที่ในเวลานี้มีการตรวจพบหลุมฝั่งศพในลักษณะเดียวกันแล้วกว่า 100 หลุม
นับเนื่องถึงวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา ในทางการดำเนินคดีของตำรวจได้ขอให้ศาลออกหมายจับไปแล้ว 84 คน ในจำนวนนี้มีผู้ถูกติดตามจับกุมและเข้ามอบตัวแล้วถึง 52 คน ส่วนที่เหลืออีก 32 คนยังคงหลบหนีอยู่ ซึ่งมีการสาวไปถึงหลากขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติในหลายจังหวัด โดยเฉพาะแก๊งใหญ่ๆ ที่มีหัวหน้าที่ถูกเรียกขานด้วยคำนำหน้าชื่อแบบชาวฝั่งทะเลอันดามันว่า “โก” ได้ถูกทลายลงไปแล้วหลายแก๊ง ไม่ว่าจะเป็นแก๊งของ “โกหนุ่ย” “โกหย่ง” และ “โกมิก” ที่ จ.ระนอง หรือแก๊งของ “โกโต้ง” ที่ จ.สตูล เป็นต้น
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในบรรดาผู้ที่ถูกออกหมายจับไปแล้ว 84 คนดังกล่าว นอกจาก “ฝ่ายทหาร” รายล่าสุดที่เพิ่งเข้ามอบตัวและตกเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง เนื่องจากเป็นถึงระดับ “นายพล” ของกองทัพไทยแล้ว ในส่วนที่เป็นข่าวเกรียวกราวต่อเนื่องมาก่อนก็เป็น “ฝ่ายตำรวจ” แม้จะมีจำนวนมาก แต่ที่มียศสูงสุดก็เพียงระดับ “นายพัน” เท่านั้น ขณะที่ “นักการเมืองท้องถิ่น” โดยเฉพาะเครือข่ายของพรรคการเมืองใหญ่ก็ติดกราวรูดไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นระดับ “อดีตนายกฯ” “นายกฯ” “รองนายกฯ” รวมทั้งบรรดา “สมาชิกสภา” ทั้งในระดับ อบจ. เทศบาล และ อบต.
แต่กับ “ฝ่ายปกครอง” ไม่ต้องขึ้นไปให้ถึงระดับบิ๊กๆ อย่าง “ผู้ว่าฯ” “นายอำเภอ” หรือ “ปลัด” ก็ตาม ณ เวลานี้ยังดูเหมือนทุกคนบริสุทธิ์ผุดผ่องขาวสะอาดปราศจากรอยเปื้อนใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ในพื้นที่ที่ต้องกำกับดูแล
สำหรับนายพลทหารที่ถูกออกหมายจับและเพิ่งเข้ามอบคนนั้นคือ “พล.ท.มนัส คงแป้น” ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก
พล.ท.มนัสได้ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดนาทวี ที่ 258/2558 ลงวันที่ 31 พ.ค.2558 ในคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา ซึ่งได้เดินทางพร้อมด้วยนายทหารพระธรรมนูญเข้ามอบตัวกับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร.และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 3 มิ.ย. ก่อนถูกพาตัวไปยังศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 9 ส่วนหน้า สภ.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในช่วงบ่ายเพื่อเข้าสู่กระบวนการสอบสวนและดำเนินคดี
โดยขณะที่ พล.ท.มนัสเข้ามอบตัวกับ ผบ.ตร.ที่กรุงเทพฯ นั้น ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาให้รับทราบรวม 3 ข้อหาที่ถูกออกหมายจับคือ สมคบและร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปกระทำการอันเป็นการค้ามนุษย์ โดยกระทำการอันเป็นการค้ามนุษย์โดยกระทำต่อบุคคลอายุไม่เกิน 15 ปี ร่วมกันช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักโดยผิดกฎหมาย และร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น โดยทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และร่วมกันเรียกค่าไถ่
แต่เมื่อถูกส่งตัวไปลงไปยังศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 9 ส่วนหน้า สภ.หาดใหญ่ ได้มีการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมรวมเป็น 13 ข้อหา เช่นเดียวกับกลุ่มผู้ต้องหาคนอื่นๆ ที่ถูกควบคุมตัวไปก่อนหน้านี้ทั้ง 51 คน โดยในส่วนที่เป็นข้อหาเพิ่มเติม อาทิ อาชญากรข้ามชาติ ทำร้ายร่างกาย ช่วยซ้อนเร้นศพ เป็นต้น ซึ่ง พล.ท.มนัสได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา อย่างไรก็ตามพนักงานสอบสวนได้นำตัวไปฝากขังศาลจังหวัดนาทวีผลัดแรกในเมื่อวันนี้ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา และได้คัดค้านการประกันตัวเหมือนผู้ต้องหาคนอื่นๆ ด้วย
กล่าวสำหรับ “พล.ท.มนัส คงแป้น” หรือ “พี่แป้น” ของน้องๆ ในกองทัพ หลายช่วงชีวิตที่สวมเครื่องแบบทหารประจำการอยู่ในภาคใต้มากไปด้วยเรื่องราวน่าตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย จนเป็นที่รับรู้และกล่าวขานกันว่าเป็น “บิ๊กทหารสายฮาร์ดคอร์” ระดับนำคนหนึ่งของกองทัพบก
ไม่น่าเชื่อว่าในวันที่อายุครบ 58 ปีเต็มพอดิบพอดีในวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา แทนที่จะได้ฉลองวันเกิดกับครอบครัวและญาติสนิทมิตรสหาย รวมถึงรับสิ่งของและคำอวยพรจากบรรดาน้องๆ ในกองทัพ กลับกลายเป็นว่าต้องรับรู้เรื่องราวของการถูกออกหมายจับเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ในข้อหาร่วมขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติ และในวันครบรอบวันเกิดนั้นก็ได้เป็นข่าวฮือฮาไปทั้งประเทศ
ความจริงแล้วข่าวคราวว่ามีนายทหารติดร่างแหตกเป็นผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ข้ามชาตินั้น มีปรากฏเป็นข่าวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา หรือหลังจากกรณีนี้ตกเป็นข่าวดังเพียงประมาณสัปดาห์ ซึ่งถูกเปิดเผยออกจากเรียวปากของ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช.เป็นครั้งแรก พร้อมกับมีการปัดว่าไม่มีนายทหารระดับ “พันตรี” พร้อมพวกรวม 5 คนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเรียกค่าไถ่นายหน้าค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา
ต่อมาวันที่ 11 พ.ค.ที่ “โกหนุ่ย” หรือ “นายสุวรรณ แสงทอง” เจ้าของแพปลาใหญ่ใน จ.ระนอง เข้ามอมตัว ปรากฏว่าทีมสืบสวนสอบสวนของตำรวจได้ติดตามไปตรวจค้นพบบัญชีส่วย หลังจากนั้นวันที่ 18 พ.ค.จึงมีข่าวสะพัดออกมาว่า น่าจะมีบุคคลระดับที่มียศถึง “นายพล” ของกองทัพบกถูกออกหมายจับด้วย แต่ก็ยังไม่มีการเปิดเผยรายชื่อแต่อย่างใด
นอกจากนี้ก่อนที่จะจะมีการออกหมายจับ พล.ท.มนัสนั้น ในระหว่างการแถลงข่าวหนหนึ่งของ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้ควบคุมคดีการค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 9 ส่วนหน้า สภ.หาดใหญ่ ปรากฏว่าได้หลุดคำพูดเด็ดมาประโยคหนึ่ง จนเป็นข่าวใหญ่และข่าวดังคือ “ยังมีใหญ่กว่าโกโต้ง” ที่จะต้องถูกออกหมายจับด้วย
ทั้งนี้ “โกโต้ง” ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนคือ “นายปัจจุบัน อังโชติพันธ์” เจ้าพ่อเกาะหลีเป๊ะแห่ง จ.สตูล ที่อยู่ในการควบคุมตัวของตำรวจแล้วในเวลานี้ ซึ่งว่ากันว่านั่นคือการส่งสัญญาณกำลังจะมีการออกหมายจับ พล.ท.มนัสนั่นเอง
ถ้าจะย้อนดูที่มาที่ไปในชีวิตราชทหารของ พล.ท.มนัสจะพบว่า ขณะที่ยังครองยศเป็น “พันเอก” อยู่นั้น เขาเป็นหนึ่งในหัวหน้าชุดที่ได้รับมอบหมายให้เข้าปิดล้อมมัสยิดกรือเซะ อ.เมือง จ.ปัตตานี ในเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เรียกขานกันว่า “เหตุการณ์กรือเซะ” เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2547 ซึ่งเป็นวันที่ขบวนการบีอาร์เอ็น โคออร์ดิเน็ต สั่งการให้แนวร่วมของขบวนการลุกขึ้นก่อเหตุบุกถล่มสถานที่ราชการและฆ่าเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ทั่วทั้ง 4 จังหวัดชายแดนใต้กว่า 20 แห่งพร้อมๆ กัน
ในเหตุการณ์ครั้งนั้น พ.อ.มนัสคือผู้นำหน่วยเข้าล้อมมัสยิดกรือเซะ ก่อนที่จะปฏิบัติการตามคำสั่งของ “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” ผู้มีตำแหน่งทางการเมืองเป็น “รอง ผอ.กอ.รมน.” ปฏิบัติการจับตายบรรดาแนวร่วมขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ที่หลบอยู่ในมัสยิดและยิงต่อสู้ ส่งผลให้เกิดตายหมู่รวม 32 ศพ และถือเป็นฉากปิดของเหตุการณ์กรือเซะในช่วงบ่ายแก่ๆ หลังจากเกิดเหตุยืดเยื้อมาตั้งแต่ก่อนรุ่งสางของวันนั้น ซึ่งมีการบันทึกไว้ว่ามีผู้เสียชีวิตรวม 106 ศพ
หลังจากนั้น พล.ท.มนัสได้ก้าวสู่ตำแหน่งผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจที่ 25 กรมทหารราบที่ 25 ในช่วงปี 2548-2549 ต่อมาในปี 2550 กลับลงไปทำงานที่ชายแดนใต้อีกได้เป็น ผบ.ฉก.ในพื้นที่ จ.ปัตตานี ซึ่งถือว่าขึ้นชั้นเป็นมือวางอันดับต้นๆ ในการกวาดล้างแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ชายแดนใต้ และว่ากันว่าเป็นบุคคลที่ที่ “นายวางใจ” มาโดยตลอด
ล่วงปี 2550 ชื่อของ พ.อ.มนัสโด่งดังอีกครั้งหนึ่งเมื่อนำกำลังทหารเข้าตรวจพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส แล้วขุดได้เงินสดๆ ที่ขบวนการค้ายาเสพติดบรรจุไว้ในท่อพีวีซีแล้วฝังไว้ใต้บ้านพักราว 45 ล้านบาท ซึ่งก็เป็นข่าวฮือฮาป่าลั่นไม่น้อยในเวลานั้น
อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นก็มีข่าวลือเล็ดลอดจากหน่วยงานความมั่นคงด้วยว่า การขุดพบเงินสดในครั้งนั้นมีการส่งเงินที่เป็นของกลางให้ตำรวจ สภ.มูโน๊ะ อ.สุไหงโก-ลก เพียงประมาณครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งถูกนำใส่รถยนต์ขับไปแบ่งปันกันที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
ไม่นานต่อมา พล.ท.มนัสถูกย้ายพ้นจากพื้นที่ จ.ปัตตานีไปสังกัดกองกำลังเทพกษัตรีย์ และมีหน้าที่ควบคุมแนวชายแดนด้าน จ.ระนอง และที่นี่เองที่ได้มีโอกาสสนิทสนมกับ “โกหนุ่ย” แห่ง จ.ระนอง จนนำไปสู่การติดรายชื่อในบัญชีส่วยนั่นเอง
นอกจากนี้ พล.ท.มนัสเคยรับผิดชอบงานความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ตอนบน หรือตั้งแต่ จ.ระนองยัน จ.ชุมพร อยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งในพื้นที่ดังกล่าวมีปัญหาการค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์และการค้าอาวุธ ซึ่งเป็นขบวนการข้ามชาติในพื้นที่ด้วย
ในปี 2557 พล.ท.มนัสได้ขึ้นนั่งในตำแหน่ง “ผู้บัญชาการมณฑลทหารบก 42” ที่ตั้งอยู่ค่ายเสนาณรงค์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา หลังเหตุการณ์รัฐประหารก็มีข่าวเรื่องเข้าไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ที่ไม่ชอบมาพากลในหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องบ่อนการพนันที่มีการวิ่งเต้นจากอดีตนักการเมืองท้องถิ่นจาก จ.ชุมพร ให้เปิดได้ตามสโลแกนว่า 1 อำเภอ 1 บ่อน ส่งผลให้เดือน เม.ย.2558 ถูกย้ายให้ไปเป็นผู้ทรงคุณวุฒิของกองทัพบก
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ชื่อของ “พี่แป้น” ซึ่งเป็นที่เรียกกันในหมู่นักธุรกิจ รวมถึงในวงการนักเลงด้วยก็ค่อยๆ จางหายไปจากวงการ ก่อนที่จะมีเสียงระแคะระคายหลังจากที่ตำรวจได้ตัว “โกหนุ่ย” แห่งเมืองระนองมาสอบสวนดังกล่าว
ทั้งนี้หลักฐานหนึ่งที่ตำรวจค้นได้จากบ้าน “โกหนุ่ย” ที่กลายเป็นหลักฐานที่มัดตัวคือ “บัญชีส่วย” โดยมีรายการโอนเงินเข้าบัญชีชื่อของ พล.ต.มนัสรวมประมาณ 14 ล้านบาท อีกทั้งจากการสอบสวนนายตำรวจระดับ “สารวัตร” และ “รองสารวัตร” ที่ตกเป็นผู้ต้องหามาก่อนมีการใช้การซัดทอดไปถึงด้วย ซึ่งทางตำรวจต้องใช้เวลาในการสืบสวนสอบสวนรวมรวมหลักฐานกว่า 10 วัน ก่อนที่จะตัดสินใจขอหมายจับต่อศาลจังหวัดนาทวีในวันที่ 31 พ.ค.ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ภายหลัง พล.ท.มนัสตกเป็นผู้ต้องหา กระทรวงกลาโหมโดย พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ.ในฐานะ รมช.กลาโหมก็ได้มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนด้วยแล้ว
สำหรับนายทหารคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นที่เคยมีข่าวสะพัดมาก่อนหน้านี้ รวมถึงหากจะมีหลักฐานหรือการสืบสวนสอบสวนสาวไปพบครั้งใหม่หรือไม่ รวมถึงระดับบิ๊กๆ ในฝ่ายตำรวจ โดยเฉพาะในฝ่ายปกครองที่ยังไม่มีใครตกเป็นผู้ต้องหาเลยนั้น ก็คงต้องจับตาเรื่องราวอันเนื่องมาจากการล้างบางขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติที่เป็นข่าวครึกโครมอย่างยากจะหาจุดจบกันต่อไป