จากความฝันของชายพิการคนหนึ่งผู้ถูกใครต่อใครมองว่า “ไม่มีทางเป็นไปได้” แต่ในที่สุดความกล้าหาญและหัวใจอันแข็งแกร่งก็เปลี่ยนผันให้ ตู่ สมศักดิ์ ค้าขึ้น กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนไทยนับหมื่น ในฐานะนักกีฬาเพาะกายสาขาคนพิการ และครูไร้ขาผู้ปลูกปั้นเยาวชนสู่สังเวียนทีมชาติ
วินาทีฝันสลาย
13 สิงหาคม 2544 ท่ามกลางบรรยากาศมืดฟ้ามัวฝน สภาพท้องถนนบริเวณเนินเขาห้าร้อยโค้งแถบกาญจนบุรีเปียกชื้น ทว่าไกลออกไป มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ขนาดเกือบหนึ่งพันซีซีสีดำดุ กำลังแล่นฝ่ามาด้วยความเร็วสูง ไร้ความหวาดกลัว ไร้ความกังวลใดๆ
หลังแฮนด์จับคืออนาคตดาวรุ่งไฟแรง แห่งวงการสตั๊นท์แมน นายแบบ และดารานักแสดงรับเชิญในภาพยนตร์ฮ่องกงหลายเรื่อง รวมถึงละครไทย อย่าง ประกาศิตเงินตรา,พันท้ายนรสิงห์ รักสลับขั้ว ฯลฯ ที่เคยออกอากาศทางช่อง 3 ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนั้น แต่แล้ว เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
"จำได้ว่า ตอนนั้น ผมกับเพื่อนร่วมทริปไบค์เกอร์เรากำลังจะไปน้ำตกเอราวัณ ซึ่งเป็นเป้าหมายสุดท้ายของเรา แต่ระหว่างทางลงเขาดันเจอโค้งหักศอกโค้งหนึ่งเข้า ด้วยความที่ผมขับรถมาความไวประมาณ 200 เลยทำอะไรไม่ได้ นอกจากกำเบรก จำเป็นต้องกำทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องคว่ำแน่ๆ แต่ก็ต้องทำเพื่อไม่ให้เราตกเหว แล้วพอเบรกเท่านั้นแหละ รถก็คว่ำเลย ผมม้วนตัวหลายตลบ ในใจตอนนั้นคิดว่ายังไงก็ไม่รอดแน่ๆ วันนี้" อดีตนายแบบดาวรุ่งจดจำวินาทีเฉียดตายได้ทุกรายละเอียด ราวกับนี่คือปมที่ยังฝังลึกอยู่ภายในใจ
หลังเริ่มรู้สึกได้ว่า ร่างกายของตัวเองลอยคว้างกลางอากาศ อัดฟาดกับต้นไม้ใหญ่ รวมถึงหลักกิโลเมตรข้างทางอยู่นาน จนมาแผ่ราบอยู่ริมถนน วินาทีนั้น ไบค์เกอร์ผู้เคราะห์ร้ายอย่างพี่ตู่ เล่าว่า เพราะหมวกกันน็อกจึงช่วยให้เขายังพอมีสติ
"ผมเริ่มรวบรวมสมาธิ สำรวจร่างกายตัวเองว่าส่วนไหนยังใช้การได้บ้าง เริ่มไล่ตั้งแต่นิ้วมือ พยายามกำและแบบ ไล่มาที่แขนซ้าย แขนขวา พยายามยกแข้งยกขา และตอนนั้นผมรู้ได้เลยว่า ขาข้างซ้ายของตัวเองใช้การไม่ได้แล้ว เพราะมันไม่มีความรู้สึกอะไรเลย“
จากนั้นบรรดาเพื่อนๆ ร่วมทริป และมูลนิธิกู้ภัยก็ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ทีมอาสาเร่งลงมือปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนส่งตัวของเขาไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลในตัวเมืองกาญจนบุรี ทว่า วินาทีแรกที่เจ้าตัวเคยรู้สึกอุ่นใจเมื่อถึงมือทีมแพทย์ คือวินาทีเดียวกันกับที่เจ้าตัวจะต้องเศร้าไปทั้งชีวิต
อนาคตพังทลาย
หลังเข้าพักรักษาตัวอยู่ในห้องผู้ป่วยฉุกเฉินนานหลายวันด้วยสภาพร่างกายที่บอบช้ำ ซึ่งส่งผลถึงสภาวะทางจิตใจให้ตกต่ำในเวลาถัดมา อนาคตนักเพาะกายคนนี้จึงรู้สึกเป็นกังวลกับอาการบาดเจ็บของท่อนขาซ้ายที่เริ่มมีสีม่วงช้ำให้เห็น ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ยิ่งกว่าวันที่เพิ่งประสบเหตุ จนกระทั่ง ในที่สุด สิ่งที่กำลังหวาดกลัวที่สุดภายในใจก็เกิดขึ้นจริงๆ เมื่อแพทย์ประจำตัวสรุปผลการรักษาว่า
"เส้นเลือดใหญ่บริเวณขาซ้ายของคุณไม่สามารถต่อติดได้อีกแล้ว ทีมเเพทย์ได้พยายามทำการฝ่าตัดอย่างเต็มความสามารถให้ทั้ง 4 ครั้ง แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ และตอนนี้คุณก็เสียเลือดมากเกินไป จาก 100 % เหลือเพียง 9% ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย คุณต้องยอมสละขาตัวเองเพื่อต่อชีวิต"
วินาทีนั้น แม้เจ้าตัวจะยอมรับว่า "เพื่อเอาชีวิตรอด ยังไงก็ต้องยอมตัด" ทว่า นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้อนาคตดาวรุ่งแห่งวงการนายแบบ และสตั๊นท์แมนของเขา กลายเป็นแค่ความทรงจำ ทุกๆ วัน เขาได้แต่นอนซมอยู่บนเตียง ระลึกถึงการสูญเสียชีวิตในโลกใบเดิมที่เคยรู้จัก การไม่สามารถแม้แต่จะพยุงร่างตัวเองไปเข้าห้องน้ำได้ มันเป็นความโศกเศร้าที่ยากจะบรรยาย หนำซ้ำพร้อมๆ กันนั้น ยังถูกอดีตแฟนสาวอันเป็นที่รักขอแยกทาง
"แฟนก็ทิ้งครับ งานทุกงานก็โดนแคนเซิล จะทำอะไร ก็ต้องให้แม่ ให้คนรอบข้างคอยช่วยเหลือมาตลอด ตั้งแต่พาลุกไปเดิน ไปเข้าห้องน้ำ เข้าใจเลยว่า การตกเป็นภาระคนอื่น มันไม่ง่าย และน่าผิดหวังมากแค่ไหน ยิ่งมาเกิดกับชีวิตของคนที่พยายามดิ้นรนหาเลี้ยงตัวเองมาตลอดอย่างผมด้วย มันหนักใจนะ ตั้งแต่ไม่มีขา ผมก็เลยไม่อยากออกไปไหน อยู่แต่ในบ้าน"
เมื่อชีวิตที่เคยโบยบินสู่จุดสูงสุด กลายเป็นเพียงอดีตที่ไม่มีทางหวนกลับไป ตู่ สมศักดิ์ ค้าขึ้น จึงตัดสินใจ วิ่งหนีกองน้ำตาด้วยวิธีที่ในวันนี้ คนอย่างเขามองว่ามันสิ้นคิด นั่นก็คือ “ฆ่าตัวตาย”
“ตอนนั้น เพราะผมคิดว่า ทนอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อเรากลายเป็นคนไม่มีค่าแล้ว เลยพยายามรวบรวมยาสลบ ยานอนหลับตามโรงพยาบาล ที่เขามักใช้รักษาผู้ป่วยยาเสพติดกัน เพราะผมรู้จักเพื่อนที่ทำงานอยู่ตามโรงพยาบาลเยอะ เลยขอจากพวกเขามากินหวังจะให้ตาย”
ไม่มีขา ยังมีหัวใจ
“ทำไมลูกถึงทำแบบนี้ ทำไมถึงอยากตาย คิดถึงคนข้างหลังบ้างมั้ย? ถ้าอยากตายก็ให้แม่ตายไปก่อน” ท่ามกลางแสงสว่างวูบวาบในโรงโรงพยาบาล และสายออกซิเจนระโยงรยางค์เต็มปาก นี่คือเสียงจากคนเป็นแม่ที่สมศักดิ์ได้ยินเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะสลบไป และมันก็คือจุดเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ช่วยพยุงไหล่ให้ชายพิการผู้กำลังตัดพ้อคิดฆ่าตัวตายคนนี้ลุกขึ้นปาดน้ำตา พร้อมกับความคิดที่ว่า “ไม่มีขา ยังมีคนรัก” ทุกๆ วัน เขาจึงกลับมาหมั่นฝึกฝนในสิ่งที่ตัวเองถนัดอย่างฟิตหุ่น และพื้นฟูร่างกาย
“ช่วงนั้นก็ยอมรับนะครับว่าสภาพจิตใจก็ยังไม่ดีเท่าไหร่ แต่เราสงสารแม่ นึกถึงเวลาที่เรานอนป่วยบนเตียงมีแต่แม่คนเดียว คนเดียวจริงๆ ที่คอยดูแล ผมจึงคิดว่า ถ้ามัวหายใจทิ้งไปวันๆ แบบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย เลยลุกขึ้นมาออกกำลังกายอีกครั้ง ตั้งแต่โหนบาร์ในโรงพยาบาล โดยเริ่มจากกิจกรรมเบาๆ ยกเวท วิดพื้น หลังๆ พอร่างกายเริ่มทนทานก็ค่อยๆ ขยับขยายไปเล่นของหนักๆ”
ใช่จะง่ายดายเสียทีเดียวด้วยร่างกายอันไม่สมบูรณ์แบบ จึงทำให้หลายท่วงท่าในการฟื้นฟูที่เคยช่ำชองต้องล้มเหลว จนถึงขั้นเจ็บตัวกลับมาบ้าง ทว่าเส้นทางชีวิตคนมักไม่มีพรมแดงปูรับคนใจเสาะ เขาจึงพยายามคิดค้นเทคนิคใหม่ๆ มาประยุคใช้ด้วยตัวเอง ด้วยความเชื่อว่า “เล่นกีฬาต้องใช้สมอง ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ดีๆ ก็แค่เสาต้นเดียว แค่สายเคเบิ้ล ก็สามารถใช้ได้แล้ว”
จากนั้นการทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ก็พานให้เขาประสบความสำเร็จเข้าจริงๆ เมื่อมีผู้สนใจ เห็นพฤติกรรมการซ้อมของเขาผ่านรายกายทีวีช่องหนึ่ง ติดต่อมาเสนอว่า ช่วยทำขาเทียมให้ได้ ถ้าหากเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ หลังจากตอบตกลงในครั้งนั้น ชีวิตชายพิการคนหนึ่ง.. เปลี่ยนไป
“หลังได้ขาเทียม พอผมทำงานกับพี่คนที่ช่วยคนนี้ไปได้ระยะหนึ่ง จู่ๆ พี่เขาก็ถามว่าอยากทำอะไร ผมเลยบอกว่าอยากเล่นกีฬา เมื่อเขาเห็นว่าดีก็เลยสนับสนุน ส่งต่อให้ไปหาพี่ๆ ที่ในสนามกีฬาเพื่อถามว่า มีกีฬาสำหรับคนพิการมั้ย และพอเขาบอกว่ามียกน้ำหนักเท่านั้นแหละ ผมคิดในใจนี่มันเป็นกีฬาที่ผมชอบมากที่สุด เลยเลือกที่จะเล่นกีฬาประเภทนี้ จากนั้นก็หมั่นเข้าโรงยิมเพาะกายเพื่อเล่นแต่ส่วนบนอย่างเดียว”
ชนะใจคนทั้งโลก
ในที่สุด การฝึกฝนอย่างมุมานะ ไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคทางร่างกาย ก็พา สมศักดิ์ ค้าขึ้น คนนี้ ก้าวไปสู่รางวัลชนะเลิศประเภทยกน้ำหนักมากมาย ตั้งแต่คว้าเหรียญทองในการแข่งขันกีฬาแห่งชาติที่เชียงใหม่ ในนามตัวแทนจากกรุงเทพฯ ,คว้า 2 เหรียญเงินที่เวียดนาม และที่ฟิลิปปินส์ ในฐานะนักกีฬาทีมชาติไทยในรายการอาเซียนพาราเกมส์ หรือเอเชียนเกมส์
“จากนั้นก็ได้เหรียญทองมาเรื่อยๆ ครับ ครั้งที่ 3 ผมได้เหรียญทองทีโคราช และครั้งที่ 4 ก็ได้เหรียญทองที่ประเทศมาเลเซีย ส่วนเหรียญทองที่ 5 ผมไปได้ที่อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการแข่งขันในรายการซีเกมส์ แต่ที่ประทับใจมาก คือเหรียญทอง ชิงแชมป์โลกที่อินเดีย นอกจากนี้ก็ได้เหรียญทองกีฬาแห่งชาติมาตลอดครับ ทุกแมตช์ที่ลงแข่งเลย”
“มีวันนี้ อย่างหนึ่งคือความมุ่งมั่น เอาประสบการณ์ที่เคยเพราะกายมาฝึกซ้อมให้กับตัวเองจนสำเร็จ บางครั้ง ก็มีคิดท้อแท้เหมือนกันนะครับ แต่ในเมื่อเราเลือกแล้ว ยังไงก็สู้ไม่ถอย จะมีกินหรือไม่มีกิน ก็สู้ทั้งๆ ที่รู้ว่าเล่นกีฬาคนพิการไม่มีทางรวย แต่เพราะศักดิ์ศรี ชีวิตใหม่ เพื่อนพ้อง และคนที่คอยเป็นกำลังใจให้นี่แหละ ที่เป็นแรงบันดาลใจไม่ให้ผมย่อท้อ ยังไงผมก็อยากให้ทุกคนสู้เหมือนผมนะครับจะได้สำเร็จเหมือนกันบ้างทำมันไป สู้ต่อไปนะน้องๆ พี่ๆ ที่รักของผมทุกคน เอาชีวิตผมเป็นบทเรียนนะครับ”
และนี่เข็มทิศแห่งสำเร็จที่ทำให้มีวันนี้ ของชายพิการผู้ถูกคนรอบข้างมองว่า “ไม่มีทางทำฝันให้เป็นจริง” ก่อนเดินจากไปนักเพาะกายพิการทีมชาติ เผยยิ้ม แล้วบอกกับ Feel good ว่า “ทุกอย่างในร่างกายพังได้ครับ แต่ที่อย่าพัง มีแค่อย่างเดียว…หัวใจ"
ข่าวโดย : ทีมข่าว Feel Good
ขอบคุณภาพจาก : FaceBook สมศักดิ์ ค้าขึ้น คนบ้าพลัง