ASTVผู้จัดการรายวัน – ดิจิตอลทีวีปรับทัพสู้ศึกเต็มที่ “อาร์เอส” เร่งโรดโชว์ต่างประเทศ ชู “ช่อง 8” หัวหอก เปิดทางดึงนักลงทุนสถาบันต่างชาติถือหุ้นไม่เกิน 25% ด้าน ช่อง 3 ถอดรายการ “ชิงร้อย ชิงล้าน Sunshine Day” ของเวิร์คพอยท์ฯ แน่นอนแล้ว มีผล 1 ก.ค. ศกนี้ “สุรินทร์” ยันไม่มีปัญหาขัดแย้ง แต่เป็นไปตามกฎของทีวีดิจิตอล
นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนเดินสายพบปะนักลงทุนเพื่อให้ข้อมูลบริษัทแก่นักลงทุนสถาบันต่างชาติอีกในไตรมาส3 หลังจากได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากนักลงทุนในการเข้าร่วมงาน “Thailand Corporate Day in Tokyo” กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 21-22 พฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมา และเข้าร่วมงาน “Daiwa Investment Conference 2015” ประเทศสหรัฐอเมริกา 2 แห่ง ได้แก่ วันที่ 26 -27 พฤษภาคม 2558 มหานครนิวยอร์ค และวันที่ 29 พฤษภาคม 2558 ซานฟรานซิสโก
โดยมองว่าสัดส่วนการถือหุ้น บมจ.อาร์เอส หรือ (RS) โดยนักลงทุนสถาบันในระดับ 25% ถือเป็นระดับที่เหมาะสมในการสร้างเสถียรภาพให้กับราคาหุ้น อีกทั้งถือเป็นการส่งสัญญาณอันดีในการการันตีถึงคุณภาพของบริษัท เนื่องจากปกตินักลงทุนกลุ่มนี้จะมีการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างดีในทุกแง่มุมก่อนตัดสินใจลงทุน
ทั้งนี้ ข้อมูลทางธุรกิจที่โดดเด่นและดึงดูดนักลงทุนสถาบันให้ความสนใจ “หุ้นอาร์เอส” อย่างมาก คือ ธุรกิจสื่อ โดยเฉพาะ “ช่อง 8ดิจิตอลทีวี” ที่มีเรตติ้งอันดับ 4 ของประเทศในขณะนี้และมีแผนการสร้างเรตติ้งให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้เติบโตก้าวกระโดดในระยะยาว จากการวางกลยุทธ์ทยอยเติมคอนเทนต์ใหม่ๆ ต่อเนื่องให้ครบทั้ง 100% ก่อนสิ้นปี 2559
จากปัจจุบันเติมไปแล้ว 60-70% แบ่งสัดส่วนคอนเทนต์เป็นละครประมาณ 15% ได้แก่ 1.ละครใหม่แกะกล่อง นับจากนี้มีไม่ต่ำกว่า 20 เรื่องหรือ 3 เรื่องต่อสัปดาห์ จากปัจจุบัน 2 เรื่องต่อสัปดาห์ รวมทั้งซีรี่ส์ 4 เรื่องใหม่ด้วย โดยแต่ละเรื่องใช้งบลงทุนประมาณ 30 ล้านบาท ส่วนเรื่องที่จะออกอากาศเร็วๆ นี้ ได้แก่ ดอกซ่อนชู้, คุณหญิงนอกทำเนียบ เป็นต้น
2.วาไรตี้ประมาณ 55%ได้แก่ The Infinity เกมไม่รู้จบ, เวทีช้างเผือก,ประกายดาว, ร้องแลกไลค์ ไทยแลนด์ ตามด้วย 3.ข่าว ประมาณ 25% ได้แก่ คุยข่าวเช้า, ข่าวเด่นช่อง 8, ข่าวเย็นช่อง 8, ครบข่าวช่อง 8, ห้องข่าวช่อง 8 และ 4.กีฬา ประมาณ 5% จะเน้นมวยที่เข้าถึงผู้ชมได้ง่าย ได้แก่ UFC มวยกรง 8เหลี่ยม, HBO Boxing ศึกมวยโลก, 8 แม็กซ์มวยไทย, มหกรรมมวยโลกช่อง 8 สัญจร
ช่อง3ปลดรายการ”ชิงร้อย ชิงล้าน”
ขณะที่กระแสข่าวที่ว่าช่อง 3 เตรียมถอดรายการ “ชิงร้อย ชิงล้าน Sunshine Day ผลิตโดย บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ที่เคยออกอากาศในช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ ล่าสุด ก็เป็นจริง ขึ้นมาโดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2558
นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด บอกว่า การออกอากาศรายการ “ชิงร้อย ชิงล้าน Sunshine Day ในช่อง 3 จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 มิถุนายน 2558 เป็นต้นไป
“เป็นเรื่องของความเหมาะสม ทางเวิร์คพอยท์เขามีช่องทีวีดิจิตอลเป็นของตัวเอง ในเมื่อต่างฝ่ายก็มีช่องทีวีเป็นของตัวเองแล้ว ก็ควรจะนำรายการไปออกอากาศในช่องที่ตัวเองเป็นเจ้าของช่อง อีกอย่างหนึ่ง เพื่อจะได้ไม่ผิดกฎของทีวีดิจิตอล ที่ระบุไว้ว่าไม่ให้เจ้าของช่องผลิตรายการให้ช่องอื่น” สุรินทร์ บอกถึงสาเหตุการถอดรายการ
ส่วนช่อง 3 เอง จะได้มีเวลาในการพัฒนารายการขึ้นมาแทน โดยรายการที่จะนำมาออกอากาศแทน “ชิงร้อย ชิงล้าน” ในช่วงบ่ายวันอาทิตย์ จะมาจากผู้จัดฝีมือดีของช่อง 3 แต่เวลานี้ยังขออุบไว้ก่อน
นายสุรินทร์ ยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ไม่ได้มีปัญหา หรือโกรธกับทางเวิร์คพอยท์ แต่เป็นเหตุผลทางธุรกิจ และทางกฎ
ทางด้าน พัชรินทร์ วัฒนาแก้วศรีเพ็ชร นักวิเคราะห์ จากบริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป บอกว่า ทางเวิร์คพอยท์ได้แจ้งกับนักวิเคราะห์ถึงการถอดรายการชิงร้อยชิงล้าน Sunshine Day ออกจากช่อง 3 เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา จะมีผลตั้งแต่ 1กรกฎาคม 2558 เป็นต้นไป
ตามแผนงานที่เวิร์คพอยท์แจ้งไว้ เมื่อนำรายการมาออกอากาศในช่องเวิร์คพอยท์ จะต้องลดอัตราค่าโฆษณาลง 50% จากเดิมออกอากาศในช่อง 3 เคยจัดเก็บ อัตรา 300,000 บาทต่อนาที จะเหลือ 150,000 ต่อนาที เพื่อสร้างแรงจูงใจในการโฆษณา และคนดูในช่องดิจิตอลเองก็ยังไม่มากเท่ากับช่องอนาล็อกเดิม
ขณะเดียวกัน ข้อดี ในการย้ายครั้งนี้ จะทำให้เวิร์คพอยท์ลดลงต้นทุนในการเช่าเวลาลง ซึ่งคิดเป็นต้นทุนถึง 50-60% ของรายได้ ที่ต้องจ่ายให้กับช่อง 3
สำหรับรายได้ของเวิร์คพอยท์ในไตรมาส 1 มีรายได้รวม 295 ล้านบาท ส่วนรายได้จากรายการชิงร้อยชิงล้าน Sunshine Day เป็นเงิน 70 ล้านบาท
ทั้งนี้ทางบริษัทเวิร์คพอยท์ ได้ชี้แจงกับทาง POSITIONINGMAG ในเครือเอเอสทีวี ว่า ในส่วนของอัตราค่าโฆษณาจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยังคงราคาที่อัตรา 300,000 บาท ต่อนาที เท่ากับที่ออนแอร์ในช่อง 3 ส่วนจะมีส่วนลดอย่างไรก็แล้วแต่ข้อตกลง
*** RSโรดโชว์ดึง ตปท. ถือหุ้น
นอกจากนี้ “ช่อง2” เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่นักลงทุนสถาบันจับตามอง เพราะนอกจากมีเรตติ้งยอดผู้ชมอันดับ 1 ของแซทเทลไลท์ทีวีในกลุ่มรายการวาไรตี้แล้ว ยังมีเรตติ้งยอดผู้ชมติดอันดับสูงกว่าดิจิตอลทีวีหลายช่องด้วยกัน อีกทั้งประมาณกลางปีนี้เตรียมปรับผังรายการใหญ่ประจำปี จากปัจจุบันมีเรตติ้งดีอยู่แล้วจะทำให้เรตติ้งดียิ่งขึ้นและก้าวสู่อันดับ 1ของแซทเทลไลน์ทีวีทั้งกลุ่มเป็นลำดับต่อไป
นางพรพรรณ กล่าวต่อว่า ด้านธุรกิจเพลงเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่นักลงทุนสถาบันจับตามองเช่นกัน เนื่องจากมีโมเดลธุรกิจสร้างรายได้สวนกระแสอุตสาหกรรมเพลงทั่วโลกที่ทรงตัว โดยเฉพาะในไตรมาสนี้มีการจับมือกับ “ไลน์ ประเทศไทย (LINE Thailand)” ผู้นำด้านแพลตฟอร์มบนมือถืออันดับ 1 ในประเทศไทย ร่วมกันเปิดตัว “ไลน์ มิวสิค (LINE MUSIC)” แอพพลิเคชั่นใหม่ให้บริการฟังเพลงออนไลน์ในระบบสตรีมมิ่ง ถือเป็นการสร้างปรากฎการณ์เขย่าวงการเพลงในเมืองไทย เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้ฟังที่ปัจจุบันชื่นชอบฟังเพลงออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ บนมือถือ โดยคาดว่าสิ้นปีนี้จะมีผู้สนใจดาวน์โหลดแอพฯ 1 ล้านราย ส่งผลให้บริษัทฯ มีช่องทางสร้างรายได้รูปแบบประจำเดือน (Subscriber) เพิ่มขึ้น อันเป็นผลดีก่อให้เกิดรายได้รูปแบบยั่งยืน (Sustainable) ในอนาคต
นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนเดินสายพบปะนักลงทุนเพื่อให้ข้อมูลบริษัทแก่นักลงทุนสถาบันต่างชาติอีกในไตรมาส3 หลังจากได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากนักลงทุนในการเข้าร่วมงาน “Thailand Corporate Day in Tokyo” กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 21-22 พฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมา และเข้าร่วมงาน “Daiwa Investment Conference 2015” ประเทศสหรัฐอเมริกา 2 แห่ง ได้แก่ วันที่ 26 -27 พฤษภาคม 2558 มหานครนิวยอร์ค และวันที่ 29 พฤษภาคม 2558 ซานฟรานซิสโก
โดยมองว่าสัดส่วนการถือหุ้น บมจ.อาร์เอส หรือ (RS) โดยนักลงทุนสถาบันในระดับ 25% ถือเป็นระดับที่เหมาะสมในการสร้างเสถียรภาพให้กับราคาหุ้น อีกทั้งถือเป็นการส่งสัญญาณอันดีในการการันตีถึงคุณภาพของบริษัท เนื่องจากปกตินักลงทุนกลุ่มนี้จะมีการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างดีในทุกแง่มุมก่อนตัดสินใจลงทุน
ทั้งนี้ ข้อมูลทางธุรกิจที่โดดเด่นและดึงดูดนักลงทุนสถาบันให้ความสนใจ “หุ้นอาร์เอส” อย่างมาก คือ ธุรกิจสื่อ โดยเฉพาะ “ช่อง 8ดิจิตอลทีวี” ที่มีเรตติ้งอันดับ 4 ของประเทศในขณะนี้และมีแผนการสร้างเรตติ้งให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้เติบโตก้าวกระโดดในระยะยาว จากการวางกลยุทธ์ทยอยเติมคอนเทนต์ใหม่ๆ ต่อเนื่องให้ครบทั้ง 100% ก่อนสิ้นปี 2559
จากปัจจุบันเติมไปแล้ว 60-70% แบ่งสัดส่วนคอนเทนต์เป็นละครประมาณ 15% ได้แก่ 1.ละครใหม่แกะกล่อง นับจากนี้มีไม่ต่ำกว่า 20 เรื่องหรือ 3 เรื่องต่อสัปดาห์ จากปัจจุบัน 2 เรื่องต่อสัปดาห์ รวมทั้งซีรี่ส์ 4 เรื่องใหม่ด้วย โดยแต่ละเรื่องใช้งบลงทุนประมาณ 30 ล้านบาท ส่วนเรื่องที่จะออกอากาศเร็วๆ นี้ ได้แก่ ดอกซ่อนชู้, คุณหญิงนอกทำเนียบ เป็นต้น
2.วาไรตี้ประมาณ 55%ได้แก่ The Infinity เกมไม่รู้จบ, เวทีช้างเผือก,ประกายดาว, ร้องแลกไลค์ ไทยแลนด์ ตามด้วย 3.ข่าว ประมาณ 25% ได้แก่ คุยข่าวเช้า, ข่าวเด่นช่อง 8, ข่าวเย็นช่อง 8, ครบข่าวช่อง 8, ห้องข่าวช่อง 8 และ 4.กีฬา ประมาณ 5% จะเน้นมวยที่เข้าถึงผู้ชมได้ง่าย ได้แก่ UFC มวยกรง 8เหลี่ยม, HBO Boxing ศึกมวยโลก, 8 แม็กซ์มวยไทย, มหกรรมมวยโลกช่อง 8 สัญจร
ช่อง3ปลดรายการ”ชิงร้อย ชิงล้าน”
ขณะที่กระแสข่าวที่ว่าช่อง 3 เตรียมถอดรายการ “ชิงร้อย ชิงล้าน Sunshine Day ผลิตโดย บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ที่เคยออกอากาศในช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ ล่าสุด ก็เป็นจริง ขึ้นมาโดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2558
นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด บอกว่า การออกอากาศรายการ “ชิงร้อย ชิงล้าน Sunshine Day ในช่อง 3 จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 มิถุนายน 2558 เป็นต้นไป
“เป็นเรื่องของความเหมาะสม ทางเวิร์คพอยท์เขามีช่องทีวีดิจิตอลเป็นของตัวเอง ในเมื่อต่างฝ่ายก็มีช่องทีวีเป็นของตัวเองแล้ว ก็ควรจะนำรายการไปออกอากาศในช่องที่ตัวเองเป็นเจ้าของช่อง อีกอย่างหนึ่ง เพื่อจะได้ไม่ผิดกฎของทีวีดิจิตอล ที่ระบุไว้ว่าไม่ให้เจ้าของช่องผลิตรายการให้ช่องอื่น” สุรินทร์ บอกถึงสาเหตุการถอดรายการ
ส่วนช่อง 3 เอง จะได้มีเวลาในการพัฒนารายการขึ้นมาแทน โดยรายการที่จะนำมาออกอากาศแทน “ชิงร้อย ชิงล้าน” ในช่วงบ่ายวันอาทิตย์ จะมาจากผู้จัดฝีมือดีของช่อง 3 แต่เวลานี้ยังขออุบไว้ก่อน
นายสุรินทร์ ยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ไม่ได้มีปัญหา หรือโกรธกับทางเวิร์คพอยท์ แต่เป็นเหตุผลทางธุรกิจ และทางกฎ
ทางด้าน พัชรินทร์ วัฒนาแก้วศรีเพ็ชร นักวิเคราะห์ จากบริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป บอกว่า ทางเวิร์คพอยท์ได้แจ้งกับนักวิเคราะห์ถึงการถอดรายการชิงร้อยชิงล้าน Sunshine Day ออกจากช่อง 3 เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา จะมีผลตั้งแต่ 1กรกฎาคม 2558 เป็นต้นไป
ตามแผนงานที่เวิร์คพอยท์แจ้งไว้ เมื่อนำรายการมาออกอากาศในช่องเวิร์คพอยท์ จะต้องลดอัตราค่าโฆษณาลง 50% จากเดิมออกอากาศในช่อง 3 เคยจัดเก็บ อัตรา 300,000 บาทต่อนาที จะเหลือ 150,000 ต่อนาที เพื่อสร้างแรงจูงใจในการโฆษณา และคนดูในช่องดิจิตอลเองก็ยังไม่มากเท่ากับช่องอนาล็อกเดิม
ขณะเดียวกัน ข้อดี ในการย้ายครั้งนี้ จะทำให้เวิร์คพอยท์ลดลงต้นทุนในการเช่าเวลาลง ซึ่งคิดเป็นต้นทุนถึง 50-60% ของรายได้ ที่ต้องจ่ายให้กับช่อง 3
สำหรับรายได้ของเวิร์คพอยท์ในไตรมาส 1 มีรายได้รวม 295 ล้านบาท ส่วนรายได้จากรายการชิงร้อยชิงล้าน Sunshine Day เป็นเงิน 70 ล้านบาท
ทั้งนี้ทางบริษัทเวิร์คพอยท์ ได้ชี้แจงกับทาง POSITIONINGMAG ในเครือเอเอสทีวี ว่า ในส่วนของอัตราค่าโฆษณาจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยังคงราคาที่อัตรา 300,000 บาท ต่อนาที เท่ากับที่ออนแอร์ในช่อง 3 ส่วนจะมีส่วนลดอย่างไรก็แล้วแต่ข้อตกลง
*** RSโรดโชว์ดึง ตปท. ถือหุ้น
นอกจากนี้ “ช่อง2” เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่นักลงทุนสถาบันจับตามอง เพราะนอกจากมีเรตติ้งยอดผู้ชมอันดับ 1 ของแซทเทลไลท์ทีวีในกลุ่มรายการวาไรตี้แล้ว ยังมีเรตติ้งยอดผู้ชมติดอันดับสูงกว่าดิจิตอลทีวีหลายช่องด้วยกัน อีกทั้งประมาณกลางปีนี้เตรียมปรับผังรายการใหญ่ประจำปี จากปัจจุบันมีเรตติ้งดีอยู่แล้วจะทำให้เรตติ้งดียิ่งขึ้นและก้าวสู่อันดับ 1ของแซทเทลไลน์ทีวีทั้งกลุ่มเป็นลำดับต่อไป
นางพรพรรณ กล่าวต่อว่า ด้านธุรกิจเพลงเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่นักลงทุนสถาบันจับตามองเช่นกัน เนื่องจากมีโมเดลธุรกิจสร้างรายได้สวนกระแสอุตสาหกรรมเพลงทั่วโลกที่ทรงตัว โดยเฉพาะในไตรมาสนี้มีการจับมือกับ “ไลน์ ประเทศไทย (LINE Thailand)” ผู้นำด้านแพลตฟอร์มบนมือถืออันดับ 1 ในประเทศไทย ร่วมกันเปิดตัว “ไลน์ มิวสิค (LINE MUSIC)” แอพพลิเคชั่นใหม่ให้บริการฟังเพลงออนไลน์ในระบบสตรีมมิ่ง ถือเป็นการสร้างปรากฎการณ์เขย่าวงการเพลงในเมืองไทย เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้ฟังที่ปัจจุบันชื่นชอบฟังเพลงออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ บนมือถือ โดยคาดว่าสิ้นปีนี้จะมีผู้สนใจดาวน์โหลดแอพฯ 1 ล้านราย ส่งผลให้บริษัทฯ มีช่องทางสร้างรายได้รูปแบบประจำเดือน (Subscriber) เพิ่มขึ้น อันเป็นผลดีก่อให้เกิดรายได้รูปแบบยั่งยืน (Sustainable) ในอนาคต