ASTV ผู้จัดการรายวัน – หุ้นไทยพฤษภาคม พอร์ตโบรกฯเทขายเฉียดหมื่นล้าน โดยรวมสถาบันยังเป็นผู้ซื้อสะสมเพียงกลุ่มเดียว 2.4 หมื่นล้านบาท พบสัญญาณนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาลงทุน ประเมินมิถุนายนหลายปัจจัยสนับสนุนดัชนีฟื้นตัว เม็ดเงินรัฐเริ่มไหลเข้าสู่โครงการ หลีกเลี่ยงกลุ่มสื่อ แบงก์ และสินค้าเกษตร
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยปิดส่งท้ายเดือนพฤษภาคมที่ 1,496.05 จุด เพิ่มขึ้น 2.44 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 39,747.16 ล้านบาท ภาพรวมในการซื้อขายสุทธิตามประเภทนักลงทุนพบของเดือนที่ผ่านมาพบว่า ผู้ซื้อสุทธิสูงสุดยังเป็นกลุ่มนักลงทุนสถาบัน 4,365.72 ล้านบาท ถัดมาคือ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 3,147.24 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,249.58 ล้านบาท มีเพียงบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ที่ขายสุทธิ 9,762.53 ล้านบาท
ส่วนการซื้อขายสะสมตั้งแต่ต้นปี พบว่า กลุ่มผู้ซื้อสุทธิยังเป็นสถาบันที่ซื้อสะสม 24,401.85 ล้านบาท เพียงกลุ่มเดียว ขณะที่บัญชีบล. ขายสะสม 6,257.01 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสะสม 5,179.51ล้านบาท และ นักลงทุนทั่วไปขายสะสม 12,965.33 ล้านบาท
ภาพรวมนักวิเคราะห์ประเมินว่าด้านเทคนิคดัชนีมีแนวต้าน 1,505-1,510 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1,485 จุด โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตามคือการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งมีผลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ขณะเดียวกันเชื่อว่าจะเห็นการฟื้นตัวของหุ้นไทย โดยมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อปัญหาหนี้กรีซ ว่ากรีซจะบรรลุการเจรจากับบรรดาเจ้าหนี้ได้ รวมถึงการส่งออกไทยน่าจะได้รับผลดีจากค่าเงินบาทอ่อนค่า ซึ่งจะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว
ทำให้กรอบการลงทุนเดือน มิ.ย. เชื่อว่าดัชนีผ่านจุดต่ำสุดที่ 1,478 จุดไปแล้ว โดยคาดหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ จากการเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการส่งออกที่ได้รับผลดีจากเงินบาทอ่อนค่า ส่วนกระแสเงินทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิหุ้นไทยเดือน พ.ค. มองว่าเม็ดเงินต่างชาติพร้อมที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นไทย รอเพียงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจน แนะกลยุทธ์การลงทุนแนะซื้อหุ้นที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว โดยเน้นหุ้นกลุ่มเช่าซื้อ, ส่งออกและพลังงานปิโตรเคมี
นอกจากนี้ยังพบสัญญาณการปรับตัวขึ้นจาก กรณีครม.อนุมัติงบลงทุนร่วมภาครัฐและเอกชนมูลค่า 1.4 ล้านล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทย โดยสัปดาห์นี้จะเริ่มมีความคืบหน้าของการประมูลงานของโครงการบางส่วน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ยังลดเป้าดัชนีเหลือเพียง 1,440 จุด จากวงจรธุรกิจขาลงของกลุ่ม Bank,Media และอสังหาริมทรัพย์ และภาพรวมของเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวจากตัวเลขของหนี้ NPL ที่สูงขึ้นใน Q1/15 และคาดว่าจะซบเซาต่อเนื่องไปจนถึง Q3/15 แต่ EPS ที่สูงขึ้นของบริษัทจดทะเบียนที่คาดหวังว่าจะเติบโตถึง +20% ใน 2015 นี้มาจากฐานที่ต่ำของปีก่อนที่มีการขาดทุนอย่างหนักของบริษัทหลายแห่งในปี 2014 เช่น TOP THAI และ IRPC ซึ่งปีนี้จะผลิกกลับมามีกำไรที่สูงเกินปกติจากราคาน้ำมัน
โดยนักวิเคราะห์แนะนำการปรับพอร์ตลงทุนถือหุ้น 50% ที่เหลือรอซื้อเมื่อลงต่ำกว่านี้ แนะนำซื้อ infrastructure fund ที่ให้ผลตอบแทน มากกว่า 9% เพื่อรอสวิทช์การลงทุน อีกทั้งมองว่าภาคเกษตรยังไม่ดี แต่การเบิกจ่ายภาครัฐเริ่มมาและคาดจะดีขึ้นในเดือนกันยายน จนเป็นผลให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติน่าจะเริ่มกลับมาตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยปิดส่งท้ายเดือนพฤษภาคมที่ 1,496.05 จุด เพิ่มขึ้น 2.44 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 39,747.16 ล้านบาท ภาพรวมในการซื้อขายสุทธิตามประเภทนักลงทุนพบของเดือนที่ผ่านมาพบว่า ผู้ซื้อสุทธิสูงสุดยังเป็นกลุ่มนักลงทุนสถาบัน 4,365.72 ล้านบาท ถัดมาคือ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 3,147.24 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,249.58 ล้านบาท มีเพียงบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ที่ขายสุทธิ 9,762.53 ล้านบาท
ส่วนการซื้อขายสะสมตั้งแต่ต้นปี พบว่า กลุ่มผู้ซื้อสุทธิยังเป็นสถาบันที่ซื้อสะสม 24,401.85 ล้านบาท เพียงกลุ่มเดียว ขณะที่บัญชีบล. ขายสะสม 6,257.01 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสะสม 5,179.51ล้านบาท และ นักลงทุนทั่วไปขายสะสม 12,965.33 ล้านบาท
ภาพรวมนักวิเคราะห์ประเมินว่าด้านเทคนิคดัชนีมีแนวต้าน 1,505-1,510 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1,485 จุด โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตามคือการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งมีผลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ขณะเดียวกันเชื่อว่าจะเห็นการฟื้นตัวของหุ้นไทย โดยมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อปัญหาหนี้กรีซ ว่ากรีซจะบรรลุการเจรจากับบรรดาเจ้าหนี้ได้ รวมถึงการส่งออกไทยน่าจะได้รับผลดีจากค่าเงินบาทอ่อนค่า ซึ่งจะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว
ทำให้กรอบการลงทุนเดือน มิ.ย. เชื่อว่าดัชนีผ่านจุดต่ำสุดที่ 1,478 จุดไปแล้ว โดยคาดหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ จากการเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการส่งออกที่ได้รับผลดีจากเงินบาทอ่อนค่า ส่วนกระแสเงินทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิหุ้นไทยเดือน พ.ค. มองว่าเม็ดเงินต่างชาติพร้อมที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นไทย รอเพียงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจน แนะกลยุทธ์การลงทุนแนะซื้อหุ้นที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว โดยเน้นหุ้นกลุ่มเช่าซื้อ, ส่งออกและพลังงานปิโตรเคมี
นอกจากนี้ยังพบสัญญาณการปรับตัวขึ้นจาก กรณีครม.อนุมัติงบลงทุนร่วมภาครัฐและเอกชนมูลค่า 1.4 ล้านล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทย โดยสัปดาห์นี้จะเริ่มมีความคืบหน้าของการประมูลงานของโครงการบางส่วน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ยังลดเป้าดัชนีเหลือเพียง 1,440 จุด จากวงจรธุรกิจขาลงของกลุ่ม Bank,Media และอสังหาริมทรัพย์ และภาพรวมของเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวจากตัวเลขของหนี้ NPL ที่สูงขึ้นใน Q1/15 และคาดว่าจะซบเซาต่อเนื่องไปจนถึง Q3/15 แต่ EPS ที่สูงขึ้นของบริษัทจดทะเบียนที่คาดหวังว่าจะเติบโตถึง +20% ใน 2015 นี้มาจากฐานที่ต่ำของปีก่อนที่มีการขาดทุนอย่างหนักของบริษัทหลายแห่งในปี 2014 เช่น TOP THAI และ IRPC ซึ่งปีนี้จะผลิกกลับมามีกำไรที่สูงเกินปกติจากราคาน้ำมัน
โดยนักวิเคราะห์แนะนำการปรับพอร์ตลงทุนถือหุ้น 50% ที่เหลือรอซื้อเมื่อลงต่ำกว่านี้ แนะนำซื้อ infrastructure fund ที่ให้ผลตอบแทน มากกว่า 9% เพื่อรอสวิทช์การลงทุน อีกทั้งมองว่าภาคเกษตรยังไม่ดี แต่การเบิกจ่ายภาครัฐเริ่มมาและคาดจะดีขึ้นในเดือนกันยายน จนเป็นผลให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติน่าจะเริ่มกลับมาตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง