xs
xsm
sm
md
lg

“สิงห์-ช้าง”ปรับแผนสู้เบียร์หด-เครื่องดื่มคู่แข่งอื้อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน- 2 ค่ายยักษ์เครื่องดื่ม เผยแผนดำเนินงานไตรมาส 1/58 ดีเกินเป้า แต่ยังไม่บ่งชี้ถึงภาวะปรกติ “สิงห์” แบไต๋เลี่ยงความเสี่ยงทางธุรกิจ อาจดีลธุรกิจใหม่ 2-3 รายก่อนสิ้นปี 58 พร้อมลดเป้ารายได้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เหลือ 60% จากเดิม 80% ส่วน “ไทยเบฟ” ยังเดินหน้าตามแผน “วิสัยทัศน์ 2020” ปักธงตลาดเออีซีเพิ่มรายได้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็น 50%

นายภูริต ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจนอน-แอลกอฮอล์ บริษัท บุญรอด เทรดดิ้ง จำกัด ในเครือสิงห์คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นแต่ยังไม่กลับคืนสู่สภาพปรกติมากนัก ทำให้บริษัทฯ อาจมีการขยายลงทุนในธุรกิจอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มฐานรายได้ โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2558 อาจมีการดีลธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น 1-2 ประเภทบริษัทฯ อาจมีการกำหนดเป้าหมายรายได้ใหม่ในช่วงไตรมาส 2/58 หลังจากพบว่าในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา สินค้ากลุ่มเครื่องดื่มมีการเปลี่ยนแปลงทั้งในทิศทางที่ดีขึ้นและต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เช่น โซดา เดิมตั้งเป้าหมาย 5% แต่สามารถทำได้ถึง 9% ขณะที่เบียร์ ตั้งเป้าหมาย 5% ทำได้ 3% ส่วนน้ำดื่มซึ่งตั้งเป้าสูงถึง 25% แต่กลับทำได้เพียง 8% เนื่องจากผู้บริโภคมีเครื่องดื่มอื่นๆ ทดแทนมากขึ้น

สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ในปี 2557 มีประมาณ 1.2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 80% และอื่นๆ 20% ส่วนในปี 2558 คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มเป็น 1.8-2 แสนล้านบาท พร้อมลดสัดส่วนรายได้จากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เหลือ 60% และเพิ่มรายได้อื่นๆ เป็น 40% จำแนกเป็นเบียร์ 1.2-1.3 แสนล้านบาท ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3 หมื่นล้านบาท อาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 1.6 หมื่นล้านบาท บางกอกกล๊าส 1.3-1.4 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากธุรกิจพลังงานและอื่นๆ

นายภูริต กล่าวด้วยว่า ตลาดรวมเบียร์ในปี 2557 มีมูลค่า 1.7 แสนล้านบาท โดย “สิงห์” ยังคงเป็นผู้นำตลาดด้วยสัดส่วน 72% รองลงมาคือ “ไทยเบฟ” 24% และ “ไฮเนเก้น” 4% โดยคาดว่าในปี 2558 ตลาดจะมีมูลค่าเพิ่มเป็น 1.8 แสนล้านบาท หรือประมาณ 2.1 พันล้านลิตร ขณะที่ “สิงห์” ตั้งเป้าการจำหน่าย 1.49 พันล้านลิตร

“ปัจจุบันบริษัทฯ มีโรงงานผลิตรน้ำดื่ม 9 แห่ง และโรงงานผลิตเบียร์ 3 แห่งที่ บางเลน ปทุมธานี และขอนแก่น โดยในปี 2558 บริษัทฯ พร้อมขยายการลงทุนเพิ่มขั้นต้นอย่างน้อย 4-5 พันล้านบาทในการขยายพื้นที่เฟส 2 โรงงานผลิตเบียร์ที่ อ.บางเลน จ.นครปฐม พร้อมเพิ่มสายการผลิตขวดแก้วเพื่อเป็นการเพิ่มกำลังการผลิตเบียร์เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20%”

นายภูริต กล่าวด้วยว่า ในส่วนของน้ำดื่มขณะนี้กำลังเริ่มเข้าสู่ภาวะสงครามราคามากขึ้น บริษัทฯ จึงมีแผนการตลาดน้ำดื่มตราสิงห์ด้วยการจัดแคมเปญพิเศษร่วมกับสโมสรฟุตบอล “เชลซี” เพื่อเป็นการเน้นภาพลักษณ์ของสินค้า โดยกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาและสรุปรายละเอียดต่างๆ เพื่อนำทีมสโมสรฟุตบอลไทยไปแข่งขันในสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ ประเทศอังกฤษ

“ไทยเบฟ” เดินหน้ารุกเออีซี

ด้าน นายวิเชฐ ตันติวานิช ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อาหารและเครื่องดื่มถือเป็นสินค้าที่เป็นตัวชี้วัดสำคัญของภาวะเศรษฐกิจประเทศ เพราะเท่ากับเป็นการบ่งชี้กำลังซื้อของผู้บริโภคว่าอยู่ในระดับใด โดยในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในโครงการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆ ทำให้เม็ดเงินกระจายไปยังประชาชนทุกภาพส่วนมากขึ้น

สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ในช่วงไตรมาส 1/58 มียอดขายเติบโตขึ้นประมาณ 10% เนื่องจากมีการเพิ่มประเภทสินค้าใหม่หลายรายการ โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ คือ “100 Plus” และ “จับใจ” แต่ยังไม่สามารถทำผลกำไรให้เห็นอย่างเด่นชัดเพราะถือเป็นช่วงการเปิดตลาด โดยสินค้าที่จำหน่ายได้มากที่สุดยังคงเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งสุราและเบียร์ ขณะที่สินค้ากลุ่มอาหารยังคงให้ผลกำไรไม่มากนัก

“สินค้าที่จะสามารถบ่งชี้ถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคได้ดีที่สุดคือ น้ำดื่มที่จำหน่ายในร้านอาหารริมถนนซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้บริโภคระดับกลางลงล่าง ซึ่งหากมีการซื้อเพิ่มขึ้นย่อมแสดงว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคทุกระดับดีขึ้นด้วย โดยบริษัทฯ มั่นใจว่าในปีนี้จะมียอดขายน้ำดื่มเพิ่มขึ้นจากสัญญาณดังกล่าว”

นายวิเชฐ กล่าวด้วยว่า บริษัทฯ ยังคงเน้นการดำเนินงานตาม “วิสัยทัศน์ 2020” ที่ตั้งเป้าหมายเพิ่มรายได้จากการจำหน่ายเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ให้มีสัดส่วน 50% พร้อมเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศเป็น 50% โดยจะให้ความสำคัญกับตลาดอาเซียนเป็นหลักจากปัจจุบันที่ยังคงมีรายได้จากการส่งออกประมาณ 4-5% โดยตลาดอาเซียนมีสัดส่วน 10%

“สำหรับปัญหาค่าเงินยูโรและเหรียญสหรัฐที่อ่อนตัวลงไม่ถือว่าส่งผลกระทบต่อยอดขายของบริษัทฯ มากนัก เนื่องจากไม่ใช่ตลาดส่งออกหลัก แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงและคาดการณ์ลำบากคือภาวะเศรษฐกิจโลกและกำลังซื้อของคนยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่จะซบเซาต่อเนื่องนานเท่าใด เพราะฉะนั้นบริษัทฯ จึงจะเร่งทำตลาดอาเซียนมากขึ้นเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งเป้าไว้”
กำลังโหลดความคิดเห็น