นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ อดีต รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร แถลงกรณี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) มีมติแจ้งข้อกล่าวหาเกี่ยวกับโครงการยกเลิกการจัดซื้อบริษัทที่มีคลื่น และกรณีการจ้างบริษัทติดตั้งอุปกรณ์ 3G ของ TOTว่ามีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตว่า ในสัปดาห์หน้าตนจะเดินทางไปยื่นชี้แจงข้อกล่าวหา โดยขณะนี้ได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ทั้งที่เป็นพยานตรง และพยานแวดล้อม เพื่อชี้แจงข้อกล่าวหาดังกล่าว เชื่อว่าหากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาเอกสาร หลักฐานและพยาน ก็จะเห็นได้ว่าตน ไม่ได้มีพฤติกรรมทุจริต หรือส่อทุจริตใดๆในโครงการนี้เลย
นายจุติ กล่าวว่า การดำเนินการทั้งหมด เป็นการกระทำของคณะกรรมการการสื่อสารแห่งประเทศไทย (บอร์ด กสท. หรือ CAT) และคณะกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (บอร์ด ทศท. หรือ TOT)ตามนโยบายที่ตนให้ไว้ว่า ต้องเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน และประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งหากดูจากผลงาน จะพบได้ว่า สามารถรักษาผลประโยชน์ของรัฐไว้ได้ถึงกว่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งที่กล่าวหาโครงการแรกคือ ยกเลิกการจัดซื้อบริษัทที่มีคลื่นนั้น ข้อเท็จจริงคือ โครงการนี้ได้มีการอนุมัติไปแล้วตั้งแต่ก่อนตนมารับหน้าที่ โดยมีผู้ท้วงติงคณะกรรมการการสื่อสารแห่ง ประเทศไทย (กสท.) ว่า หากซื้อจริง รัฐจะได้เพียงความถี่ แต่เป็นเทคโนโลยีที่ล้าสมัย และกำลังจะตกรุ่นในขณะนั้น มีเพียง 4-5 ประเทศเท่านั้นที่ยังใช้อยู่ ที่เหลือเปลี่ยนไปใช้ 3 Gหมดแล้ว และราคาที่ตกลงกันก่อนหน้านั้น ก็สูงมาก คณะกรรมการฯ จึงได้เสนอให้ตนนำเรื่องขอยกเลิกการซื้อบริษัทเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งก็ได้มีมติเห็นชอบ เพียงแค่นั้น ที่เหลือเป็นเรื่องของคณะกรรมการฯ และไม่ได้เร่งรีบ เพราะคณะกรรมการใช้เวลาพิจารณา 2-3 เดือน ก่อนเสนอให้ครม. รับทราบการยกเลิกสัญญา ซึ่งเป็นอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ กสท.
"ความจริงเรื่องนี้เป็นอำนาจของบอร์ด ไม่ใช่รัฐมนตรี เพราะรัฐมนตรีเพียงให้นโยบายไปว่า ต้องดี เทคโนโลยีเหมาะสม และราคาสมเหตุสมผล บอร์ดก็ไปดำเนินการมา ซึ่งถ้าจำได้ บอร์ดก็สามารถดำเนินการให้เป็น 3G ตามที่ประชาชนเรียกร้อง ราคาก็ประหยัดกว่าที่เขาไปตกลงกันมาตั้งกว่าหมื่นล้านบาท ได้ของดีราคาถูกลงมามาก ไม่ต้องรับโละเทคโนโลยีเก่า ซึ่งต้องชื่นชมบอร์ดเขาด้วยว่า คนไทยมี 3G ใช้ในวันนี้ เพราะคณะกรรมการตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีได้ถูกต้อง" นายจุติ กล่าว
สำหรับกรณีการจ้างบริษัทติดตั้งอุปกรณ์ 3G ของ TOT นั้น นายจุติ กล่าวว่า ก็เช่นเดียวกัน เป็นอำนาจการพิจารณาของคณะกรรมการของ TOT อีกเช่นกัน มิใช่อำนาจรัฐมนตรี และสามารถว่าจ้างบริษัทติดตั้งอุปกรณ์ 3G ในราคาที่ถูกกว่าเดิม สมัยรัฐบาลก่อนหน้านั้น ประเมินมูลค่าติดตั้งไว้ 29,000 ล้านบาท ห่างกันเพียง 2 ปี ประมูลได้ราคาถูกลงกว่าเดิมหมื่นล้านบาท
" ขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูลทั้งหมด ยื่นเป็นพยานเอกสาร ส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาในสัปดาห์หน้า และมั่นใจว่า จะสามารถแก้ต่างข้อกล่าวหาต่างๆ ได้ ทุกประเด็นอย่างแน่นอน" นายจุติ กล่าว
** "วรชัย"ซัด ป.ป.ช. สองมาตรฐาน
นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติไต่ส่วนข้อเท็จจริง กรณีอดีต ส.ส. 310 คน ที่เสนอ และให้การรับรอง ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในวาระที่ 1 และในวาระอื่นๆ ว่า เป็นเรื่องปกติ ที่ป.ป.ช. จะดำเนินการสอบสวน เอาผิดในทุกเรื่อง ที่มีคนร้องฝ่ายพรรคเพื่อไทย แต่กับพรรคประชาธิปัตย์ อย่างคดีที่เกี่ยวกับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ที่มีการเอาผิดคนดำเนินการไปแล้ว แต่กลับไม่มีการดำเนินการใดๆ กับรัฐบาลผู้กุมนโยบาย ขณะที่โครงการรับจำนำข้าว แม้จะยังไม่มีการเอาผิดผู้ปฏิบัติ กลับมีการเดินหน้า ดำเนินคดีกับผู้กุมนโยบาย ซึ่งเป็นการกระทำที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน และในเรื่องที่ ป.ป.ช. จะไต่สวนข้อเท็จจริงนี้ ขอยืนยันว่าเป็นหน้าที่ของส.ส.ในการออกกฎหมายต่างๆ เรามีอำนาจหน้าที่ตามที่ให้ไว้ในรัฐธรรมนูญ เมื่อส.ส.มาจากประชาชน อะไรที่เป็นประโยชน์กับประชาชน ก็ควรทำ และเรื่องการเมืองเป็นเรื่องของความรู้สึก ประชาชนมีสิทธิในการออกมาเรียกร้อง เมื่อถูกกระทำก็ต้องคืนความยุติธรรมให้กับประชาชน และการออก พ.ร.บ.ดังกล่าว ก็เป็นการช่วยเหลือทุกสีเสื้อ ที่ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ไม่ได้เลือกปฏิบัติแต่อย่างใด
นายจุติ กล่าวว่า การดำเนินการทั้งหมด เป็นการกระทำของคณะกรรมการการสื่อสารแห่งประเทศไทย (บอร์ด กสท. หรือ CAT) และคณะกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (บอร์ด ทศท. หรือ TOT)ตามนโยบายที่ตนให้ไว้ว่า ต้องเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน และประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งหากดูจากผลงาน จะพบได้ว่า สามารถรักษาผลประโยชน์ของรัฐไว้ได้ถึงกว่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งที่กล่าวหาโครงการแรกคือ ยกเลิกการจัดซื้อบริษัทที่มีคลื่นนั้น ข้อเท็จจริงคือ โครงการนี้ได้มีการอนุมัติไปแล้วตั้งแต่ก่อนตนมารับหน้าที่ โดยมีผู้ท้วงติงคณะกรรมการการสื่อสารแห่ง ประเทศไทย (กสท.) ว่า หากซื้อจริง รัฐจะได้เพียงความถี่ แต่เป็นเทคโนโลยีที่ล้าสมัย และกำลังจะตกรุ่นในขณะนั้น มีเพียง 4-5 ประเทศเท่านั้นที่ยังใช้อยู่ ที่เหลือเปลี่ยนไปใช้ 3 Gหมดแล้ว และราคาที่ตกลงกันก่อนหน้านั้น ก็สูงมาก คณะกรรมการฯ จึงได้เสนอให้ตนนำเรื่องขอยกเลิกการซื้อบริษัทเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งก็ได้มีมติเห็นชอบ เพียงแค่นั้น ที่เหลือเป็นเรื่องของคณะกรรมการฯ และไม่ได้เร่งรีบ เพราะคณะกรรมการใช้เวลาพิจารณา 2-3 เดือน ก่อนเสนอให้ครม. รับทราบการยกเลิกสัญญา ซึ่งเป็นอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ กสท.
"ความจริงเรื่องนี้เป็นอำนาจของบอร์ด ไม่ใช่รัฐมนตรี เพราะรัฐมนตรีเพียงให้นโยบายไปว่า ต้องดี เทคโนโลยีเหมาะสม และราคาสมเหตุสมผล บอร์ดก็ไปดำเนินการมา ซึ่งถ้าจำได้ บอร์ดก็สามารถดำเนินการให้เป็น 3G ตามที่ประชาชนเรียกร้อง ราคาก็ประหยัดกว่าที่เขาไปตกลงกันมาตั้งกว่าหมื่นล้านบาท ได้ของดีราคาถูกลงมามาก ไม่ต้องรับโละเทคโนโลยีเก่า ซึ่งต้องชื่นชมบอร์ดเขาด้วยว่า คนไทยมี 3G ใช้ในวันนี้ เพราะคณะกรรมการตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีได้ถูกต้อง" นายจุติ กล่าว
สำหรับกรณีการจ้างบริษัทติดตั้งอุปกรณ์ 3G ของ TOT นั้น นายจุติ กล่าวว่า ก็เช่นเดียวกัน เป็นอำนาจการพิจารณาของคณะกรรมการของ TOT อีกเช่นกัน มิใช่อำนาจรัฐมนตรี และสามารถว่าจ้างบริษัทติดตั้งอุปกรณ์ 3G ในราคาที่ถูกกว่าเดิม สมัยรัฐบาลก่อนหน้านั้น ประเมินมูลค่าติดตั้งไว้ 29,000 ล้านบาท ห่างกันเพียง 2 ปี ประมูลได้ราคาถูกลงกว่าเดิมหมื่นล้านบาท
" ขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูลทั้งหมด ยื่นเป็นพยานเอกสาร ส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาในสัปดาห์หน้า และมั่นใจว่า จะสามารถแก้ต่างข้อกล่าวหาต่างๆ ได้ ทุกประเด็นอย่างแน่นอน" นายจุติ กล่าว
** "วรชัย"ซัด ป.ป.ช. สองมาตรฐาน
นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติไต่ส่วนข้อเท็จจริง กรณีอดีต ส.ส. 310 คน ที่เสนอ และให้การรับรอง ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในวาระที่ 1 และในวาระอื่นๆ ว่า เป็นเรื่องปกติ ที่ป.ป.ช. จะดำเนินการสอบสวน เอาผิดในทุกเรื่อง ที่มีคนร้องฝ่ายพรรคเพื่อไทย แต่กับพรรคประชาธิปัตย์ อย่างคดีที่เกี่ยวกับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ที่มีการเอาผิดคนดำเนินการไปแล้ว แต่กลับไม่มีการดำเนินการใดๆ กับรัฐบาลผู้กุมนโยบาย ขณะที่โครงการรับจำนำข้าว แม้จะยังไม่มีการเอาผิดผู้ปฏิบัติ กลับมีการเดินหน้า ดำเนินคดีกับผู้กุมนโยบาย ซึ่งเป็นการกระทำที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน และในเรื่องที่ ป.ป.ช. จะไต่สวนข้อเท็จจริงนี้ ขอยืนยันว่าเป็นหน้าที่ของส.ส.ในการออกกฎหมายต่างๆ เรามีอำนาจหน้าที่ตามที่ให้ไว้ในรัฐธรรมนูญ เมื่อส.ส.มาจากประชาชน อะไรที่เป็นประโยชน์กับประชาชน ก็ควรทำ และเรื่องการเมืองเป็นเรื่องของความรู้สึก ประชาชนมีสิทธิในการออกมาเรียกร้อง เมื่อถูกกระทำก็ต้องคืนความยุติธรรมให้กับประชาชน และการออก พ.ร.บ.ดังกล่าว ก็เป็นการช่วยเหลือทุกสีเสื้อ ที่ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ไม่ได้เลือกปฏิบัติแต่อย่างใด