xs
xsm
sm
md
lg

"ดร.โจ"รอดคดีซื้อที่จอดรถขยะ อดีตเลขาฯ-ผอ.เขตเจอคุก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-ศาลยกฟ้อง "ดร.พิจิตต รัตตกุล" อดีตผู้ว่าฯ กทม. รวมถึง "ประเสริฐ" อดีตปลัด กทม. และทีมที่ปรึกษา ไม่ผิดกรณีจัดซื้อที่ดินเพื่อจอดรถขยะย่านบางซื่อ ปี 2540 แพงเกินจริง แต่อดีตเลขาฯ ผู้ว่า ถูกจำคุก 8 ปี อดีต ผอ.เขตบางซื่อ ถูกจำคุก 10 ปี เหตุพบผิด ฐานเรียกรับทรัพย์สินและปฏิบัติหน้าที่มิชอบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (14 พ.ค.) ที่ห้องพิจารณา 808 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.3387/2553, อ.3419/2553, อ.3447/2553, อ.3505/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ดร.พิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร (กทม.) , นายญาณเดช ทองสิมา อดีตรองผู้ว่าฯ กทม., นายมหินทร์ ตันบุญเพิ่ม อดีตที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม., นายสมคาด สืบตระกูล อดีตเลขานุการผู้ว่าฯ กทม., นายประเสริฐ สมะลาภา อดีตปลัด กทม., นายสมควร รวิรัฐ อดีต ผอ.สำนักการคลัง กทม., นางอรุณพรรณ แก้วมรินทร์ อดีต ผอ.กองระบบการคลัง กทม. และนายชวน พัฒนวรานนท์ อดีต ผอ.เขตบางซื่อ เป็นจำเลยที่ 1-8 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต, ร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับ ทรัพย์สิน สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ และร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, 151 และ 157

คดีอัยการโจทก์ฟ้องเมื่อเดือนต.ค.2553 ระบุว่า ระหว่างวันที่ 4 ธ.ค.2538-16 ก.ย.2540 พวกจำเลยร่วมกับนายสมคาด เลขานุการผู้ว่าฯ กทม. และนายชวน ผอ.เขตบางซื่อ เรียกทรัพย์สินจากการดำเนินการจัดซื้อที่ดินของนายสุพจน์ และนางสุณี มโนมัยพันธุ์ เพื่อจัดหาสถานที่เพื่อใช้เป็นที่จอดรถขยะรถน้ำของ กทม. หลังมีการประกาศให้ประชาชนเสนอขายที่ดินแก่ กทม. ต่อมานายชวนได้รายงานว่า นายสุพจน์ และนางสุณี เสนอขายที่ดิน 17 แปลง เนื้อที่ 11 ไร่ 1 งาน 76 ตารางวา พร้อมอาคารและสิ่งก่อสร้างที่ตั้งอยู่ในซอยเรียงปรีชา ถนนประชาราษฎร์ 1 แขวงและเขตบางซื่อ กทม. ราคาตารางวาละ 60,000 บาท และบริษัท วินโล จำกัด เสนอขายที่ดินเนื้อที่ 9 ไร่ 1 งาน 42 ตารางวา แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. ราคาตารางวาละ 65,000 บาท ต่อมานายชวน ผอ.เขตบางซื่อ มีหนังสือสอบถามราคาประเมินที่ดินของนายสุพจน์ เพียงรายเดียว รวม 15 โฉนด ไปยังสำนักงานที่ดิน กทม.ที่ตีราคาประเมินที่ดินดังกล่าวตารางวาละ 42,000 บาท ขณะที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ตีราคาประเมินตารางวาละ 60,000 บาท

นอกจากนี้ ที่ดินนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าทางเข้า-ออก มีการจดทะเบียนโอนเป็นทางสารธารณประโยชน์ แต่ทางเข้า-ออกตกเป็นภาระจำยอมโดยการจัดซื้อที่ดินได้เสนอให้จำเลยพิจารณาอนุมัติจัดซื้อที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวโดยวิธีการพิเศษ ตามข้อบัญญัติ กทม. เรื่องการพัสดุ พ.ศ. 2538 โดยมีนายสมควร รวิรัฐ ผอ.สำนักการคลัง กทม. เป็นประธานกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษอันเป็นการขัดต่อข้อบัญญัติ กทม.เรื่องการพัสดุ พ.ศ. 2538 เนื่องจากไม่ใช่พัสดุที่ต้องซื้อเร่งด่วน แต่คณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษเชิญ นายสุพจน์และนางสุณี มโนมัยพันธุ์ ต่อรองราคาโดยไม่พิจารณาผู้เสนอขายรายอื่นก่อนมีมติให้จัดซื้อที่ดินดังกล่าว ในราคาตารางวาละ 59,900 บาท รวมเนื้อที่ 11 ไร่ 1 งาน 76 ตารางวา ซึ่งรวมราคา หลังต่อรองลงแล้วจำนวน 270 ล้านบาท กระทั่งวันที่ 16 ก.ย.2540 จำเลยมอบอำนาจให้นายชวน ผอ.เขตบางซื่อ ทำสัญญาจัดซื้อที่ดินจากนายสุพจน์

การกระทำของจำเลยกับพวก ทำให้ กทม.ได้รับความเสียหาย ที่ต้องซื้อที่ดินแพงเกินจริงเป็นเงินจำนวน 36,855,070 บาท ชั้นพิจารณาจำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1, 2, 3, 5, 6, 7 กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าโจทก์มีพยาน 7 ราย เบิกความทำนองเดียวกันว่าโครงการดังกล่าวริเริ่มในสมัยของ ร.อ.กฤษดา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา ผู้ว่าราชการจังหวัดก่อนปี 2538 ซึ่งต่อมาพวกจำเลยได้ดำเนินโครงการดังกล่าวต่อ โดยมีการมอบหมายให้จำเลยที่ 8 ออกประกาศสำนักงานเขตบางซื่อเพื่อที่จะรับซื้อที่ดินของประชาชนที่ต่อมา นายสุพจน์ และบริษัท วินโล จำกัด เสนอขายที่ดิน โดยจำเลยที่ 8 ได้ทำหนังสือสอบถามประเมินราคาที่ดินจากสำนักงานที่ดินของ กทม. และ ธอส. ราคาประเมิน 42,000-60,000 บาท ขณะที่นายสุพจน์เคยนำที่ดินจำนองกับธนาคารพาณิชย์ 2 แห่งรวม 150 ล้านบาท ในราคาตารางวาละ 65,000 บาท ซึ่งลักษณะที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินที่มีสิ่งปลูกสร้างมีการพัฒนาแล้ว และมีระบบสาธารณูปโภคในบริเวณใกล้เคียง ห่างจากปากซอยไม่เกิน 3 กิโลเมตร หากซื้อที่ดินดังกล่าวก็พร้อมใช้ได้ทันทีตามวัตถุประสงค์ของการประกาศซื้อที่ดิน ขณะที่ที่ดินดังกล่าวไม่มีลักษณะเป็นที่ตาบอด เนื่องจาก กทม.มีสิทธิใช้เส้นทางนั้นได้ ส่วนที่ดินของผู้เสนอขายรายอื่นที่อ้างว่ามีราคาถูกกว่านั้น ก็เป็นที่ดินเปล่า ไม่มีการถมและพัฒนามาก่อน

ตามคำเบิกความฟังได้ว่า ที่ดินดังกล่าวของนายสุพจน์มีความเหมาะสมที่มีการพัฒนาแล้ว พร้อมใช้ได้ทันที ซึ่งการจัดซื้อที่ดินก็มีคณะกรรมการ และสภา กทม.ให้ความเห็นด้วย ดังนั้น การซื้อที่ดินจึงเป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการจัดซื้อและไม่ขัดต่อข้อบัญญัติ กทม.ในการใช้วิธีซื้อพิเศษ โดยไม่ประกวดราคา ดังนั้นจำเลยที่ 1, 2, 3, 5, 6, 7 จึงไม่มีความผิด พิพากษายกฟ้อง

แต่คดีมีปัญหาวินิจฉัยต่อว่า นายสมคาด สืบตระกูล อดีตเลขานุการผู้ว่า กทม. จำเลยที่ 4 และ นายชวน พัฒนวรานนท์ อดีตผู้อำนวยการเขตบางซื่อ จำเลยที่ 8 มีความผิดฐานเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินฯ ตามมาตรา 149, 151, 157 ประกอบ ม.83 หรือไม่ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบเจ้าของที่ดิน, เจ้าหน้าที่ฝ่ายการคลังเขตบางซื่อ และเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร เบิกความสอดคล้องกันรับฟังได้ว่า หลังจากจำเลยที่ 8 ได้จดทะเบียนรับโอนที่ดินแล้วเมื่อปี 2539 แล้ว ต่อมาช่วงระหว่างเดือน ก.ย.-ต.ค.2540 นายสุพจน์ เจ้าของที่ดินได้เขียนเช็ค 2-3 ครั้ง จำนวน 18 ล้านบาทให้นายชูศักดิ์ ศรีประเสริฐนายหน้าขายที่ดินซึ่งอ้างว่าเพื่อจ่ายค่านายหน้าและค่าธรรมเนียมที่ดิน แต่ปรากฏว่าภายหลังมีการนำแคชเชียร์เช็ค เข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 8 ในช่วงเวลาที่ต่อเนื่องหลังจากการซื้อขายที่ดิน จึงเชื่อว่าเป็นเงินที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายที่ดินของ กทม. และแม้จะข้อสงสัย ที่ ดร.พิจิตต จำเลยที่ 1จะไม่ได้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน และไม่ได้ยื่นแบบภาษีเงินที่มีเงินเข้า แต่พยานหลักฐานโจทก์ ก็ไม่ได้แสดงว่าจำเลยที่ 1 รับเงินดังกล่าวจากการซื้อที่ดินโดยมิชอบ พยานหลักฐานที่โจทก์ นำสืบมาจึงฟังได้เพียงว่า นายสมคาด จำเลยที่ 4 และ 8 เรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินฯ และใช้อำหน้าที่โดยมิชอบ

จึงพิพากษาว่า นายสมคาด จำเลยที่ 4 กระทำผิดตามมาตรา 149 ให้จำคุก 8 ปี ส่วนนายชวน จำเลยที่ 8 กระทำผิดฐานเรียกรับทรัพย์สินฯ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตามมาตรา 149 และ 157 ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุด จำคุกจำเลยที่ 8 เป็นเวลา 10 ปี ตามมาตรา 149

ภายหลังฟังคำพิพากษา ทีมทนายเตรียมยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด เพิ่มจากทรัพย์เดิมที่จำเลยที่ 4 และที่ 8 เคยได้รับการประกันไว้ระหว่างพิจารณาคดี คนละ 500,000 บาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 4 และ ที่ 8 ระหว่างอุทธรณ์คดี

ด้าน ดร.พิจิตต อดีตผู้ว่าฯ กทม. กล่าวภายหลังว่า คดีนี้ทุกฝ่ายทั้งตำรวจ อัยการ รวมทั้ง ป.ป.ช.ได้ทำหน้าที่อย่างโปร่งใสตรงไปตรงมาแล้ว ส่วนอัยการโจทก์จะยื่นอุทธรณ์คดีอีกหรือไม่นั้นไม่ทราบ ต้องรอดูอีกครั้ง
กำลังโหลดความคิดเห็น