ASTVผู้จัดการรายวัน - บางจากจ่อซื้อเหมืองลิเทียมจากสหรัฐฯ ทุ่ม 5 ล้านเหรียญสหรัฐเข้าซื้อหุ้นWLC คิดเป็น 7% ของทุนจดทะเบียน พร้อมทั้งเล็งศึกษาขยายลงทุนโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่นเพิ่มเติมอีก 40เมกะวัตต์ ส่วนการลงทุนในไทยมีแผนจะเพิ่มปั๊มน้ำมัน 40แห่งในปีนี้ หวังดันส่วนแบ่งการตลาดขยับเหนือ 15%
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)(BCP) เปิดเผยว่า คณะกรรมบริษัทฯเห็นชอบให้บริษัทเข้าไปลงทุนในเหมืองลิเทียมที่ลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยบางจากฯจะใช้เงินเบื้องต้นประมาณ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อไปถือหุ้นในเหมืองลิเทียมของบริษัท Western Lithium (WLC) ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แคนาดา คิดเป็นในสัดส่วน 7% ภายในกลางปีนี้ อย่างไรก็ตาม ยังมองโอกาสในการเพิ่มถือหุ้นเหมืองลิเทียมขึ้น พร้อมร่วมทุนตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่รองรับผลผลิตดังกล่าว
ทั้งนี้ บริษัท WLCมีเหมืองลิเทียมที่มีปริมาณสำรองประมาณ 2 ล้านตัน รองรับการผลิตได้นานถึง 20-30 ปี ซึ่งตามแผนบริษัท เวสเทิร์น ลิเทียมฯจะลงทุนโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียม ขนาด 2 หมื่นตัน/ปี ใช้เงินลงทุนประมาณ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี2560 โดยแบตเตอรี่ลิเทียมที่ผลิตได้จะป้อนให้กับบริษัทรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่อย่างTesla
การตัดสินใจลงทุนในธุรกิจนี้ เนื่องจากอนาคตความต้องการใช้ลิเทียมจะเติบโตสูงมาก คาดว่าภายใน 10ปีข้างหน้าจะโตเป็น 3 เท่า ขณะที่ความต้องการใช้แบตเตอรี่ลิเทียมจะโตมากกว่านั้นอีก โดยราคาลิเทียมในตลาดโลกอยู่ที่ 6,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน เห็นว่าการลงทุนดังกล่าวไม่มีความเสี่ยงทั้งด้านการตลาดและการผลิต บางจากฯคาดว่าจะรับรู้รายได้จากธุรกิจนี้ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ บางจากยังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อแหล่งปิโตรเลียมใหม่อีก 1-2 แห่ง เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่จะเพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมเป็น 1 หมื่นบาร์เรล/วันภายในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันที่มีปริมาณการผลิต 3.5 พันบาร์เรล/วันภายหลังจากการที่ Nido Petroleum Limited (Nido) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เข้าไปถือหุ้นในแหล่ง GALOC เพิ่มขึ้นเป็น 55%
ส่วนความคืบหน้าการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มที่ประเทศญี่ปุ่นว่า บริษัทจะร่วมทุนกับพันธมิตร คือ เชาว์ สตีล ทำโรงไฟฟ้าโซลาร์ ฟาร์ม กำลังผลิต 60เมกะวัตต์ ที่เมืองชิบะ ใช้เงินลงทุน 6 พันล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2559 โดยบริษัทถือหุ้นใหญ่ 70% และบมจ.เชาว์ สตีล อินดัสทรี้(CHOW) 30% ขณะนี้มีแผนจะดึงพันธมิตรใหม่เข้ามาร่วมทุนด้วยโดยบางจากจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 50% โดยจัดสรรหุ้น 20%ให้พันธมิตรใหม่
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่นเพิ่มเติมอีก 40เมกะวัตต์ โดยจะร่วมทุนกับกลุ่มพันธมิตรเดิม รวมทั้งอาจจะมีการลงทุนหรือซื้อกิจการโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม ทำให้บางจากมีปริมาณกำลังผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นจาก 118เมกะวัตต์เป็น 200-250เมกะวัตต์ในปีนี้
นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนธุรกิจการตลาด จะใช้เงินลงทุน 1.5 พันล้านบาท เพื่อเพิ่มสถานีบริการน้ำมันขึ้นอีก 40แห่งในปีนี้ จากเดิมที่ขยายปีละ 15-20 แห่ง โดยจะลงทุนทำปั๊มขนาดใหญ่ 5 แห่ง และมีแผนเปิดสถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่ 40 แห่งปีนี้ จากปกติเปิดปีละ 15-20 แห่ง เพื่อรองรับกำลังการกลั่นน้ำมันที่เพิ่มขึ้นแตะระดับ 1.1 แสนบาร์เรล/วัน โดยตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดการจำหน่ายน้ำมันผ่านปั๊มในปีนี้ให้สูงกว่า 15% จากปัจจุบันอยู่ที่ 14.7% เป็นอันดับ 2 รองจากปตท.
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯมั่นใจว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย(EBITDA) จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 10,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 5,162 ล้านบาทในปีที่แล้ว แม้ในไตรมาส 1/58 จะทำ EBITDA ได้ต่ำกว่าเป้าหมายมาที่ 2,333 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการรับรู้ขาดทุนสต็อกน้ำมัน แต่ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบในช่วงที่เหลือของปีนี้จะอยู่ที่ราว 58-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งสูงกว่าในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ จึงจะไม่มีการขาดทุนสต็อกน้ำมันเหมือนไตรมาสแรกปีนี้
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)(BCP) เปิดเผยว่า คณะกรรมบริษัทฯเห็นชอบให้บริษัทเข้าไปลงทุนในเหมืองลิเทียมที่ลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยบางจากฯจะใช้เงินเบื้องต้นประมาณ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อไปถือหุ้นในเหมืองลิเทียมของบริษัท Western Lithium (WLC) ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แคนาดา คิดเป็นในสัดส่วน 7% ภายในกลางปีนี้ อย่างไรก็ตาม ยังมองโอกาสในการเพิ่มถือหุ้นเหมืองลิเทียมขึ้น พร้อมร่วมทุนตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่รองรับผลผลิตดังกล่าว
ทั้งนี้ บริษัท WLCมีเหมืองลิเทียมที่มีปริมาณสำรองประมาณ 2 ล้านตัน รองรับการผลิตได้นานถึง 20-30 ปี ซึ่งตามแผนบริษัท เวสเทิร์น ลิเทียมฯจะลงทุนโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียม ขนาด 2 หมื่นตัน/ปี ใช้เงินลงทุนประมาณ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี2560 โดยแบตเตอรี่ลิเทียมที่ผลิตได้จะป้อนให้กับบริษัทรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่อย่างTesla
การตัดสินใจลงทุนในธุรกิจนี้ เนื่องจากอนาคตความต้องการใช้ลิเทียมจะเติบโตสูงมาก คาดว่าภายใน 10ปีข้างหน้าจะโตเป็น 3 เท่า ขณะที่ความต้องการใช้แบตเตอรี่ลิเทียมจะโตมากกว่านั้นอีก โดยราคาลิเทียมในตลาดโลกอยู่ที่ 6,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน เห็นว่าการลงทุนดังกล่าวไม่มีความเสี่ยงทั้งด้านการตลาดและการผลิต บางจากฯคาดว่าจะรับรู้รายได้จากธุรกิจนี้ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ บางจากยังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อแหล่งปิโตรเลียมใหม่อีก 1-2 แห่ง เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่จะเพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมเป็น 1 หมื่นบาร์เรล/วันภายในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันที่มีปริมาณการผลิต 3.5 พันบาร์เรล/วันภายหลังจากการที่ Nido Petroleum Limited (Nido) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เข้าไปถือหุ้นในแหล่ง GALOC เพิ่มขึ้นเป็น 55%
ส่วนความคืบหน้าการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มที่ประเทศญี่ปุ่นว่า บริษัทจะร่วมทุนกับพันธมิตร คือ เชาว์ สตีล ทำโรงไฟฟ้าโซลาร์ ฟาร์ม กำลังผลิต 60เมกะวัตต์ ที่เมืองชิบะ ใช้เงินลงทุน 6 พันล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2559 โดยบริษัทถือหุ้นใหญ่ 70% และบมจ.เชาว์ สตีล อินดัสทรี้(CHOW) 30% ขณะนี้มีแผนจะดึงพันธมิตรใหม่เข้ามาร่วมทุนด้วยโดยบางจากจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 50% โดยจัดสรรหุ้น 20%ให้พันธมิตรใหม่
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่นเพิ่มเติมอีก 40เมกะวัตต์ โดยจะร่วมทุนกับกลุ่มพันธมิตรเดิม รวมทั้งอาจจะมีการลงทุนหรือซื้อกิจการโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม ทำให้บางจากมีปริมาณกำลังผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นจาก 118เมกะวัตต์เป็น 200-250เมกะวัตต์ในปีนี้
นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนธุรกิจการตลาด จะใช้เงินลงทุน 1.5 พันล้านบาท เพื่อเพิ่มสถานีบริการน้ำมันขึ้นอีก 40แห่งในปีนี้ จากเดิมที่ขยายปีละ 15-20 แห่ง โดยจะลงทุนทำปั๊มขนาดใหญ่ 5 แห่ง และมีแผนเปิดสถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่ 40 แห่งปีนี้ จากปกติเปิดปีละ 15-20 แห่ง เพื่อรองรับกำลังการกลั่นน้ำมันที่เพิ่มขึ้นแตะระดับ 1.1 แสนบาร์เรล/วัน โดยตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดการจำหน่ายน้ำมันผ่านปั๊มในปีนี้ให้สูงกว่า 15% จากปัจจุบันอยู่ที่ 14.7% เป็นอันดับ 2 รองจากปตท.
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯมั่นใจว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย(EBITDA) จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 10,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 5,162 ล้านบาทในปีที่แล้ว แม้ในไตรมาส 1/58 จะทำ EBITDA ได้ต่ำกว่าเป้าหมายมาที่ 2,333 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการรับรู้ขาดทุนสต็อกน้ำมัน แต่ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบในช่วงที่เหลือของปีนี้จะอยู่ที่ราว 58-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งสูงกว่าในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ จึงจะไม่มีการขาดทุนสต็อกน้ำมันเหมือนไตรมาสแรกปีนี้