รอยเตอร์ - กระทรวงการคลังนอร์เวย์เผยเมื่อวันจันทร์ (20 เม.ย.) กำลังทบทวนนโยบายอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้า หลังมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลที่ทำให้ประเทศแห่งชาติกลายเป็นผู้ใช้รถยนต์พลังงานแบตเตอรีรายใหญ่ที่สุดของโลก ส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐ
นอร์เวย์จดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าครบคันที่ 50,000 เมื่อวันจันทร์ (20 เม.ย.) เร็วกว่าที่คาดหมายไว้เกือบ 3 ปี อันเป็นผลจากแผนการต่างๆ ของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นลดภาษีและมอบสิทธิประโยชน์มากมาย ในนั้นรวมถึงได้รับการยกเว้นค่าผ่านทาง จอดรถฟรี มีสถานีชาร์จแบตเตอรี่ฟรี และอนุญาตให้ใช้บัสเลน
แค่เฉพาะตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ในบรรดารถยนต์ที่จำหน่ายได้ในนอร์เวย์ ชาติที่มีประชากรแค่ 5.1 ล้านคน มี 1 ใน 5 ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า คิดเป็นถึง 1 ใน 3 ของรถยนต์พลังงานแบตเตอรี่ที่ขายออกในยุโรปเมื่อปีที่แล้ว
“เป้าหมายของเราคือนำเสนอข้อตกลงสุดท้ายในการทบทวนอนาคตของภาษีรถยนต์และเชื้อเพลิง” กระทรวงการคลังแถลง “ผลลัพธ์ของการทบทวนจะมีการแถลงในร่างแก้ไขงบประมาณ (มีกำหนดในเดือนพฤษภาคม)"
มาตรการจูงใจในปัจจุบัน เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2012 แต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเมื่อปีที่แล้ว หลังยอดขายเทสลา โมเดล เอส พุ่งทะยาน ทำให้คาดหมายว่ารัฐบาลต้องสูญเสียรายได้ไปกว่า 3 ถึง 4 ล้านโครน หรือราว 380 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึง 510 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(ประมาณ 12,000 ล้านบาทถึง 16,000 ล้านบาท) ทั้งนี้ด้วย เทสลา โมเดล เอส เป็นรถยนต์ที่มีราคาค่อนข้างแพง จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ก่อเสียงเรียกร้องให้เลิกโครงการอุดหนุนที่เอื้อแก่คนรวย
อย่างไรก็ตาม ทางฝั่งสมาคมรถยนต์ไฟฟ้านอร์เวย์โต้แย้งว่า โครงการนี้มีประโยชน์และจำเป็นต้องเดินหน้ามาตรการดังกล่าว โดยอ้างว่า ณ ปัจจุบันมีรถยนต์ไฟฟ้าสัญจรบนท้องถนนคิดเป็นแค่ร้อยละ 2 ของยานพาหนะทั้งหมด ถือจำนวนที่เล็กน้อยมาก แม้ว่านอร์เวย์จะเป็นผู้นำในด้านนี้ของโลกและทิ้งห่างชาติอื่นๆ อยู่ก็ตาม
นอร์เวย์เป็นชาติที่ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานน้ำเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นผลลัพธ์ของการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์พลังงานแบตเตอรี่คือการลดก๊าซเรือนกระจก ส่วนหนึ่งในแผนลดมลพิษให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 40 จากระดับเมื่อปี 1990 ภายในปี 2030