ASTVผู้จัดการรายวัน – นักวิชาการแนะรัฐเดินหน้า “ภาษีที่ดินฯและภาษีมรดก เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ แนะออกมาตรการภาษีบวกแพ็คเกจหวังสร้างแรงสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ชี้หากรัฐชะลอจัดเก็บภาษีที่ดินฯ ฉุดการปฏิรูปการคลังล่าช้าส่งผลรัฐก่อหนี้เพิ่มเพื่อนำเงินมาใช้จ่าย
ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิปดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงการการปฏิรูปภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ : ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และภาษีมรดก ว่า รัฐบาลควรใช้โอกาสขณะนี้ดำเนินการผลักดันการปฏิรูปภาษีทั้งระบบเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้นและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
สำหรับยุทธวิธีในการดำเนินการควรจะเสนอเป็นมาตรการรวมทั้งแพ็คเกจเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆ ในสังคม เก็บภาษีเพิ่มเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ, ปฏิรูปด้วยการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ลดภาษีด้วยการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคล เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน กระตุ้นให้เกิดการทำงาน การลงทุนและการขยายกิจการเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ประโยชน์ของยุทธศาสตร์ของการปฏิรูปภาษี คือ การสร้างความเป็นธรรม เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน การสร้างฐานรายได้ที่ยั่งยืนระยะยาว และมากพอที่จะนำไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจต่างๆ ในการบริการประชาชน รวมทั้งการลงทุนทางด้านการศึกษา สาธารณสุขและระบบสวัสดิการต่างๆ
ผศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า การชะลอการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอาจทำให้การปฏิรูปการคลังล่าช้าออกไปทั้งระบบ และทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องก่อหนี้สาธารณะเพิ่มเติมเพื่อนำมาใช้จ่าย อย่างไรก็ดี การเดินหน้าดำเนินการพร้อมกับการประชาสัมพันธ์น่าจะทำให้เกิดความสำเร็จได้ในรัฐบาลชุดนี้ เพราะเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชน รวมทั้งจะเป็นผลงานสำคัญในเรื่องการปฏิรูปเศรษฐกิจ
ทั้งนี้การกระจุกตัวของการถือครองที่ดินในสังคมไทยถือว่าเป็นปัญหาที่อยู่ในระดับรุนแรงมากๆ เนื่องจาก กลุ่มที่ถือครองที่ดินสูงสุด 20% แรกถือครองที่ดินมากกว่ากลุ่มที่ถือครองที่ดินต่ำสุด 20% ล่างสุด มากถึง 325 เท่า ซึ่งกลุ่มที่ถือครองที่ดินสูงสุด 20% แรกนี้ยังถือครองที่ดินคิดเป็น 80% กว่า และคนที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศนี้ 10% แรก ถือครองที่ดินเกือบ 90% ของทั้งประเทศ
ผลการวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินยังพบว่า มีค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคหรือกระจายการถือครองที่ดินสูงถึง 0.89 ซึ่งการที่ค่า Gini Coeficient มีค่าสูงเกือล 0.9 สะท้อนถึงความไม่เป็นธรรมและความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจที่รุนแรง
ผศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวว่า ระบบภาษีของไทยนั้นเป็นภาระต่อผู้มีรายได้น้อยมากกว่าผู้มีรายได้สูง เนื่องจากรัฐบาลไทยพึ่งภาษีทางอ้อมเป็นหลัก การใช้จ่ายของภาครัฐหลายส่วนก็เอื้อต่อคนรวยมากกว่าคนจน และก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองใหญ่กับชนบท เช่น การก่อสร้างถนนและขนส่วนมวลชนขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล การเน้นก่อสร้างถนนมากกว่าระบบขนส่งมวลชน การอุดหนุนการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษามากกว่าระดับพื้นฐานเป็นต้น
“หากไม่แก้ปัญหาเหล่านี้ก็ยากที่จะทำให้ระบบการเมืองไทยมีเสถียรภาพและประชาธิปไตยมีความเข้มแข็งอย่างแท้จริง”ผศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าว
4สำหรับภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/58 นี้จะขยายตัวได้ประมาณ 6-6.7% กระเตื้องขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/57 และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกและยังเชื่อว่า GDP จะเติบโตตามที่คาดการณ์ไว้คือ 2.7-3% และปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยทั้งปีมาอยู่ที่ 3-3.9% ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ 4% ที่ได้คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2557
ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิปดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงการการปฏิรูปภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ : ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และภาษีมรดก ว่า รัฐบาลควรใช้โอกาสขณะนี้ดำเนินการผลักดันการปฏิรูปภาษีทั้งระบบเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้นและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
สำหรับยุทธวิธีในการดำเนินการควรจะเสนอเป็นมาตรการรวมทั้งแพ็คเกจเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆ ในสังคม เก็บภาษีเพิ่มเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ, ปฏิรูปด้วยการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ลดภาษีด้วยการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคล เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน กระตุ้นให้เกิดการทำงาน การลงทุนและการขยายกิจการเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ประโยชน์ของยุทธศาสตร์ของการปฏิรูปภาษี คือ การสร้างความเป็นธรรม เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน การสร้างฐานรายได้ที่ยั่งยืนระยะยาว และมากพอที่จะนำไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจต่างๆ ในการบริการประชาชน รวมทั้งการลงทุนทางด้านการศึกษา สาธารณสุขและระบบสวัสดิการต่างๆ
ผศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า การชะลอการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอาจทำให้การปฏิรูปการคลังล่าช้าออกไปทั้งระบบ และทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องก่อหนี้สาธารณะเพิ่มเติมเพื่อนำมาใช้จ่าย อย่างไรก็ดี การเดินหน้าดำเนินการพร้อมกับการประชาสัมพันธ์น่าจะทำให้เกิดความสำเร็จได้ในรัฐบาลชุดนี้ เพราะเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชน รวมทั้งจะเป็นผลงานสำคัญในเรื่องการปฏิรูปเศรษฐกิจ
ทั้งนี้การกระจุกตัวของการถือครองที่ดินในสังคมไทยถือว่าเป็นปัญหาที่อยู่ในระดับรุนแรงมากๆ เนื่องจาก กลุ่มที่ถือครองที่ดินสูงสุด 20% แรกถือครองที่ดินมากกว่ากลุ่มที่ถือครองที่ดินต่ำสุด 20% ล่างสุด มากถึง 325 เท่า ซึ่งกลุ่มที่ถือครองที่ดินสูงสุด 20% แรกนี้ยังถือครองที่ดินคิดเป็น 80% กว่า และคนที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศนี้ 10% แรก ถือครองที่ดินเกือบ 90% ของทั้งประเทศ
ผลการวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินยังพบว่า มีค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคหรือกระจายการถือครองที่ดินสูงถึง 0.89 ซึ่งการที่ค่า Gini Coeficient มีค่าสูงเกือล 0.9 สะท้อนถึงความไม่เป็นธรรมและความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจที่รุนแรง
ผศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวว่า ระบบภาษีของไทยนั้นเป็นภาระต่อผู้มีรายได้น้อยมากกว่าผู้มีรายได้สูง เนื่องจากรัฐบาลไทยพึ่งภาษีทางอ้อมเป็นหลัก การใช้จ่ายของภาครัฐหลายส่วนก็เอื้อต่อคนรวยมากกว่าคนจน และก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองใหญ่กับชนบท เช่น การก่อสร้างถนนและขนส่วนมวลชนขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล การเน้นก่อสร้างถนนมากกว่าระบบขนส่งมวลชน การอุดหนุนการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษามากกว่าระดับพื้นฐานเป็นต้น
“หากไม่แก้ปัญหาเหล่านี้ก็ยากที่จะทำให้ระบบการเมืองไทยมีเสถียรภาพและประชาธิปไตยมีความเข้มแข็งอย่างแท้จริง”ผศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าว
4สำหรับภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/58 นี้จะขยายตัวได้ประมาณ 6-6.7% กระเตื้องขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/57 และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกและยังเชื่อว่า GDP จะเติบโตตามที่คาดการณ์ไว้คือ 2.7-3% และปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยทั้งปีมาอยู่ที่ 3-3.9% ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ 4% ที่ได้คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2557