ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -จากเหตุฆาตกรรม “ส.ต.อ.หญิง ณปภัช นวลเอียด” ผบ.หมู่ ฝอ.บก.สอ.บช.ตชด. ถูกคนร้ายฆ่าโหดเสียชีวิตในห้องพักแฟลตตำรวจส่วนกลางทุ่งสองห้อง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร และนำไปสู่การทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการ “ผูกคอตาย” ของ “ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ นวลเอียด” ผู้เป็นสามีนั้น ได้กลายเป็น “คดีพิศวาสฆาตกรรม” ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) เป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ เพราะนอกจาก “ตัวละคร” ของเรื่องนี้จะเป็น “ตำรวจ” แล้ว ทั้งคู่ยังเป็นตำรวจที่ทำงานรับใช้ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อีกด้วย
โดยฝ่ายหญิงคือน้องก้อยหรือ ส.ต.อ.หญิงณปภัชรับราชการประจำสำนักงาน ผบ.ตร.ขณะที่ฝ่ายชายคือ หมู่เบิร์ดหรือส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ก็เคยเป็นตำรวจประจำสำนักงานของ พล.ต.อ.สมยศขณะดำรงตำแหน่งรอง ผบ.ตร. ก่อนจะถูกย้ายกลับให้ไปทำงานที่ต้นสังกัดคือตำรวจพลร่มค่ายนเรศวรในเวลาต่อมา
ที่น่าไขปริศนามากที่สุดก็คือ ภายหลังจากที่ ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าเป็นผู้สังหารโหดภรรยาของตนเองได้หลบหนีคดีไป ในเวลาต่อมา ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ได้ตัดสินใจผูกคอตายในร่องป่ากลางถนนมิตรภาพ อำเภอปากช่อง จ.นครราชสีมา พร้อมทั้งใช้มีดปลายแหลมปักติดกับนามบัตรของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง สมัยเป็น รอง ผบ.ตร. เอาไว้บริเวณกิ่งไม้ที่ด้านหน้าศพ
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
ทำไม ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ถึงต้องใช้มีดปักเอาไว้กับนามบัตรของ พล.ต.อ.สมยศก่อนตัดสินใจผูกคอตาย
พล.ต.อ.สมยศมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคดีพิศวาสฆาตกรรมคดีนี้
แถมยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสภาพศพของ ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์อีกต่างหาก เพราะมีร่องรอยของบาดแผลปรากฏบริเวณใบหน้า และบริเวณขาข้างขวา
งานนี้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์จึงดังกระหึ่มไปทั่วทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตลอดรวมถึงชาวบ้านร้านตลาด จน พล.ต.อ.สมยศถึงกับต้องออกมาแถลงข่าวด้วยตนเอง พร้อมสาบานด้วยว่า “ไม่กินไก่วัด”
กล่าวสำหรับ ส.ต.อ.หญิงณปภัชนั้น เป็นตำรวจพลร่มหญิง ต่อมาย้ายมาช่วยราชการประจำสำนักงาน ผบ.ตร. ตามคำร้องขอของ ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ซึ่งเคยเป็นตำรวจติดตาม พล.ต.อ.สมยศมาก่อนที่จะถูกย้ายไปช่วยราชการหน่วยปราบน้ำมันเถื่อน บช.ก. และกลายเป็นตำรวจหญิงหน้าห้องของ พล.ต.อ.สมยศกระทั่งถึงปัจจุบัน
ด้วยเหตุดังกล่าวกล่าว พล.ต.อ.สมยศจึงมีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะผู้บังคับบัญชาโดยตรง
ส.ต.อ.หญิง ณปภัช เป็นคนที่อัธยาศัยดีและหน้าตาดี ได้แต่งงานและอยู่กินกับ ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ นวลเอียด โดยพักอยู่ที่แฟลตตำรวจ บก.สปพ.ถนนวิภาวดีรับสิต กระทั่งถูกแฟนหนุ่มฆาตกรรมด้วยการถูกค้อนทุบศีรษะเสียชีวิตและพบศพเมื่อบ่ายวันที่ 24 เมษายน 2558 ซึ่งเหตุที่เกิดหลายฝ่ายยังกังขาที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงมีคำสั่งกำชับห้ามแพร่งพรายให้สื่อมวลชนรู้ อีกทั้งไม่อนุญาตให้มูลนิธิร่วมกตัญญูเข้าเก็บศพและให้รถพยาบาลของโรงพยาบาลตำรวจทำหน้าที่แทน รวมทั้ง พล.ต.ต.ก่อเกียรติ วงศ์สุเมธ ผบก.น.2 รับเอาคดีไปดูด้วยตนเอง(หนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันที่ 27 เมษายน 2558)
น.ส.พิชาพร บุญรุ่ง พี่สาว ให้ข้อมูลว่า ส.ต.อ.หญิง ณปภัชอยู่กินกับฝ่ายชายมากว่า 2 ปีแล้ว โดยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2557 และเพิ่งพากันย้ายมาอยู่ที่แฟลตตำรวจ สน.ทุ่งสองห้องได้ไม่นาน ทั้งนี้ ที่ผ่านมาฝ่ายชายมีอุปนิสัยใจร้อน ขี้หึง มักมีปากเสียงกับน้องสาวเป็นประจำ และเคยมีประวัติทำร้ายร่างกายน้องสาวมาแล้ว
1 วันหลังจากพบศพ ส.ต.อ.หญิง ณปภัช วันที่ 25 เมษายน 2558 เจ้าหน้าที่ตำรวจก็พบศพ ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ ซึ่งตัดสินใจผูกคอตายกับกิ่งต้นกระถินยักษ์
สำหรับคดีพิศวาสฆาตกรรมคดีนี้ ตำรวจให้ข้อมูลไปในทิศทางเดียวกัน โด “พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง” ผกก.5 ป. หลานชายของ พล.ต.อ.สมยศเปิดเผยว่า หลังรับแจ้งพบศพ ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ก็รีบมาร่วมตรวจที่เกิดเหตุด้วย เพราะเป็นอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นทีมงานติดตาม พล.ต.อ.สมยศมาด้วยกัน
พ.ต.อ.ภูมินทร์บอกด้วยว่า ปกติผู้ตายเป็นคนใจร้อน ขึ้หึง ภรรยาโทรศัพท์คุยกับใครก็ไม่ได้ ก่อนเกิดเหตุทราบว่า ภรรยาที่เป็นตำรวจขอย้ายไปทำงานที่อื่น โดย ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ทำเรื่องขอย้ายไปอยู่ด้วย แต่สุดท้ายไม่มีชื่อ จึงอาจจะเกิดความเครียดที่ไม่ได้ย้ายตามไปอยู่ด้วย และคิดว่า ผบ.ตร.ไม่ให้ย้าย รวมทั้งหนีความผิดที่ก่อเหตุฆ่าภรรยาตัวเองด้วย
สอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร.และโฆษก ตร. ที่บอกว่า ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ เคยเป็นตำรวจประจำสำนักงาน พล.ต.อ.สมยศขณะเป็น รอง ผบ.ตร. แต่เป็นคนอารมณ์ร้อนและใจร้อน จึงมีคำสั่งให้ย้ายกลับไปต้นสังกัด ส่วนฝ่ายหญิงมาช่วยราชการประจำสำนักงาน ผบ.ตร.ในช่วงนี้อยู่ระหว่างการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งระดับรองสารวัตรถึงชั้นประทวน ฝ่ายหญิงได้ขอย้ายไปประจำที่ตำรวจทางหลวง จ.อุทัยธานี ส่วนฝ่ายขายได้ขอย้ายตามไปด้วยยังอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการ แต่ต่อมาฝ่ายชายทราบว่าตัวเองไม่มีรายชื่อ อาจจะเกิดความโกรธและทะเลาะกับฝ่ายหญิงถึงขั้นก่อเกตุและหลบหนีไป
ปริศนาและคำถามที่ชวนให้คิดในชั้นนี้ก็คือ กะอีแค่ไม่ได้ย้ายตามจะถึงขนาดกับต้องตัดสินใจฆ่าภรรยาของตัวเองเลยหรือ?
ปริศนาและคำถามที่ชวนให้คิดในชั้นนี้คือ ทำไป ส.ต.อ.หญิง ณปภัชถึงขอย้ายไปอยู่ตำรวจทางหลวง จังหวัดอุทัยธานี ทั้งที่เป็นคนลพบุรี
ปริศนาและคำถามที่ชวนให้คิดก็คือ ทำไม ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ที่ขอย้ายตามภรรยาไป จึงไม่ได้รับการอนุมัติ ทั้งๆ ที่โดยปกติเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์โกรธที่ถูกปฏิเสธการย้ายถึงกับต้องใช้เหล็กขูดชาร์ฟปักนามบัตร พล.ต.อ.สมยศติดกับต้นไม้ก่อนผูกคอตายเชียวหรือ
ขณะที่ พล.ต.อ.สมยศตั้งโต๊ะแถลงข่าวเมื่อวันที่ 26 เมษายน โดยร่ายยาวและแจกแจงในทุกรายละเอียด โดยให้เหตุผลว่า เป็นเพราะมีคำถามตามมามากมาย ดังนั้น เพื่อให้เป็นที่กระจ่าง จึงสมควรออกมาพูดเรื่องนี้เอง
พล.ต.อ.สมยศให้ข้อมูลว่า ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ ถูกส่งตัวมาทำหน้าที่ชุดติดตามตนเอง ขณะดำรงตำแหน่ง รองผบ.ตร. ซึ่งปฏิบัติงานอยู่ประมาณ 6 เดือน ก็ถูกส่งตัวกลับต้นสังกัด เนื่องจาก ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ ประพฤติตนไม่เหมาะสม ไม่มีวินัย และมีอารมณ์รุนแรง ทีมนายตำรวจติดตามมองว่าหากให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จะส่งผลกระทบต่อตำแหน่งหน้าที่ของตนเอง โดยในวันที่ส่งตัวกลับก็ได้เรียกตัว ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ มาสอบถามว่า โกรธหรือไม่ที่นายส่งตัวกลับ ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่าไม่โกรธ เข้าใจดี รู้ตัวว่าเป็นความผิดของเขาที่ทำตัวไม่ดี ไม่เหมาะสม
ทั้งนี้ในระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ ได้ขอให้ช่วยย้ายบิดาจาก ตชด.มาสังกัดบกภ.จว.สมุทรสงคราม ซึ่งก็ดำเนินการให้ จากนั้นก็มาขอให้ช่วยย้ายภรรยา คือ ส.ต.อ.หญิง ณปภัช จาก ตชด.ให้มาช่วยราชการที่สำนักงาน ก็ดำเนินการให้อีก เพราะมองว่าสามีภรรยาหากได้อยู่ด้วยกันก็เป็นเรื่องที่ดี ประหยัดค่าใช้จ่าย โดยให้นายเวรเป็นผู้ดำเนินการเรื่องต่างๆ เพราะที่ผ่านมาไม่ได้ลงไปดูแลหรือสุงสิงกับผู้ใต้บังคับบัญชาภายในสำนักงานมากนัก เนื่องจากมีภารกิจมากมาย
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวต่อว่าเมื่อได้รับรายงานจากนายตำรวจติดตามว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับ ส.ต.อ.หญิง ณปภัช เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 24 เมษายน ที่ผ่านมา ก็รู้สึกตกใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร หลังจากได้รับทราบตนเอง และคนใกล้ชิด รู้ทันทีเลยว่าจะต้องเป็นการกระทำของ ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ อย่างแน่นอน และเป็นห่วงว่าเขาจะทำอะไรไม่ดีกับตัวเอง เพราะทุกคนในสำนักงานต่างรู้นิสัยเขาดี เพราะเขาเป็นคนขี้โมโห อารมณ์รุนแรง บ้าระห่ำ และที่สำคัญชอบคิ ดไปเอง เพ้อฝันไปเอง
โดยหลังทราบเรื่องก็ได้สอบถามหาสาเหตุจากนายเวร และตำรวจภายในสำนักงาน ก็ได้รับแจ้งว่า เมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา ส.ต.อ.หญิง ณปภัช ได้มาแจ้งกับทีมงานว่าประสงค์จะขอย้ายไป ตำรวจทางหลวง จ.อุทัยธานี และขอให้ช่วยย้าย ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ ด้วย หลังเกิดเรื่องทุกคนก็คิดเหมือนกันว่าสาเหตุสำคัญน่าจะมาจากกรณีที่หลังจากมีการรวบรวมรายชื่อปรากฏว่ามีรายชื่อ ส.ต.อ.หญิง ณปภัช แต่ไม่มีรายชื่อ ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ ทำให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ หรือไม่พอใจตน และอาจจะคิดว่า ส.ต.อ.หญิง ณปภัช ไม่ให้การช่วยเหลือ
“ผมมอยากทำความเข้าใจว่าการโยกย้ายยังไม่เกิดขึ้น เพียงแต่ตำรวจหน้าห้องหวังดีกับตำรวจที่มาช่วยราชการในสำนักงานว่า เมื่อผมเกษียณอายุราชการก็จะสนับสนุนผู้ใต้บังคับบัญชาให้ย้ายไปดำรงตำแหน่งที่เขาต้องการ เป็นเพียงการสอบถามเฉยๆ แต่ก็ยังไม่ได้มีการพิจารณา และยังไม่ได้มีการส่งเรื่องให้ผมพิจารณา ผมเองไม่เคยรับรู้รับทราบ เป็นการเตรียมการกันเองของนายเวรและตำรวจภายในสำนักงาน ผมไม่เคยบอกให้เข้าเตรียมการ ซึ่งรายชื่อตรงนี้เป็นรายชื่อที่ตำรวจภายในสำนักงานมีการเตรียมกันไม่เกี่ยวกับผมเลย เป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิด เป็นเรื่องที่ ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ ไปคิดเองว่าจะมีการโยกย้าย ส.ต.อ.หญิง ณปภัช ได้ย้าย แต่ตัวเองไม่ได้ย้าย อีกอย่างอำนาจการแต่งตั้งโยกย้ายระดับชั้นประทวนเป็นของผบช. ไม่ใช่อำนาจผม แต่ถ้าอยากจะสนับสนุนผู้ใต้บังคับบัญชาก็ทำหนังสือไปยังผบช.แต่ละหน่วย ให้ช่วยสนับสนุน ถ้าเขาให้ก็ได้ ถ้าเขาไม่ให้ก็ได้ จากสอบถามคนใกล้ชิด เหมือนว่า ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ กดดันให้ ส.ต.อ.หญิง ณปภัช มาขอร้องหรือมาขอความช่วยเหลือกับผู้บังคับบัญชาให้ช่วยย้ายเขาด้วย แต่อย่างที่บอกยังไม่ถึงขั้นตอนนั้น เขาคิดไปเอง จิตเขาวิตกไปเอง จึงก่อเหตุเศร้าสลดขึ้น ผมไม่ทราบว่าเขาคิดอะไร”
ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า ถ้าหากเขาเดินมาหาผม ผมอาจจะช่วยเหลือเขาให้ได้ย้าย เพราะเขาเป็นสามีภรรยา เขาควรได้อยู่ด้วยกัน ทั้งนี้ทราบจากคนใกล้ชิดว่าเขาเป็นคนใจร้อนขี้โมโห มักทุบตีทำร้าย ส.ต.อ.หญิง ณปภัช อยู่เป็นประจำ นี่เป็นอีกเหตุผลที่ตนต้องให้เขากลับไป เพราะหากมาทะเลาะเบาะแว้งในสำนักงานเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม
ทั้งนี้ รู้สึกเสียใจที่ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองคนต้องมาจบชีวิตเพราะความเข้าใจผิด เพราะความน้อยเนื้อต่ำใจ ส่วนที่มีการใช้มีดปักนามบัตรกับต้นไม้ จนทำให้สังคมคิดไปได้ต่างๆ นานา แต่ตนยืนยันว่ามันเป็นอย่างนี้จริงๆ และไม่รู้สึกโกรธ เพราะเป็นผู้ใหญ่แต่มองว่าเป็นการทิ้งประเด็นความสงสัยให้กับสังคมว่าตนไปกลั่นแกล้งรังแก หรือไปขัดขวางอะไรเขา ซึ่งยืนยันว่าไม่มี การแต่งตั้งโยกย้ายยังไม่เกิดขึ้น ตนทำได้เพียงแนะนำผู้ใต้บังคับบัญชาให้พิจารณาเท่านั้น แต่นี่มันยังไม่ถึงเวลา จะมาโทษตนไม่ได้
ทีนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญคือ เมื่อมีการถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ฝ่ายชายอาจจะเข้าใจผิดว่าฝ่ายหญิงมีความสนิทสนมกับ ผบ.ตร. พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่ได้มีความสนิทสนมส่วนตัวกับ ส.ต.อ.หญิง ณปภัช เพียงรู้ว่าเป็นตำรวจที่มาช่วยราชการที่สำนักงาน และไม่เคยคุยกับ ส.ต.อ.หญิง ณปภัช ชื่อจริงก็เพิ่งรู้ตอนที่เป็นข่าวแล้ว แต่ถ้ามีเรื่องชู้สาวก็ไม่เกี่ยวกับตนเอง และยืนยันว่าสาเหตุสำคัญน่าจะมาจากเขาโกรธว่าตนเองไปขัดขวางไม่ให้เขาได้โยกย้ายมากกว่า
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าขำ แต่คนก็มีสิทธิที่จะคิดแบบนั้นได้ แต่ยืนยันว่าที่ผ่านมาผู้ใต้บังคับบัญชาผู้หญิงจะเข้าห้องทำงานส่วนตัวของผมคนเดียวไม่ได้ ตำรวจหญิงไม่มีสิทธิอยู่ในห้องทำงานกับผมสองต่อสอง ผมถือเรื่องนี้มาโดยตลอด อีกอย่างตำรวจหญิงที่มาช่วยราชการที่สำนักงานจะต้องแต่งงานแล้ว หรือมีคู่สมรสแล้วเท่านั้น เรื่องนี้จะเอาผมไปสาบานที่วัดพระแก้วก็ได้ ยืนยันไม่เคยคิดกับลูกน้องในทางชู้สาว ไม่เคยเอานิสัยสมภารกินไก่วัดมาใช้กับลูกน้อง ผมยืนยันไม่มีเด็ดขาด เรื่องที่จะมาเกี่ยวข้องกับผม ขอให้ตัดประเด็นไปได้เลย ผมไม่มีสันดานที่จะไปยุ่งหรือเกาะแกะกับผู้ใต้บังคับบัญชา”
เมื่อถามถึงกรณีที่มีการสั่งปิดข่าว ผบ.ตร. กล่าวว่า ขอยืนยันไม่ได้เป็นคนสั่งปิดข่าว และขอปฏิเสธเรื่องนี้ เพราะรู้เรื่องนี้เกือบ 20.00 น. วันที่ 24 เมษายนหลังประชุมผู้บริหาร ตร. เกี่ยวกับประเด็นปฏิรูปตำรวจและการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ หลังจากนั้นก็มีประชุมเรื่องประกวดพระต่อ หลังเลิกประชุมนายตำรวจติดตามได้มาแจ้งให้ทราบ จะเอาเวลาที่ไหนไปสั่งให้ปิดข่าว แต่คาดว่าเป็นความหวังดีของผู้ใต้บังคับบัญชาทำไปเอง ด้วยความประสงค์ดี แต่ยืนยันว่าไม่มีการสั่งให้ปิดข่าวอย่างแน่นอน
นั่นคือเนื้อหาสาระ ที่ พล.ต.อ.สมยศชี้แจงเอาไว้อย่างละเอียดยิบ
นอกจากการแถลงข่าวด้วยตัวเองแล้ว ในวันถัดมาคือวันที่ 27 เมษายน พล.ต.อ.สมยศยังได้มอบเงินบริจาคให้กับสถาบันนิติเวชวิทยา จำนวนเงิน 50,000 บาท สำหรับซื้อโลงศพให้แก่ผู้ที่เสียชีวิตยากไร้หรือศพไม่มีญาติ โดย พ.ต.อ.หญิง ปิยมน สุนทราภา รอง ผบก.สถาบันนิติเวชวิทยา เป็นผู้รับมอบเงินจำนวนดังกล่าวซึ่งทางสถาบันนิติเวชวิทยาจะนำไปจัดซื้อโลงศพในราคาโลงละ 1,300 บาทต่อไป
“ผมตั้งใจจะทำบุญเพื่อที่จะอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เพื่อนข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิต รวมถึงลูกน้องที่เพิ่งเสียชีวิต ขอให้กุศลที่ทำในวันนี้จงแผ่ไพศาลถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และดวงวิญญาณทั้งหลายที่อยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติจงได้รับส่วนกุศลนี้ด้วย ขอให้เพื่อนข้าราชการตำรวจที่ล่วงลับไปแล้วและผู้ใต้บังคับบัญชาที่ล่วงลับไปแล้วจงมารับกุศลนี้ไปด้วย” พล.ต.อ.สมยศกล่าวอย่างจริงจัง พร้อมปฏิเสธจะให้ความคิดเห็นถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกล่าวเพียงสั้นๆว่า อธิบายไปหมดแล้วเมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา
ประเด็นที่น่าสนใจถัดมาคือ ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ฆ่าตัวตายเองจึงหรือไม่ ซึ่งประเด็นนี้มีจุดพิรุธในหลายประการด้วยกัน โดยผู้ที่ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ในเบื้องต้นอย่างมีเหตุมีผลก็คือ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรคจนสุนันทน์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์
พญ.คุณหญิงพรทิพย์บอกว่า จากการดูภาพถ่ายผู้ตาย ซึ่งมีโอกาสได้เห็น 2 ภาพ แบบมองไกลๆ มองดูแล้วเหตุผูกคอตายเคสนี้น่าสนใจ เนื่องจากที่ศพคนตายมีร่องรอยบาดแผลหลายแห่ง โดยเฉพาะที่หน้าแข้งข้างขวามีร่องรอยฟกช้ำ และบริเวณขาซ้ายมีรอยขีดข่วน ซึ่งต้องตรวจสอบว่า แผลเกิดจากสาเหตุอะไร
เช่นเดียวกับญาติของ ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ซึ่งเป็นหญิงอายุประมาณ 30 ปีเศษที่ไม่เชื่อว่า ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์จะฆ่าตัวตาย เพราะผู้ตายเป็นคนแม่กลอง ทำไมต้องไปผูกคอตายที่ปากช่อง ทำไมไม่มาผูกคอตายใกล้บ้าน พร้อมกล่าว่า ใครทำน้องตนอย่างไรขอให้รับกรรมอย่างนั้น
ต่อมาเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2558 ประเด็นข้อสงสัยต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวก็คลี่คลายลง เมื่อพ.ต.อ.วณัฐ อรรถกวิน รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมาพร้อมด้วย นพ.สฤษดิ์ ศรีนุกูล แพทย์นิติเวช โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาและพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีได้ร่วมกันแถลงข่าวผลการชันสูตรศพ ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์
พ.ต.อ.วณัฐ เปิดเผยว่า จากการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนเชื่อว่าผู้ตายได้ผูกคอฆ่าตัวตายเอง และจากการตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียดก็ไม่พบร่องรอยการต่อสู้แต่อย่างใด โดยก่อนเกิดเหตุมีชาวบ้านเห็นผู้ตายโดยสารมาด้านท้ายกระบะของรถยนต์กระบะคันหนึ่ง และมาลงใกล้กับที่เกิดเหตุเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 24 เมษายน ก่อนมีชาวบ้านไปพบศพผู้ตายผูกคอเสียชีวิตในที่เกิดเหตุเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 25 เมษายนซึ่งระยะเวลาพบศพตรงกับระยะเวลาที่แพทย์ระบุว่าผู้ตายน่าจะเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง อีกทั้งผู้ตายยังเป็นคนรูปร่างใหญ่และจบการฝึกหลักสูตรนเรศวร 261 ซึ่งเป็นหน่วยตำรวจที่มีความเชี่ยวชาญด้านการปฏิบัติการพิเศษ หากกรณีดังกล่าวเป็นการฆาตกรรมก็น่าจะมีร่องรอยการต่อสู้อยู่ในที่เกิดเหตุ
ด้าน นพ.สฤษดิ์ ศรีนุกูล แพทย์นิติเวช โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ซึ่งเป็นผู้ชันสูตรพลิกศพผู้ตาย เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบสภาพศพไม่พบบาดแผลจากการถูกทำร้ายร่างกาย พบเพียงบาดแผลถลอกกดลักษณะเป็นเส้นพาดจากลำคอขึ้นไปบริเวณหลังใบหูสองข้าง ซึ่งลักษณะดังกล่าวตามหลักวิชาการตรงกับลักษณะของการแขวนคอ และไม่พบลักษณะอื่นใดที่จะบ่งชี้ไปว่าเป็นการถูกฆาตกรรม จึงเชื่อได้ว่าการบาดเจ็บที่บริเวณลำคอทำให้ผู้ตายเสียชีวิต และเป็นลักษณะปกติของการผูกคอตายเอง
ทว่า นั่นดูเหมือนจะไม่ทำให้ญาติของ ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์หายข้องใจเท่าใดนัก
28 เมษายน ในพิธีฌาปนกิจศพ ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ ที่วัดป้อมแก้ว อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ก่อนพิธีทอดผ้ามหาบังสุกุล นายชุติพนธ์ เซ่งลอยเลื่อน ลูกพี่ลูกน้องของ ส.ต.อ.ณัตฐพงศ์ได้กล่าวคำไว้อาลัยตอนหนึ่งว่า “ญาติพี่น้องคิดว่าน้องเป็นผู้บริสุทธิ์ น้องเท่านั้นที่จะรู้ว่าใครทำ และขออโหสิกรรมให้น้องผมด้วย”
ถึงวันนี้ คดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญสำนักงานตำรวจแห่งชาติคงจะคลี่คลาย และเงียบหายไปเป็นลำดับ จะหลงเหลือไว้ก็เพียงแค่บาดแผลในใจของญาติพี่น้องและผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเชื่อว่าคงไม่จางหายลงไปง่ายๆ อย่างแน่นอน