ASTV ผู้จัดการรายวัน-ศาลอาญาไม่ชี้ชัดใครลั่นไกสังหาร “วสุ” การ์ด คปท. ตายหน้าสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ปี 56 แม่ผู้ตายยังหวัง ตำรวจลากมือปืนมาลงโทษ ประกาศให้ 1 ล้าน คนแจ้งเบาะแส อีกด้านศาลชี้ “ฮิโรยูกิ มูราโมโตะ” ช่างภาพรอยเตอร์ส ชาวญี่ปุ่น พร้อม 2 นปช. ถูกกระสุนปืนไม่ทราบชนิด ขนาด ยิงที่แยกคอกวัว แต่ไม่รู้วิถีมาจากทางใด “ป้าธิดา” ยังเชื่อฝีมือทหาร เหตุใช้ปืนคนละรุ่นกับชายชุดดำ
วานนี้ (30 เม.ย.) ที่ห้องพิจารณา 708 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลได้นัดฟังคำสั่งการไต่สวนชันสูตรพลิกศพ เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) คดีหมายเลขดำ อช.2/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 ยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนการเสียชีวิตของ นายวสุ สุฉันทบุตร นักศึกษาปริญญาโทประเทศออสเตรเลีย ที่ร่วมชุมนุมกลุ่ม คปท. ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตที่ ศูนย์เยาวชนไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ช่วงที่มีการสลายการชุมนุม คปท. และ กปปส. เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2556 ช่วงรัฐบาลรักษาการ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อทำคำสั่งแสดงว่าผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน เมื่อใด และถึงเหตุ และพฤติการณ์ที่ตาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150
โดยศาลพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายวสุเข้าร่วมการชุมนุมของ คปท. ที่มาปิดล้อมศูนย์เยาวชนไทย-ญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2556 โดยช่วงบ่ายของวันนั้น ได้เกิดการปะทะระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ มีเสียงปืนจำนวนหลายนัด ขณะที่พยานหลายปาก ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ เบิกความว่า เห็นนายวสุอยู่กับกลุ่มผู้ชุมนุม 3 คน เดินเท้าเข้าไปหลบหลังป้ายชี้ทาง บริเวณหน้าสำนักงานประกันสังคม หลังจากนั้นพยานได้ยินเสียงปืนดังมาจากหน้าประตูทางเข้าที่ 6 ของศูนย์เยาวชนไทย-ญี่ปุ่น จำนวน 2 นัด ต่อมาพบว่า นายวสุ ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ แล้วเดินไปหลบบริเวณไม่ห่างจากที่เกิดเหตุ ก่อนล้มลง จากนั้นมีกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปช่วยพยุงพานายวสุ ส่งโรงพยาบาล แต่เสียชีวิตในวันที่ 27 ธ.ค.2556 เวลา 03.35 น. ซึ่งขณะเกิดเหตุชาย 2 คนที่อยู่กับนายวสุ ได้ตะโกนว่า "มีตำรวจอยู่บนชั้น 2" แต่ในชั้นนี้ยังไม่มีประจักษ์พยาน เบิกความชี้ชัดว่าผู้ลงมือกระทำเป็นใคร
ศาลจึงมีคำสั่งว่า นายวสุ ผู้ตาย เสียชีวิตที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เนื่องจากจากถูกกระสุนปืนจากกลุ่มคนร้าย แต่ไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำ โดยมีบาดแผล ถูกยิงบริเวณหน้าท้อง ใต้ชายโครงด้านซ้าย กระสุนทะลุจากหน้าไปหลัง ซ้ายทะลุขวา ส่งผลให้อวัยวะภายในช่องท้องถูกทำลายเสียเลือดมาก เป็นเหตุให้เสียชีวิต
** “แม่วสุ” ให้ 1 ล้านแลกเบาะแส
ภายหลังมารดาของนายวสุ กล่าวว่า น้อมรับคำสั่งศาล แต่ขอฝากถึงกระบวนการยุติธรรมในชั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้หาคนผิดมาลงโทษ เนื่องจากเหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตหลายคน ก็ยังหวังว่าจะได้รับความยุติธรรม ที่ผ่านมา เคยยื่นฟ้องสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ต่อศาลปกครอง แต่ศาลมีคำสั่งยกคำร้อง เนื่องจากคดีไม่ได้อยู่ในอำนาจศาลปกครอง ซึ่งจะนำคดีมาดำเนินการในศาลยุติธรรมต่อไป
“ฝากถึงประชาชน หรือผู้ที่มีข้อมูลเบาะแส ที่จะชี้ชัดไปถึงผู้กระทำความผิด หากเข้ามาให้ข้อมูลที่สามารถชี้ชัดได้ ก็ยังยืนยันว่าจะให้เงินรางวัล 1 ล้านบาท" มารดาของนายวสุกล่าว
** “ช่างภาพญี่ปุ่น”ตาย แต่ไม่รู้ใครยิง
วันเดียวกัน ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลได้อ่านคำสั่งการชันสูตรพลิกศพ นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ส ชาวญี่ปุ่น , นายวสันต์ ภู่ทอง ผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และนายทศชัย เมฆงามฟ้า ผู้ชุมนุม นปช. ผู้ตาย ซึ่งทั้งหมดถูกยิงเสียชีวิต บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถ.ดินสอ เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ช่วงเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตามประกาศ ศอฉ. สมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ขอคืนพื้นที่การชุมนุมจาก นปช. ที่ปิดเส้นทางจราจร ถ.ราชดำเนิน แยกคอกวัว และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต ตามที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวน
โดยศาลมีคำสั่งว่า นายฮิโรยูกิ ผู้ตายที่ 1 ถึงแก่ความตายบนถนนดินสอ หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 เวลา 21.00 น. ซึ่งถูกยิงด้วยกระสุนปืนด้วยกระสุนปืนความเร็วสูงที่ไม่ทราบชนิดและขนาด เข้าที่ทรวงอกด้านซ้ายส่วนบน ทำลายปอดและหลอดเลือดแดงใหญ่ ซึ่งกระสุนทะลุออกต้นแขนขวาด้านหลัง
ส่วนนายวสันต์ ผู้ตายที่ 2 เสียชีวิต เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 เวลา 21.00 น. บนถนนดินสอ หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา โดยถูงยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูงไม่ทราบชนิดและขนาดเข้าที่บริเวณศีรษะด้านซ้าย ส่วนหลังส่วนบนทะลุกระโหลกศีรษะและตัดเนื้อสมอง กระสุนทะลุออกด้านหน้า และนายทศชัย ผู้ตายที่ 3 ถึงแก่ความตายในวันและเวลาเดียวกันบนถนนดินสอ หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ซึ่งถูกยิงด้วยกระสุนปืนที่ไม่ทราบชนิดและขนาด เข้าที่ทรวงอกด้านหลังซ้าย ทะลุตัดกระดูกซี่โครง ทะลุหัวใจและตัดซี่โครงด้านหลัง ซึ่งกระสุนทะลุออกด้านหลังซ้าย
ขณะที่การเสียชีวิตของผู้ตายทั้งสามรายไม่ทราบว่าใครเป็นผู้กระทำ และไม่อาจทราบได้ว่ากระสุนปืนที่ยิงมีแนววิถีมาจากทางใด
** “ป้าธิดา”ผิดหวัง-ยังเชื่อฝีมือทหาร
นายเจษฎา จันทร์ดี ทนายความของญาติผู้เสียชีวิต กล่าวภายหลังรับฟังคำสั่งศาลว่า เคารพในคำตัดสินของศาล แต่ทางพนักงานสอบสวนและอัยการได้นำพยานหลักฐานเข้าสืบอย่างชัดเจนว่าผู้ตายทั้ง 3 ราย เสียชีวิตจากฝีมือทหาร รวมทั้งก่อนหน้านี้ศาลเคยมีคำสั่งว่าแนวร่วม นปช. 2 รายเสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่ทหาร อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะแจ้งให้ทางสถานทูตญี่ปุ่น และครอบครัวของนายฮิโรยูกิ ทราบพร้อมทั้งจะศึกษาข้อกฎหมายว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ขณะที่นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานที่ปรึกษา นปช. ซึ่งมาร่วมฟังคำสั่งศาลด้วย กล่าวว่า เคารพคำสั่งของศาล แต่ก็รู้สึกผิดหวัง เพราะเห็นชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่ทหารครอบครองพื้นที่โดยสิ้นเชิง และวิถีกระสุนก็ระบุชัดเจนว่ามาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ และคณะทำงานสอบสวนคดีนี้ ก็เป็นคณะกรรมการชุดใหญ่ ซึ่งผลชันสูตรศพก็ระบุชัดว่าบาดแผลของผู้ตายทั้งสามเกิดจากกระสุนปืน 5 มม. ที่เป็นปืนของทางการทหาร ไม่ใช่ 7 มม. ซึ่งเป็นกระสุนปืนอาก้าที่มีคนกล่าวอ้างว่ากลุ่มชายชุดดำใช้ เราไม่อยากให้เกิดการเสียชีวิตบนถนนและความจริงหายไป ดังนั้น ถ้าจะก้าวข้ามความขัดแย้งต้องทำความจริงให้ปรากฏ
***เชื่อศาลพิจารณาไปตามหลักฐาน
พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์คำตัดสิน เนื่องจากเป็นการก้าวล่วงอำนาจศาล โดยเชื่อว่า ไม่ว่าประเทศใดก็คงต้องเคารพอำนาจศาล และเชื่อว่าศาลพิจารณาไปตามหลักฐาน แต่ทุกคนสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับรูปคดี
วานนี้ (30 เม.ย.) ที่ห้องพิจารณา 708 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลได้นัดฟังคำสั่งการไต่สวนชันสูตรพลิกศพ เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) คดีหมายเลขดำ อช.2/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 ยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนการเสียชีวิตของ นายวสุ สุฉันทบุตร นักศึกษาปริญญาโทประเทศออสเตรเลีย ที่ร่วมชุมนุมกลุ่ม คปท. ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตที่ ศูนย์เยาวชนไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ช่วงที่มีการสลายการชุมนุม คปท. และ กปปส. เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2556 ช่วงรัฐบาลรักษาการ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อทำคำสั่งแสดงว่าผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน เมื่อใด และถึงเหตุ และพฤติการณ์ที่ตาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150
โดยศาลพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายวสุเข้าร่วมการชุมนุมของ คปท. ที่มาปิดล้อมศูนย์เยาวชนไทย-ญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2556 โดยช่วงบ่ายของวันนั้น ได้เกิดการปะทะระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ มีเสียงปืนจำนวนหลายนัด ขณะที่พยานหลายปาก ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ เบิกความว่า เห็นนายวสุอยู่กับกลุ่มผู้ชุมนุม 3 คน เดินเท้าเข้าไปหลบหลังป้ายชี้ทาง บริเวณหน้าสำนักงานประกันสังคม หลังจากนั้นพยานได้ยินเสียงปืนดังมาจากหน้าประตูทางเข้าที่ 6 ของศูนย์เยาวชนไทย-ญี่ปุ่น จำนวน 2 นัด ต่อมาพบว่า นายวสุ ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ แล้วเดินไปหลบบริเวณไม่ห่างจากที่เกิดเหตุ ก่อนล้มลง จากนั้นมีกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปช่วยพยุงพานายวสุ ส่งโรงพยาบาล แต่เสียชีวิตในวันที่ 27 ธ.ค.2556 เวลา 03.35 น. ซึ่งขณะเกิดเหตุชาย 2 คนที่อยู่กับนายวสุ ได้ตะโกนว่า "มีตำรวจอยู่บนชั้น 2" แต่ในชั้นนี้ยังไม่มีประจักษ์พยาน เบิกความชี้ชัดว่าผู้ลงมือกระทำเป็นใคร
ศาลจึงมีคำสั่งว่า นายวสุ ผู้ตาย เสียชีวิตที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เนื่องจากจากถูกกระสุนปืนจากกลุ่มคนร้าย แต่ไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำ โดยมีบาดแผล ถูกยิงบริเวณหน้าท้อง ใต้ชายโครงด้านซ้าย กระสุนทะลุจากหน้าไปหลัง ซ้ายทะลุขวา ส่งผลให้อวัยวะภายในช่องท้องถูกทำลายเสียเลือดมาก เป็นเหตุให้เสียชีวิต
** “แม่วสุ” ให้ 1 ล้านแลกเบาะแส
ภายหลังมารดาของนายวสุ กล่าวว่า น้อมรับคำสั่งศาล แต่ขอฝากถึงกระบวนการยุติธรรมในชั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้หาคนผิดมาลงโทษ เนื่องจากเหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตหลายคน ก็ยังหวังว่าจะได้รับความยุติธรรม ที่ผ่านมา เคยยื่นฟ้องสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ต่อศาลปกครอง แต่ศาลมีคำสั่งยกคำร้อง เนื่องจากคดีไม่ได้อยู่ในอำนาจศาลปกครอง ซึ่งจะนำคดีมาดำเนินการในศาลยุติธรรมต่อไป
“ฝากถึงประชาชน หรือผู้ที่มีข้อมูลเบาะแส ที่จะชี้ชัดไปถึงผู้กระทำความผิด หากเข้ามาให้ข้อมูลที่สามารถชี้ชัดได้ ก็ยังยืนยันว่าจะให้เงินรางวัล 1 ล้านบาท" มารดาของนายวสุกล่าว
** “ช่างภาพญี่ปุ่น”ตาย แต่ไม่รู้ใครยิง
วันเดียวกัน ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลได้อ่านคำสั่งการชันสูตรพลิกศพ นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ส ชาวญี่ปุ่น , นายวสันต์ ภู่ทอง ผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และนายทศชัย เมฆงามฟ้า ผู้ชุมนุม นปช. ผู้ตาย ซึ่งทั้งหมดถูกยิงเสียชีวิต บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถ.ดินสอ เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ช่วงเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตามประกาศ ศอฉ. สมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ขอคืนพื้นที่การชุมนุมจาก นปช. ที่ปิดเส้นทางจราจร ถ.ราชดำเนิน แยกคอกวัว และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต ตามที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวน
โดยศาลมีคำสั่งว่า นายฮิโรยูกิ ผู้ตายที่ 1 ถึงแก่ความตายบนถนนดินสอ หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 เวลา 21.00 น. ซึ่งถูกยิงด้วยกระสุนปืนด้วยกระสุนปืนความเร็วสูงที่ไม่ทราบชนิดและขนาด เข้าที่ทรวงอกด้านซ้ายส่วนบน ทำลายปอดและหลอดเลือดแดงใหญ่ ซึ่งกระสุนทะลุออกต้นแขนขวาด้านหลัง
ส่วนนายวสันต์ ผู้ตายที่ 2 เสียชีวิต เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 เวลา 21.00 น. บนถนนดินสอ หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา โดยถูงยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูงไม่ทราบชนิดและขนาดเข้าที่บริเวณศีรษะด้านซ้าย ส่วนหลังส่วนบนทะลุกระโหลกศีรษะและตัดเนื้อสมอง กระสุนทะลุออกด้านหน้า และนายทศชัย ผู้ตายที่ 3 ถึงแก่ความตายในวันและเวลาเดียวกันบนถนนดินสอ หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ซึ่งถูกยิงด้วยกระสุนปืนที่ไม่ทราบชนิดและขนาด เข้าที่ทรวงอกด้านหลังซ้าย ทะลุตัดกระดูกซี่โครง ทะลุหัวใจและตัดซี่โครงด้านหลัง ซึ่งกระสุนทะลุออกด้านหลังซ้าย
ขณะที่การเสียชีวิตของผู้ตายทั้งสามรายไม่ทราบว่าใครเป็นผู้กระทำ และไม่อาจทราบได้ว่ากระสุนปืนที่ยิงมีแนววิถีมาจากทางใด
** “ป้าธิดา”ผิดหวัง-ยังเชื่อฝีมือทหาร
นายเจษฎา จันทร์ดี ทนายความของญาติผู้เสียชีวิต กล่าวภายหลังรับฟังคำสั่งศาลว่า เคารพในคำตัดสินของศาล แต่ทางพนักงานสอบสวนและอัยการได้นำพยานหลักฐานเข้าสืบอย่างชัดเจนว่าผู้ตายทั้ง 3 ราย เสียชีวิตจากฝีมือทหาร รวมทั้งก่อนหน้านี้ศาลเคยมีคำสั่งว่าแนวร่วม นปช. 2 รายเสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่ทหาร อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะแจ้งให้ทางสถานทูตญี่ปุ่น และครอบครัวของนายฮิโรยูกิ ทราบพร้อมทั้งจะศึกษาข้อกฎหมายว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ขณะที่นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานที่ปรึกษา นปช. ซึ่งมาร่วมฟังคำสั่งศาลด้วย กล่าวว่า เคารพคำสั่งของศาล แต่ก็รู้สึกผิดหวัง เพราะเห็นชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่ทหารครอบครองพื้นที่โดยสิ้นเชิง และวิถีกระสุนก็ระบุชัดเจนว่ามาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ และคณะทำงานสอบสวนคดีนี้ ก็เป็นคณะกรรมการชุดใหญ่ ซึ่งผลชันสูตรศพก็ระบุชัดว่าบาดแผลของผู้ตายทั้งสามเกิดจากกระสุนปืน 5 มม. ที่เป็นปืนของทางการทหาร ไม่ใช่ 7 มม. ซึ่งเป็นกระสุนปืนอาก้าที่มีคนกล่าวอ้างว่ากลุ่มชายชุดดำใช้ เราไม่อยากให้เกิดการเสียชีวิตบนถนนและความจริงหายไป ดังนั้น ถ้าจะก้าวข้ามความขัดแย้งต้องทำความจริงให้ปรากฏ
***เชื่อศาลพิจารณาไปตามหลักฐาน
พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์คำตัดสิน เนื่องจากเป็นการก้าวล่วงอำนาจศาล โดยเชื่อว่า ไม่ว่าประเทศใดก็คงต้องเคารพอำนาจศาล และเชื่อว่าศาลพิจารณาไปตามหลักฐาน แต่ทุกคนสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับรูปคดี