ASTVผู้จัดการรายวัน – “นายกขายตรง” ยันปัญหาแชร์ลูกโซ่ยูฟัน ไม่กระเทือนขายตรง ย้ำปัญหาเศรษฐกิจแย่กว่าอีก ด้าน “กิฟฟารีน” ชะลอลงทุนผุดสำนักงานที่เชียงราย พร้อมหันหัวรบขยายต่างประเทศเพิ่มลุยอินโดนีเซียปลายปีนี้
นางภคพรรณ ลีวุฒินันท์ นายกสมาคมการขายตรงไทย เปิดเผยถึงกรณีปัญหาแชร์ลูกโซ่ของบริษัท ยูฟัน ที่เป็นข่าวในขณะนี้ว่า เรื่องนี้ถือว่าต้องชมภาครัฐที่เข้ามาจัดการเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนและจริงจัง แต่ปัญหาดังกล่าวไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรกับวงการขายตรงมากนักซึ่งเท่าที่ทราบรู้สึกว่าจะมีอีก 2 บริษัทที่จะมีปัญหานี้ แต่ที่สำคัญกว่าคือ ปัฯหาเรื่องเศรษฐกิจมากกว่า
ในส่วนของสมาคมฯเองคงมีหน้าที่ในการให้ความรู้และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับวงการขายตรง และจะต้องทำการสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้กับผู้บริโภคมากขึ้นว่า ขายตรงที่ดีถูกต้องเป็นอย่างไร มีการออกสื่อดิจิตอลด้วยในเร็วๆนี้ และจะต้องเดินสายมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา
ทั้งนี้สิ่งที่จะช่วยป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้คือ กฎหมายขายตรง ที่ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งหากทำสำเร็จออกมาจะช่วยได้มาก ซึ่งที่ผ่านมา วันที่ 19 มีนาคม มีการประชุมภับภาครัฐ ทางสมาคมฯก็ให้ข้อมูลไปเพิ่ม เราทำงานร่วมกับ สคบ. อย่างใกล้ชิด เพื่อให้กฎหมายขายตรงเกิดขึ้นหลังจากที่ทำกันมานานแล้ว แต่
นายพงศ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดอาวุโส บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรวมขายตรงช่วงไตรมาสแรกปีนี้มีการเติบโต 3-5% มูลค่าตลาดรวมกว่า 70,000 ล้านบาท จากช่วงปรกติจะเติบโตเฉลี่ย 7% เนื่องจากกำลังซื้อยังฟื้นกลับคืนมาไม่มากนัก รวมทั้งเศรษฐกิจก็เพิ่งเริ่มกระเตื้อง ยังไม่กลับไปถึงจุดเดิม อย่างไรก็ตาม ในส่วนของบริษัทฯไตรมาสแรกเติบโต 9%
จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้บริษัทฯปรับแผนธุรกิจ จะชะลอการลงทุนสร้างสำนักงานสาขาที่จังหวัดเชียงราย ออกไปอย่างน้อย 1 ปี มูลค่าลงทุน 40 ล้านบาท พื้นที่ 1 ไร่ รวมทั้งจะลดงบโฆษณาทางสื่อทีวีเพื่อนำไปไช้ในสื่อดิจิตอลเป็นหลักและเน้นเรื่องกิจกรรมจัดงานเอ็กซ์โปมากขึ้นเพื่อกระตุ้นยอดขายมากขึ้น
ขณะเดียวกันจะขยายธุรกิจในต่างประเทศมากขึ้น โดยภายในไตรมาสที่สี่ปีนี้ จะขยายเข้าประเทศอินโดนีเซีย ถือเป็นประเทศที่ 5 แล้วจากเดิมที่มีใน 4 ประเทศคือ กัมพูชา มี 1 สาขา, เมียนมาร์ มี 1 สาขา , ลาว มี 1 สาขา และมาเลเซีย มี 3 สาขา ปัจจุบันมีรายได้จากต่างประเทศ 200 ล้านบาทต่อปี
โดยที่อินโดนีเซียเป็นการร่วมทุนกับคนท้องถิ่นตั้งบริษัท พีที กิฟอินโดจำกัด เพื่อรุกตลาดขายตรง สาเหตุที่ขยายเข้าอินโดนีเซียเนื่องจากว่าเป็นตลาดที่ใหญ่มีประชากรมากกว่า 600 ล้านคน และคนอินโดนีเซียก็ให้การยอมรับเชื่อมั่นและรู้จักกับแบรนด์สินค้าของประเทศไทยเป็นอย่างดี
ปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 5,900 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่มีรายได้ 5,400 ล้านบาท ส่วนตลางต่างประเทศมีรายได้ประมาณ 200 ล้านบาท
นางภคพรรณ ลีวุฒินันท์ นายกสมาคมการขายตรงไทย เปิดเผยถึงกรณีปัญหาแชร์ลูกโซ่ของบริษัท ยูฟัน ที่เป็นข่าวในขณะนี้ว่า เรื่องนี้ถือว่าต้องชมภาครัฐที่เข้ามาจัดการเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนและจริงจัง แต่ปัญหาดังกล่าวไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรกับวงการขายตรงมากนักซึ่งเท่าที่ทราบรู้สึกว่าจะมีอีก 2 บริษัทที่จะมีปัญหานี้ แต่ที่สำคัญกว่าคือ ปัฯหาเรื่องเศรษฐกิจมากกว่า
ในส่วนของสมาคมฯเองคงมีหน้าที่ในการให้ความรู้และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับวงการขายตรง และจะต้องทำการสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้กับผู้บริโภคมากขึ้นว่า ขายตรงที่ดีถูกต้องเป็นอย่างไร มีการออกสื่อดิจิตอลด้วยในเร็วๆนี้ และจะต้องเดินสายมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา
ทั้งนี้สิ่งที่จะช่วยป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้คือ กฎหมายขายตรง ที่ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งหากทำสำเร็จออกมาจะช่วยได้มาก ซึ่งที่ผ่านมา วันที่ 19 มีนาคม มีการประชุมภับภาครัฐ ทางสมาคมฯก็ให้ข้อมูลไปเพิ่ม เราทำงานร่วมกับ สคบ. อย่างใกล้ชิด เพื่อให้กฎหมายขายตรงเกิดขึ้นหลังจากที่ทำกันมานานแล้ว แต่
นายพงศ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดอาวุโส บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรวมขายตรงช่วงไตรมาสแรกปีนี้มีการเติบโต 3-5% มูลค่าตลาดรวมกว่า 70,000 ล้านบาท จากช่วงปรกติจะเติบโตเฉลี่ย 7% เนื่องจากกำลังซื้อยังฟื้นกลับคืนมาไม่มากนัก รวมทั้งเศรษฐกิจก็เพิ่งเริ่มกระเตื้อง ยังไม่กลับไปถึงจุดเดิม อย่างไรก็ตาม ในส่วนของบริษัทฯไตรมาสแรกเติบโต 9%
จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้บริษัทฯปรับแผนธุรกิจ จะชะลอการลงทุนสร้างสำนักงานสาขาที่จังหวัดเชียงราย ออกไปอย่างน้อย 1 ปี มูลค่าลงทุน 40 ล้านบาท พื้นที่ 1 ไร่ รวมทั้งจะลดงบโฆษณาทางสื่อทีวีเพื่อนำไปไช้ในสื่อดิจิตอลเป็นหลักและเน้นเรื่องกิจกรรมจัดงานเอ็กซ์โปมากขึ้นเพื่อกระตุ้นยอดขายมากขึ้น
ขณะเดียวกันจะขยายธุรกิจในต่างประเทศมากขึ้น โดยภายในไตรมาสที่สี่ปีนี้ จะขยายเข้าประเทศอินโดนีเซีย ถือเป็นประเทศที่ 5 แล้วจากเดิมที่มีใน 4 ประเทศคือ กัมพูชา มี 1 สาขา, เมียนมาร์ มี 1 สาขา , ลาว มี 1 สาขา และมาเลเซีย มี 3 สาขา ปัจจุบันมีรายได้จากต่างประเทศ 200 ล้านบาทต่อปี
โดยที่อินโดนีเซียเป็นการร่วมทุนกับคนท้องถิ่นตั้งบริษัท พีที กิฟอินโดจำกัด เพื่อรุกตลาดขายตรง สาเหตุที่ขยายเข้าอินโดนีเซียเนื่องจากว่าเป็นตลาดที่ใหญ่มีประชากรมากกว่า 600 ล้านคน และคนอินโดนีเซียก็ให้การยอมรับเชื่อมั่นและรู้จักกับแบรนด์สินค้าของประเทศไทยเป็นอย่างดี
ปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 5,900 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่มีรายได้ 5,400 ล้านบาท ส่วนตลางต่างประเทศมีรายได้ประมาณ 200 ล้านบาท