ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -การเมืองเข้าสู่ช่วงพักเบรก หลบให้เทศกาลสงกรานต์ ห้วงเวลาของความสุขของคนไทยปล่อยให้อากาศร้อนอบอ้าวกันไปอย่างเดียวก่อน อะไรที่กำลังกรุ่นๆ อยู่ก่อนหน้าต้องซาไปสักพัก จบโหมดสงกรานต์เมื่อไหร่ค่อยว่ากันต่อไป แต่แนวโน้มหลายสิ่งหลายอย่างชี้ชัดไปว่า มันจะเข้มข้นระดับห้าดาว เพราะพอดิบพอดีกับช่วงปลายโรดแมป ระยะที่ 2
ตั้งแต่เรื่องรัฐธรรมนูญร่างแรกที่เสร็จสิ้น รอการเจียระไน จาก คสช. จะเข้าสู่วินาทีแห่งการห้ำหั่นกันระหว่างนักการเมือง กับกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่ต้องปะทะฝีปาก งัดเหตุผลมาหักล้างกัน ซึ่งไม่มีใครยอมใครแน่ ยิ่งนักการเมืองในปัจจุบันสู้หลังพิงฝาชัวร์ เพราะมีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงหลายเรื่อง ได้รับผลกระทบไปไม่น้อย โดยเฉพาะบรรดาพรรคใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ที่เนื้อแหว่งจากระบบเลือกตั้งเยอรมัน หมดสิทธิ์ผูกขาด เลิกชนะกันอยู่สองพรรคแบบลอยลำ ส่วนพรรคขนาดกลาง พรรคขนาดเล็ก จะไม่ใช่ไม้ประดับในแจกันอีกต่อไป
ระบบเลือกตั้งใหม่จะทำให้พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ยืนอยู่ในพื้นที่จำกัด ไม่มีคำว่า ชนะขาดลอย ทุกคะแนนเสียงของประชาชน จะคละเคล้า หารเฉลี่ยไปให้พรรคขนาดกลาง และพรรคขนาดเล็กได้ลืมตาอ้าปากในสภา แล้วจะมีอำนาจต่อรองมากขึ้น พรรคใหญ่ที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ต้องเกรงอกเกรงใจ จะมองข้ามไปแบบปลาซิว ปลาสร้อย ไม่ได้แล้ว เหตุนี้ทำให้ 2 พรรคการเมืองใหญ่ ต้องลืมเกลียดขี้หน้ากันชั่วคราวแล้วหันมาจับมือกัน สู้กับกมธ.ยกร่างฯ ของ “ดร.ปื๊ด” บวรศักดิ์ อุวรรณโณ
เดือดพล่านแน่ เพราะกมธ.ยกร่างฯ ก็ไม่ยอมเป็นสมันน้อยให้พวกเสือขย้ำอยู่ฝ่ายเดียว ตามท่าทีของ“ดร.ปื๊ด”หัวหน้าทีมเขียนกติกาประเทศรอบนี้ พลันที่ถูกพาดพิงก็เหวี่ยงกลับ ไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่ยำเกรงนักการเมืองเขี้ยวลากดินคนไหน เปิดไฝว้ได้ใจกันไปหลายช็อต อย่างกรณีกำหนดคุณสมบัติ ส.ส. ใส่กันแสกหน้าไม่แคร์คนคุ้นหน้าคุ้นตาคนไหนเลย “พวกเรียนสูงๆ มักชั่ว”
ยิ่งตอนนี้ไม่มีกฎอัยการศึก ซึ่งเป็นกระบองอาญาสิทธิ์ที่นักการเมืองหวาดผวาก่อนหน้านี้แล้ว การเมืองเหมือนเปิดกว้าง พวกฝีปากจัดจ้านคงลุกมาจัดหนัก จัดเต็ม พูดมากกันเป็นต่อยหอย หลังเก็บกดมานาน ต่อให้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามมาตรา 44 อยู่ค้ำเอาไว้แทนก็ตาม เพราะในความรู้สึกของนักการเมืองพวกนี้กฎอัยการศึกเหมือนอาวุธหนัก มีกฎเกณฑ์ตายตัว หยวนไม่ได้ ไปท้าทายลองของไม่ดูตาม้าตาเรือ อาจได้ขึ้นศาลทหาร นอนซังเตกันยาว
สำหรับมาตรา 44 แม้เนื้อหาจะไปลอกจากกฎอัยการศึกมา แต่ก็เอามาไม่หมด คัดเอาแค่การปฏิบัติงานบางอย่าง ความเป็นจริงแล้วเบากว่ากันเยอะด้วยซ้ำ
ที่สำคัญ คำสั่งหัวหน้าคสช. ดังกล่าว ไม่ตายตัว ผ่อนสั้นผ่อนยาวได้ตามอำนาจผู้ใช้ ดังนั้นห้วงเวลาหลังจากนี้ จึงเป็นชั่วโมงแห่งการพิสูจน์ฝีมือของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. อีกครั้ง ว่าประคองสถานการณ์อย่างไร จะกล้าใช้อาญาสิทธิ์ในมืออันใหม่หรือไม่ ในวันที่ไม่มีกฎอัยการศึกแล้ว
ที่ผ่านมา 11 เดือน ที่อยู่กับการเมืองถือว่า “บิ๊กตู่”เองทำได้ดีพอสมควร ดับซ่าพวกนักการเมืองไปได้หลายคน สถานการณ์ที่เกือบจะเขม็งเกลียว ก็ประคองเอาตัวรอดมาได้ แต่เมื่อต้องมาถึงโหมดการเมืองเข้มข้น ต้องเจอกับสิงสาราสัตว์ ที่พร้อมจะออกมาปกป้องผลประโยชน์ตัวเองในวันที่จนตรอก เลยได้วัดกึ๋นรอบสำคัญว่า หัวหน้าคณะรัฐประหาร จะผ่านพ้นสถานการณ์สำคัญของประเทศไปได้อย่างไร จะประคองไปถึงวันเลือกตั้งได้หรือเปล่า
คลื่นใต้น้ำเองก็เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง เพราะนาทีนี้ ดูเหมือนแก๊งนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร เริ่มจะตั้งหลักได้แล้ว ค่อยๆขยับให้เห็นตัวมากขึ้น โดยเฉพาะเกมต่างประเทศ ที่กำลังรุกหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นพวกล็อบบี้ยิสต์ที่ไปเที่ยวว่าจ้างเอาไว้ให้บอนไซ “รัฐบาลประยุทธ์”ทุกครั้งทุกประเด็นที่มีโอกาส โชคยังดีที่รัฐบาลตัดไฟตั้งแต่ต้นลมได้ทันระดับหนึ่ง โดยการยกเลิกกฎอัยการศึก ไม่ให้ล็อบบี้ยิสต์พวกนี้เอาไปขยายปมที่เวทีโลกต่อ
แต่ไม่ใช่ว่า หมดประเด็นกฎอัยการศึกแล้วจะไม่มีช่อง เพราะหลังจากนี้ มันจะเข้าสู่โหมดคาบลูกคาบดอกหลายเรื่อง ประเด็นใหม่ๆ ที่จะให้ฝ่ายตรงข้ามนำไปตีฆ้องร้องป่าว ยังมีเยอะ โดยเฉพาะเรื่องตุลาการ ของหวานประจำที่นักโทษชายทักษิณ ชอบนำไปฟ้องโลก ผ่านช่องทางต่างๆ ซึ่งบังเอิญแบบได้จังหวะ ที่เดือนพฤษภาคมนี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวในไส้ จะต้องไปขึ้นศาลเป็นครั้งแรก ประเด็น 2 มาตรฐาน จะถูกพรรคเพื่อไทย นำมาเล่นเพื่อดิสเครดิตฝ่ายอำนาจอีกหนเป็นแน่
แน่นอน เรื่องคดีความของยิ่งลักษณ์ จะส่งผลต่อการทำงานของรัฐบาลชุดนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ต้องให้จบในขณะที่ยังมีอำนาจ คงไม่ปล่อยให้ยืดเยื้อไปถึงรัฐบาลชุดใหม่ เพราะคดีนี้เกี่ยวกับความเป็นความตายของ “รัฐบาลประยุทธ์”อย่างยิ่งยวด ต้องทำให้จบแบบสะเด็ดน้ำ ไม่อย่างงั้น อาจมีรายการเอาคืนแน่ แต่พอเร่งทำ อาจทำให้ถูกมองว่า ปฏิบัติแบบ 2 มาตรฐาน คดีไวอย่างจรวด “บิ๊กตู่”คงต้องเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆว่า จะรับมืออย่างไร จะขจัดความเคลือบแคลงสงสัยอย่างไร ให้คดีดูชอบธรรม ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง แบบที่ “นักโทษชายแม้ว” ออกไปโหยหวนว่า ถูกรังแก จนชาวโลกคล้อยตาม
เรื่องเศรษฐกิจต้องระวังจะเป็นจุดตาย มาจนถึงบัดนี้ยังเป็นปัญหาโลกแตกที่ไม่รู้จะแก้อย่างไร ปัจจัยภายในประเทศไม่ดี ยังมีปัจจัยภายนอกมาฉุด อย่างดีทำได้แค่ประคองตัวเอง แต่สำหรับประชาชน ไม่รู้จะอดทนอดกลั้นได้นานแค่ไหน เพราะเรื่องปากท้อง ไม่เข้าใครออกใคร ข้าวยากหมากแพงเมื่อไหร่รัฐบาลจะเป็นเป้านิ่งทันทีในสายตาประชาชน จึงเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยากเย็นแสนเข็ญ
แล้วประมาณกลางเดือนมิถุนายน อาจะมีคิวแทรกซ้อนมาซ้ำเติมอีก หลังสหรัฐฯ เตรียมประกาศผลการจัดอันดับค้ามนุษย์ ที่ไทยอยู่ในอันดับเทียร์ 3 ซึ่งเลวร้ายที่สุด ผ่านหรือไม่ผ่าน มีผลกับสถานภาพของประเทศโดยตรง หากซวยถูกสหรัฐฯ ซ้ำเติม จะส่งผลต่อเศรษฐกิจแบบบรรลัย การส่งออก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของรายได้ประเทศ จะได้รับผลกระทบมากกว่าร้อยละ 20 นาทีนั้นคงวุ่นวายน่าดู
อีกไฮไลต์ ที่สำคัญที่ต้องจับตาคือ ตำแหน่ง ผบ.ทบ. ที่ “บิ๊กโด่ง”พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร จะเกษียณในปลายปี มีข่าวมาตลอดว่า เกิดแรงสั่นสะเทือนว่า สุดท้ายจะเลือกใครระหว่าง “บิ๊กหมู”พล.อ.ธีระชัย นาควานิช ผู้ช่วยผบ.ทบ. สายเลือดบูรพาพยัคฆ์ กับ “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. น้องชายในไส้ “บิ๊กตู่”
เลือก “บิ๊กหมู”ก็โดนกล่าวหาบูรพาพยัคฆ์ กินรวบ ไม่ให้สายอื่น จนเกิดความไม่พอใจ เลือก“บิ๊กติ๊ก” ก็ไม่วายโดนครหา สืบทอดอำนาจให้น้องชายตัวเอง ช่วงโยกย้ายทหารปลายปีสถานการณ์ในกองทัพดุ เดือด ไม่แพ้การเมืองภายนอกเลย