ASTVผู้จัดการรายวัน- "ป๋าเปรม" เป็นประธานเปิดโครงการ "สานใจไทยสู่ใจใต้" รุ่น 23 ย้ำเยาวชนยึดหลัก "ความเป็นไทย-ความเป็นธรรม" ระบุความแตกแยกศาสนาเป็นเรื่องอดีต ต้องเร่งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ ( 9 เม.ย.) ที่สโมสรทหารบก เทเวศร์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เป็นประธานเปิดโครงการ "สานใจไทย สู่ใจใต้" รุ่นที่ 23 โดยมูลนิธิรัฐบุรุษพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มูลนิธิรักเมืองไทย มูลนิธิพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานอื่นๆ ร่วมกันสนับสนุนจัดกิจกรรมขึ้น เพื่อให้เยาวชนที่นับถือศาสนาอิสลาม จาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ยะลา ปัตตานี
นราธิวาส สงขลา และ สตูล จำนวน 240 คน ได้เข้าร่วมการเรียนรู้ และใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอุปถัมป์ใน10 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ กทม. นนทบุรี นครนายก ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา ชลบุรี สระบุรี สมุทรปราการ และอ่างทอง ระหว่างวันที่ 9-24 เม.ย. 58 รวมถึงได้ทัศนศึกษานอกสถานที่ เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้วิถีชีวิต และการประกอบอาชีพ ตลอดจนการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เกิดความรัก ความเมตตาและความห่วงใย โดยภายในงานมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ในฐานะประธานโครงการฯ ผู้แทน ผบ.เหล่าทัพ และภาคเอกชนเข้าร่วม
ทั้งนี้ พล.อ.เปรม กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า เราทำโครงการนี้มาได้ 23 รุ่น มีเยาวชนร่วมโครงการฯกว่า 5,000 คน ซึ่งในรุ่นนี้ นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้ดำเนินงานตามคำแนะนำของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ในฐานะประธานโครงการฯ ทำแบบสอบถามความรู้สึกของเด็กเป็นอย่างไร โดยใช้หัวข้อที่เราเคยใช้กับโรงเรียนคุณธรรมมาแล้ว จากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯนั้น ที่ให้องคมนตรีทำโครงการศึกษาเน้นเรื่องคุณธรรมจริยธรรมเป็นพื้นฐาน โดยตนเป็นประธานโครงการ และ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นประธานดำเนินการ คือ ให้เยาวชนเขียนถึงความรู้สึก 2 เรื่อง คือ 1. เรื่องปัญหาที่เด็กอยากแก้ไข และ 2. ความดีที่เด็กอยากทำ
ทั้งนี้ นายภาณุได้ส่งรายงานมาให้ ซึ่งตนขอชมเชยทั้ง 2 คน เพราะถือเป็นเรื่องดีมากๆ เราจะได้รู้ว่าเด็กต้องการแก้ปัญหาอะไร และความดีที่เด็กจะทำให้ชาติบ้านเมืองของเรา คืออะไร
พล.อ.เปรม กล่าวต่อว่า ทั้งนี้มีบางอย่างที่ได้อ่านจากรายงาน และคิดว่าน่าจะต้องทำความเข้าใจกับพวกเราที่ดูแลเรื่องนี้ รวมทั้งผู้ปกครองเด็ก โรงเรียนปอเนาะของชาวไทยมุสลิม คือ ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่นำไปโยงกับการแบ่งแยกชนชั้น โดยนายภาณุ เขียนถึงประเด็นนี้ ทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อน เนื่องจากจริงๆ แล้วไม่ได้แบ่งแยกกันแต่อย่างใด ทั้งไทยพุทธ และไทยมุสลิม
นอกจากนี้ ตนมีความกังวลใจเท่าที่อ่านรายงาน นั่นคือ ในชุมนุมต่างๆ จะต่างคนต่างอยู่ ไม่เอื้ออาทรต่อกัน และแย่งชิงผลประโยชน์กัน จนเกิดความระแวงกันในศาสนา ซึ่งตรงนี้ต้องไปแก้ไขในรายงาน เพราะอาจจะเข้าใจผิดได้ โดยคนที่ควรจะไปขอคำแนะนำเพื่อประกอบการศึกษาคือพล.อ.สุรยุทธ์ เพราะมีความชำนาญในเรื่องนี้มาก อย่างไรตาม เอกสารที่นายภาณุ จัดทำขึ้นมีเพียงตน และ พล.อ.สุรยุทธ์ 2 คนเท่านั้นที่ได้อ่าน ซึ่งไม่ควรปล่อยให้สับสน หรือเข้าใจไม่ตรงกัน ก็ควรแก้ไขให้ถูกต้อง
" ผมดีใจที่นายภาณุ เอาหัวข้อนี้ไปใช้ เพราะเราจะได้รู้ว่าเด็กอยากแก้ไขปัญหาอะไร และอยากทำความดีอะไร เป็นสิ่งที่ดีมากๆ แต่เราต้องควรให้ความถูกต้องกับเด็กด้วย ที่ผ่านมาพูดมาแล้ว 22 ครั้ง และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 23 ที่จะแก้ปัญหาภาคใต้ 5 จังหวัดนั้น ที่รวม จ.สตูล และ จ.สงขลาเข้ามาด้วย โดยสิ่งที่จะทำอย่างรวดเร็ว คือ ต้องแก้ไขความเข้าใจที่คาดเคลื่อน คือเรื่องความเป็นไทย เมื่อเป็นคนไทยต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน และจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับเรื่องความเป็นธรรมเป็นสิ่งที่ควรได้รับจากรัฐ และคนที่เกี่ยวข้อง ถ้าเรายึดมั่นหลักนี้แล้ว ความเข้าใจผิดหรือ
ความคลาดเคลื่อน ก็จะลดน้อยลง ผมก็ขอให้รับไปทำ แก้ไขโดยเร็ว เพื่อให้เด็กเข้าใจตรงกันว่า ความแตกแยกทางศาสนา หรือความเข้าใจผิดในศาสนา ถือเป็นเรื่องในอดีต ไม่ใช่เรื่องในปัจจุบันแล้ว" พล.อ.เปรม กล่าว
พล.อ.เปรม กล่าวต่อว่า สำหรับการศึกษาใน 5 จังหวัดในภาคใต้ ที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็ต้องช่วยกันแก้ไข ส่วนปัญหาความยากจน รัฐต้องทำให้คนมีการศึกษา ควรเข้ามาแก้ไขปัญหาการศึกษากับความยากจน เพื่อที่จะทำให้ลดลง ประกอบกับทางผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพก็สามารถช่วยเหลือได้ แม้แต่องค์กรศาสนาก็ช่วยได้ด้วยเช่นกัน
เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ ( 9 เม.ย.) ที่สโมสรทหารบก เทเวศร์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เป็นประธานเปิดโครงการ "สานใจไทย สู่ใจใต้" รุ่นที่ 23 โดยมูลนิธิรัฐบุรุษพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มูลนิธิรักเมืองไทย มูลนิธิพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานอื่นๆ ร่วมกันสนับสนุนจัดกิจกรรมขึ้น เพื่อให้เยาวชนที่นับถือศาสนาอิสลาม จาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ยะลา ปัตตานี
นราธิวาส สงขลา และ สตูล จำนวน 240 คน ได้เข้าร่วมการเรียนรู้ และใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอุปถัมป์ใน10 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ กทม. นนทบุรี นครนายก ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา ชลบุรี สระบุรี สมุทรปราการ และอ่างทอง ระหว่างวันที่ 9-24 เม.ย. 58 รวมถึงได้ทัศนศึกษานอกสถานที่ เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้วิถีชีวิต และการประกอบอาชีพ ตลอดจนการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เกิดความรัก ความเมตตาและความห่วงใย โดยภายในงานมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ในฐานะประธานโครงการฯ ผู้แทน ผบ.เหล่าทัพ และภาคเอกชนเข้าร่วม
ทั้งนี้ พล.อ.เปรม กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า เราทำโครงการนี้มาได้ 23 รุ่น มีเยาวชนร่วมโครงการฯกว่า 5,000 คน ซึ่งในรุ่นนี้ นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้ดำเนินงานตามคำแนะนำของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ในฐานะประธานโครงการฯ ทำแบบสอบถามความรู้สึกของเด็กเป็นอย่างไร โดยใช้หัวข้อที่เราเคยใช้กับโรงเรียนคุณธรรมมาแล้ว จากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯนั้น ที่ให้องคมนตรีทำโครงการศึกษาเน้นเรื่องคุณธรรมจริยธรรมเป็นพื้นฐาน โดยตนเป็นประธานโครงการ และ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นประธานดำเนินการ คือ ให้เยาวชนเขียนถึงความรู้สึก 2 เรื่อง คือ 1. เรื่องปัญหาที่เด็กอยากแก้ไข และ 2. ความดีที่เด็กอยากทำ
ทั้งนี้ นายภาณุได้ส่งรายงานมาให้ ซึ่งตนขอชมเชยทั้ง 2 คน เพราะถือเป็นเรื่องดีมากๆ เราจะได้รู้ว่าเด็กต้องการแก้ปัญหาอะไร และความดีที่เด็กจะทำให้ชาติบ้านเมืองของเรา คืออะไร
พล.อ.เปรม กล่าวต่อว่า ทั้งนี้มีบางอย่างที่ได้อ่านจากรายงาน และคิดว่าน่าจะต้องทำความเข้าใจกับพวกเราที่ดูแลเรื่องนี้ รวมทั้งผู้ปกครองเด็ก โรงเรียนปอเนาะของชาวไทยมุสลิม คือ ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่นำไปโยงกับการแบ่งแยกชนชั้น โดยนายภาณุ เขียนถึงประเด็นนี้ ทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อน เนื่องจากจริงๆ แล้วไม่ได้แบ่งแยกกันแต่อย่างใด ทั้งไทยพุทธ และไทยมุสลิม
นอกจากนี้ ตนมีความกังวลใจเท่าที่อ่านรายงาน นั่นคือ ในชุมนุมต่างๆ จะต่างคนต่างอยู่ ไม่เอื้ออาทรต่อกัน และแย่งชิงผลประโยชน์กัน จนเกิดความระแวงกันในศาสนา ซึ่งตรงนี้ต้องไปแก้ไขในรายงาน เพราะอาจจะเข้าใจผิดได้ โดยคนที่ควรจะไปขอคำแนะนำเพื่อประกอบการศึกษาคือพล.อ.สุรยุทธ์ เพราะมีความชำนาญในเรื่องนี้มาก อย่างไรตาม เอกสารที่นายภาณุ จัดทำขึ้นมีเพียงตน และ พล.อ.สุรยุทธ์ 2 คนเท่านั้นที่ได้อ่าน ซึ่งไม่ควรปล่อยให้สับสน หรือเข้าใจไม่ตรงกัน ก็ควรแก้ไขให้ถูกต้อง
" ผมดีใจที่นายภาณุ เอาหัวข้อนี้ไปใช้ เพราะเราจะได้รู้ว่าเด็กอยากแก้ไขปัญหาอะไร และอยากทำความดีอะไร เป็นสิ่งที่ดีมากๆ แต่เราต้องควรให้ความถูกต้องกับเด็กด้วย ที่ผ่านมาพูดมาแล้ว 22 ครั้ง และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 23 ที่จะแก้ปัญหาภาคใต้ 5 จังหวัดนั้น ที่รวม จ.สตูล และ จ.สงขลาเข้ามาด้วย โดยสิ่งที่จะทำอย่างรวดเร็ว คือ ต้องแก้ไขความเข้าใจที่คาดเคลื่อน คือเรื่องความเป็นไทย เมื่อเป็นคนไทยต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน และจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับเรื่องความเป็นธรรมเป็นสิ่งที่ควรได้รับจากรัฐ และคนที่เกี่ยวข้อง ถ้าเรายึดมั่นหลักนี้แล้ว ความเข้าใจผิดหรือ
ความคลาดเคลื่อน ก็จะลดน้อยลง ผมก็ขอให้รับไปทำ แก้ไขโดยเร็ว เพื่อให้เด็กเข้าใจตรงกันว่า ความแตกแยกทางศาสนา หรือความเข้าใจผิดในศาสนา ถือเป็นเรื่องในอดีต ไม่ใช่เรื่องในปัจจุบันแล้ว" พล.อ.เปรม กล่าว
พล.อ.เปรม กล่าวต่อว่า สำหรับการศึกษาใน 5 จังหวัดในภาคใต้ ที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็ต้องช่วยกันแก้ไข ส่วนปัญหาความยากจน รัฐต้องทำให้คนมีการศึกษา ควรเข้ามาแก้ไขปัญหาการศึกษากับความยากจน เพื่อที่จะทำให้ลดลง ประกอบกับทางผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพก็สามารถช่วยเหลือได้ แม้แต่องค์กรศาสนาก็ช่วยได้ด้วยเช่นกัน