ประชุม สปช.รับทราบรายงาน กมธ.ปฏิรูปการศึกษา เผยที่ผ่านมายังขาดการวางระบบ ปูดครูหายไปทำกิจกรรมอย่างอื่นเกือบครึ่งหนึ่งของวันเรียน นร.เน้นติวมากกว่าเข้าใจ แถมมีปัญหาสังคม โกง ชี้การศึกษาไม่พัฒนา ต้องแก้ที่โรงเรียน ห้องเรียนต้องไม่แออัด ครูมีจิตวิญญาณ ปฏิรูปการศึกษาทำได้ ออกกลไกพิเศษนอก ศธ. ภายใต้กำกับของนายกฯ ชี้ต้องกระจายอำนาจสู่โรงเรียนแก้ปัญหาแปะเจี๊ยะ
วันนี้ (9 มี.ค.) การประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มีนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. เป็นประธานการประชุมรับทราบรายงานการพิจารณาของคณะกรรมาธิการปฏิรูปการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เรื่องยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาและการพัฒนามนุษย์ โดยมีนางประภาภัทร นิยม เลขานุการกรรมาธิการปฏิรูปการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ชี้แจงว่า จากสภาพการณ์ด้านการศึกษาของไทยที่ผ่านมา พบว่ายังขาดการวางระบบหรือกลไกความรับผิดชอบของผู้สอน และผู้เรียน รวมถึงสถาบันการศึกษา ซึ่งผลการสำรวจของสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพเยาวชน หรือ สสค. ระบุว่า ในจำนวนวันเรียน 200 วัน ครูหายไปทำกิจกรรมอย่างอื่นประมาณ 84 วัน ทำให้ผู้เรียนไม่ได้รับการศึกษาอย่างเต็มที่ ขณะที่ผู้เรียนก็ถูกเน้นให้เป็นผู้ถูกติวมากกว่าทักษะการเรียนอย่างเข้าใจ รวมถึงปัญหาสังคม เช่น ท้องวัยใส ปัญหายาเสพติด ขณะเดียวกัน ปัญหาการศึกษาอาชีวะของไทยยังถูกมองข้าม ไม่ให้ความสำคัญ หรือแม้แต่ผู้ที่จบการศึกษาแล้วยังพบว่าขาดทักษะที่เพียงพอต่อการทำงาน รวมไปถึงปัญหาทุจริตคอร์รัปชันในแวดวงการศึกษาซึ่งเป็นปัญหาการศึกษาของไทยในเชิงระบบ
นายประภาภัทรกล่าวต่อว่า ส่วนปัญหาเชิงประเด็น จากการสำรวจของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ พบว่า ประเทศไทยใช้งบประมาณเป็นอันดับสองเพื่อการศึกษา แต่ไม่เกิดการพัฒนาด้านการศึกษา ไทยกำลังเผชิญปัญหาที่ลึกกว่าปรากฏการณ์ในอดีต จึงต้องเร่งแก้ปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง ดังนั้นการแก้ปัญหาต้องแก้ไขที่โรงเรียน และห้องเรียนจะต้องไม่แออัด ให้มีจำนวนผู้เรียนแต่ละห้องเรียนที่เหมาะสม การสร้างครูที่มีศักดิ์ศรี มีจิตวิญญาณแห่งความเป็นครู และเป็นโรงเรียนบ่มเพาะเด็กเยาวชนได้เป็นอย่างดี ทั้งในแง่การจัดสรรบุคลากร การจัดการเรื่องงบประมาณ และด้านวิชาการ รวมถึงต้องส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ขณะที่แผนยุทธศาสตร์พัฒนากำลังคนต้องรองรับความหลากหลายของอาชีพด้วย ทั้งนี้ความเป็นไปได้การปฏิรูประบบการศึกษาทั้งเชิงระบบและเชิงประเด็นนั้น สามารถทำได้ โดยให้มีกลไกพิเศษอยู่นอกระบบกระทรวงศึกษาธิการ โดยจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายศึกษาขับเคลื่อนมนุษย์ ภายใต้การกำกับของนายกรัฐมนตรีแทน
ด้านนายอมรวิชช์ นาครทรรพ กรรมาธิการฯ ชี้แจงว่า องค์กรส่วนท้องถิ่นต้องมีส่วนร่วมในการปฏิรูปการศึกษาให้เกิดเป็นรูปธรรม โดยลดค่านิยมทางด้านการศึกษา สนับสนุนให้เด็กมาเรียนกับกลุ่มอาชีวะ ขณะนี้ได้ตั้งหน่วยงานสภาการศึกษาระดับจังหวัดขึ้นแล้วกว่า 10 จังหวัด เพื่อพัฒนาระบบการศึกษาให้เข้มแข็ง ดังนั้น ครอบครัว ชุมชน องค์กรท้องถิ่นต้องมีการเตรียมความพร้อมและมีกลไกการปฏิรูปในระยะยาว เนื่องจากการศึกษาเป็นเรื่องจำเป็นของสังคมไทยและสามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้
จากนั้นเปิดให้สมาชิกแสดงความคิดเห็น โดยนายเฉลิมชัย เฟื่องคอน สปช. เห็นด้วยต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาห้องเรียนและผู้เรียน รวมถึงการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา รวมถึงต้องแก้ปัญหาเรื่องแปะเจี๊ยะ และสนับสนุนงบประมาณการศึกษาเป็นรายหัว ลดการทดสอบโอเน็ต ให้ทดสอบเฉพาะสมรรถนะหลักของหลักสูตรเท่านั้น และห้ามนำผลงานของเด็กไปประกอบการประมินของผู้บริหาร และต้องให้ผู้เรียนเข้าถึงอุปกรณ์การศึกษามากขึ้น ส่วนนายเฉลิมศักดิ์ อบสุวรรณ สปช. เสนอให้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในการวางยุทธศาสตาร์การศึกษาชาติ เพื่อให้ได้บุคลากรของชาติที่มีคุณค่า และดึงองค์ความรู้จากปราชญ์ชาวบ้านมาช่วยในการสอนมากกว่ารองรับคุณวุฒิศาสตราจารย์ต่างๆ
หลังสมาชิกอภิปรายอย่างกว้างขวาง ที่ประชุมได้รับทราบรายงานของ กมธ.ปฏิรูปการศึกษาฯ และให้ กมธ.ไปศึกษาเพิ่มเติมเพื่อนำกลับมาเสนอต่อที่ประชุม สปช.อีกครั้ง