**คือการตอกตะปูย้ำเสริมน้ำหนักความน่าเชื่อถือจาก วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล ที่ช่วยพูดให้การใช้อำนาจ มาตรา 44 ของ รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ปี 2557 ออกคำสั่งที่ 3/2558 ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศเมื่อวันก่อน เรื่องรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงแห่งชาติแทนกฎอัยการศึก มีความน่าเชื่อถือว่า มีความจำเป็นต้องออกคำสั่งดังกล่าว เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในประเทศ
เพราะยังมีสถานการณ์สำคัญที่ไม่เป็นที่ไว้วางใจอยู่ จากฝีมือของ 5 กลุ่ม ที่อาจมาสร้างความปั่นป่วนคือ
1. ผู้สูญเสียอำนาจทางการเมืองในอดีตบางคนอาจจะก่อความไม่สงบเรียบร้อย 2. กลุ่มทุน กลุ่มเศรษฐกิจ กลุ่มอิทธิพล ที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคม และก่อความไม่สงบขึ้นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนเอง แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง
3. กลุ่มที่รู้ว่ากำลังจะเข้าโรดแมประยะที่ 3 คือ เตรียมจะจัดการเลือกตั้ง อาจก่อความไม่สงบเรียบร้อยบางอย่างขึ้นเพื่อฉวยโอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคต 4. กลุ่มสร้างสถานการณ์ให้เกิดความไม่เรียบร้อยขึ้น อาจจะไม่มีเจตนาทางการเมือง แต่เจตนาเรื่องอื่น
5. กลุ่มที่รู้สึกได้รับความเดือดร้อน ไม่ได้รับความเป็นธรรม เป็นกลุ่มสุจริต ไม่มีเจตนาทางการเมือง แต่อาจจะระบายโดยการก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบ ร้อย
ซึ่งการอ้างข้อมูลดังกล่าวของ วิษณุ คนส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างเห็นด้วยอยู่แล้ว และเชื่อว่ามีบางกลุ่มคิดก่อกวนให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในประเทศขึ้นจริง ยิ่งไม่ต้องสงสัยเมื่อมาเจอ พลเอกประยุทธ์ ยืนยันสำทับเข้าไปอีกดอก ที่ย้ำเรื่องมีกลุ่มผู้ไม่หวังดี คิดทำร้ายประเทศชาติ
โดยระบุว่ามีหลายคนไปโผล่อยู่ต่างประเทศ ไปนั่งเข้าแถวกันกินอาหารกันสนุกสนานในประเทศเพื่อนบ้าน และพวกนี้มีพฤติกรรมไปพูดจาให้ต่างประเทศเข้าใจประเทศในทางเสียหาย
รู้ๆอยู่แล้วว่า เรื่องพวกกลุ่มจ้องป่วนมีมูลความเป็นจริง คาดเดาได้ไม่ยากว่าคือพวกไหน โดยเฉพาะพวกที่ป่วนการเมืองอยู่ในต่างประเทศ ที่แม้ พลเอกประยุทธ์ไม่ได้เอ่ยชื่อว่าเป็นใคร แต่ทุกคนก็รู้ว่า
**เขาคือใคร
การเคลื่อนไหวของกลุ่มป่วนในประเทศโดยเฉพาะพวกสร้างสถานการณ์ต่างๆ ตลอดจนการเคลื่อนไหวทางข้อมูลข่าวสารผ่านโลกโซเชียลมีเดีย ก็มีข่าวมาตลอดว่า กลุ่มที่ดำเนินการในประเทศ มีการติดต่อเชื่อมโยงกับคนในต่างประเทศ ทั้งเรื่องเงินทุน ,การนำข้อมูลบางอย่างไปกระจายในต่างประเทศ ,แม้แต่เรื่องการว่าจ้างบริษัทล็อบบี้ยีสต์ต่างประเทศ เพื่อกดดันรัฐบาล และคสช.
เนื่องจากพวกตัวหลัก ทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม คสช. มันไม่ได้มีแค่ ทักษิณ ชินวัตร คนเดียว ยังมีนักการเมือง พรรคเพื่อไทย–นักวิชาการสายเสื้อแดง–พวกหนีคดีหมิ่นมาตรา 112 พวกนี้ ก็ไปทำกิจกรรมเคลื่อนไหวอยู่ในต่างประเทศทั้งสิ้น
**ไม่ว่าจะเป็น จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และเลขาธิการองค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย–สุนัย จุลพงศธร อดีตส.ส.เพื่อไทย สายเสื้อแดง- จรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำนปช. - จักรภพ เพ็ญแข - มนูญ (เอนก) ชัยชนะ หรือ เอนก ซานฟราน , ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ- ตั้ง อาชีวะ - โกตี๋ หรือ วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ, อั๊ม เนโกะ , ชูพงษ์ ถี่ถ้วน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม พวกที่อยู่ต่างประเทศ แล้วคอยไล่ขย่มรัฐบาลคสช. และสร้างแรงกดดันอยู่ในต่างประเทศ ผ่านการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ เช่น ไปประสานกับเอ็นจีโอต่างประเทศ หรือการใช้บริการล็อบบี้ยีสต์อะไรต่างๆ มันไม่ได้สร้างความสั่นคลอนอะไรให้กับรัฐบาลคสช. มากนักในความเป็นจริง
ที่เป็นปัญหาสร้างความรำคาญใจให้"บิ๊กตู่"มากกว่า ก็คือพวกที่อยู่ในประเทศ มีการเชื่อมโยงประสานกับกลุ่มนอกประเทศ โดยมีคนไทยในแดนไกลร่วมรู้เห็น
ตรงนี้แหละที่ บิ๊กตู่ และคสช. แม้ไม่หนักใจเพราะเชื่อว่ารับมือได้แต่ก็หงุดหงิดใจ แน่นอนกลุ่มนี้คอยทำให้การขับเคลื่อนอะไรหลายอย่างของคสช. ติดๆ ขัดๆ มาตลอดร่วมปี
แม้พวกกลุ่มป่วนทั้งหลายทั้งในและต่างประเทศที่เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงถึงกัน แต่ช่วงนี้คงขอมุดดินตั้งหลักสักพัก เพราะตั้งแต่เกิดกรณีจับมือปาระเบิดศาลอาญา และมีการขยายผลจับกุมตัวเครือข่ายผู้อยู่เบื้องหลังได้เพียบ น่าจะทำให้พวกชอบลองดีกับ คสช. ผวาไม่น้อย ยิ่งพอมีกฎเหล็กหัวหน้าคสช.ดังกล่าวออกมา ก็ยังไม่มีใครรู้ว่า ยาแรงตัวนี้ จะออกฤทธิ์ไปถึงกลุ่มไหนบ้าง มันจึงต้องกบดานรอจังหวะกันสักพัก
ดังนั้นที่หลายคนบอกว่า มีบางกลุ่มที่กำลังถูกฝ่ายรัฐบาล คสช.ไล่ทุบหนัก โดยเฉพาะพวกที่ถูกมองว่ามีความใกล้ชิด หรืออิงกับกลุ่มอำนาจเก่าในขั้วเพื่อไทย-ระบอบทักษิณ ที่กำลังโดนไล่ตรวจสอบหลายกลุ่ม
ไม่ว่าจะเป็นฟากวัดพระธรรมกาย ที่ขนาดแกนนำ นปช. ยังบอกว่าเองว่า มีความใกล้ชิดกับสายเพื่อไทย ที่กำลังโดนดีเอสไอไล่ตรวจสอบเรื่องเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น อยู่ แถมยังลากโยงไปถึงกรณีที่มีการเปิดเผยข้อมูลออกมาว่า ศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์ยูเนี่ยนคลองจั่น ได้สั่งจ่ายเช็คจากสหกรณ์ฯคลองจั่น มาซื้อที่ดินและโอนขายต่อให้กับน.ส.อลิสา อัศวโภคิน บุตรสาวของ นายอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของบริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซึ่งใครๆ ก็รู้ดีว่า บิ๊กอสังหาริมทรัพย์คนนี้ แนบแน่นกับ ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มพรรคเพื่อไทยขนาดไหน ถึงขั้นเคยมีชื่อบริจาคเงินให้กับ พรรคเพื่อไทยมาแล้ว
และล่าสุดกับกรณีการตรวจสอบเรื่องการออกเอกสารสิทธิที่ดินบริเวณสนามแข่งรถของบริษัท โบนันซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล สปีดเวย์ จำกัด ของไพวงษ์ เตชะณรงค์ และครอบครัว ซึ่งมีความใกล้ชิดกับแกนนำเพื่อไทย หลายคนรวมถึงเป็นนายทุนใหญ่ให้กับคนเสื้อแดงมาตลอด
ปฏิบัติการตรวจสอบข้างต้น แม้อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาไม่พอใจอะไรขึ้นมาบ้าง แต่ก็เชื่อได้ว่าจะไม่มี หมัดสวน ใดๆ ออกมา เพราะหากทำเช่นนี้ ย่อมไม่เป็นผลดีแน่นอน สู้ใช้วิธีหลบเลี่ยงประคองตัวไปเรื่อยๆ เพราะของทำนองนี้ พวกนี้ก็รู้ดี อำนาจเปลี่ยน เรื่องก็เงียบ !
ทว่า ปฏิกิริยาโต้กลับหลังฉากของคนบางกลุ่มบางพวกที่ไม่พอใจรัฐบาล เป็นเรื่องที่ต้องดูกันต่อไปว่าจะมีขึ้นหรือไม่
**ในบรรดา 5 กลุ่ม ที่รัฐบาลอ้างการข่าวว่าอาจจะสร้างสถานการณ์ขึ้น ประมวลดูแล้วขอให้เทน้ำหนักไปที่ กลุ่มที่ 1. ผู้สูญเสียอำนาจทางการเมืองและ 2. กลุ่มทุน กลุ่มเศรษฐกิจ กลุ่มอิทธิพล ที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบทางสังคม เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนเอง โดยกลุ่มที่ 1 คือพวกที่ต้องจับตามากสุด
เพราะยังมีสถานการณ์สำคัญที่ไม่เป็นที่ไว้วางใจอยู่ จากฝีมือของ 5 กลุ่ม ที่อาจมาสร้างความปั่นป่วนคือ
1. ผู้สูญเสียอำนาจทางการเมืองในอดีตบางคนอาจจะก่อความไม่สงบเรียบร้อย 2. กลุ่มทุน กลุ่มเศรษฐกิจ กลุ่มอิทธิพล ที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคม และก่อความไม่สงบขึ้นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนเอง แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง
3. กลุ่มที่รู้ว่ากำลังจะเข้าโรดแมประยะที่ 3 คือ เตรียมจะจัดการเลือกตั้ง อาจก่อความไม่สงบเรียบร้อยบางอย่างขึ้นเพื่อฉวยโอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคต 4. กลุ่มสร้างสถานการณ์ให้เกิดความไม่เรียบร้อยขึ้น อาจจะไม่มีเจตนาทางการเมือง แต่เจตนาเรื่องอื่น
5. กลุ่มที่รู้สึกได้รับความเดือดร้อน ไม่ได้รับความเป็นธรรม เป็นกลุ่มสุจริต ไม่มีเจตนาทางการเมือง แต่อาจจะระบายโดยการก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบ ร้อย
ซึ่งการอ้างข้อมูลดังกล่าวของ วิษณุ คนส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างเห็นด้วยอยู่แล้ว และเชื่อว่ามีบางกลุ่มคิดก่อกวนให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในประเทศขึ้นจริง ยิ่งไม่ต้องสงสัยเมื่อมาเจอ พลเอกประยุทธ์ ยืนยันสำทับเข้าไปอีกดอก ที่ย้ำเรื่องมีกลุ่มผู้ไม่หวังดี คิดทำร้ายประเทศชาติ
โดยระบุว่ามีหลายคนไปโผล่อยู่ต่างประเทศ ไปนั่งเข้าแถวกันกินอาหารกันสนุกสนานในประเทศเพื่อนบ้าน และพวกนี้มีพฤติกรรมไปพูดจาให้ต่างประเทศเข้าใจประเทศในทางเสียหาย
รู้ๆอยู่แล้วว่า เรื่องพวกกลุ่มจ้องป่วนมีมูลความเป็นจริง คาดเดาได้ไม่ยากว่าคือพวกไหน โดยเฉพาะพวกที่ป่วนการเมืองอยู่ในต่างประเทศ ที่แม้ พลเอกประยุทธ์ไม่ได้เอ่ยชื่อว่าเป็นใคร แต่ทุกคนก็รู้ว่า
**เขาคือใคร
การเคลื่อนไหวของกลุ่มป่วนในประเทศโดยเฉพาะพวกสร้างสถานการณ์ต่างๆ ตลอดจนการเคลื่อนไหวทางข้อมูลข่าวสารผ่านโลกโซเชียลมีเดีย ก็มีข่าวมาตลอดว่า กลุ่มที่ดำเนินการในประเทศ มีการติดต่อเชื่อมโยงกับคนในต่างประเทศ ทั้งเรื่องเงินทุน ,การนำข้อมูลบางอย่างไปกระจายในต่างประเทศ ,แม้แต่เรื่องการว่าจ้างบริษัทล็อบบี้ยีสต์ต่างประเทศ เพื่อกดดันรัฐบาล และคสช.
เนื่องจากพวกตัวหลัก ทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม คสช. มันไม่ได้มีแค่ ทักษิณ ชินวัตร คนเดียว ยังมีนักการเมือง พรรคเพื่อไทย–นักวิชาการสายเสื้อแดง–พวกหนีคดีหมิ่นมาตรา 112 พวกนี้ ก็ไปทำกิจกรรมเคลื่อนไหวอยู่ในต่างประเทศทั้งสิ้น
**ไม่ว่าจะเป็น จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และเลขาธิการองค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย–สุนัย จุลพงศธร อดีตส.ส.เพื่อไทย สายเสื้อแดง- จรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำนปช. - จักรภพ เพ็ญแข - มนูญ (เอนก) ชัยชนะ หรือ เอนก ซานฟราน , ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ- ตั้ง อาชีวะ - โกตี๋ หรือ วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ, อั๊ม เนโกะ , ชูพงษ์ ถี่ถ้วน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม พวกที่อยู่ต่างประเทศ แล้วคอยไล่ขย่มรัฐบาลคสช. และสร้างแรงกดดันอยู่ในต่างประเทศ ผ่านการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ เช่น ไปประสานกับเอ็นจีโอต่างประเทศ หรือการใช้บริการล็อบบี้ยีสต์อะไรต่างๆ มันไม่ได้สร้างความสั่นคลอนอะไรให้กับรัฐบาลคสช. มากนักในความเป็นจริง
ที่เป็นปัญหาสร้างความรำคาญใจให้"บิ๊กตู่"มากกว่า ก็คือพวกที่อยู่ในประเทศ มีการเชื่อมโยงประสานกับกลุ่มนอกประเทศ โดยมีคนไทยในแดนไกลร่วมรู้เห็น
ตรงนี้แหละที่ บิ๊กตู่ และคสช. แม้ไม่หนักใจเพราะเชื่อว่ารับมือได้แต่ก็หงุดหงิดใจ แน่นอนกลุ่มนี้คอยทำให้การขับเคลื่อนอะไรหลายอย่างของคสช. ติดๆ ขัดๆ มาตลอดร่วมปี
แม้พวกกลุ่มป่วนทั้งหลายทั้งในและต่างประเทศที่เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงถึงกัน แต่ช่วงนี้คงขอมุดดินตั้งหลักสักพัก เพราะตั้งแต่เกิดกรณีจับมือปาระเบิดศาลอาญา และมีการขยายผลจับกุมตัวเครือข่ายผู้อยู่เบื้องหลังได้เพียบ น่าจะทำให้พวกชอบลองดีกับ คสช. ผวาไม่น้อย ยิ่งพอมีกฎเหล็กหัวหน้าคสช.ดังกล่าวออกมา ก็ยังไม่มีใครรู้ว่า ยาแรงตัวนี้ จะออกฤทธิ์ไปถึงกลุ่มไหนบ้าง มันจึงต้องกบดานรอจังหวะกันสักพัก
ดังนั้นที่หลายคนบอกว่า มีบางกลุ่มที่กำลังถูกฝ่ายรัฐบาล คสช.ไล่ทุบหนัก โดยเฉพาะพวกที่ถูกมองว่ามีความใกล้ชิด หรืออิงกับกลุ่มอำนาจเก่าในขั้วเพื่อไทย-ระบอบทักษิณ ที่กำลังโดนไล่ตรวจสอบหลายกลุ่ม
ไม่ว่าจะเป็นฟากวัดพระธรรมกาย ที่ขนาดแกนนำ นปช. ยังบอกว่าเองว่า มีความใกล้ชิดกับสายเพื่อไทย ที่กำลังโดนดีเอสไอไล่ตรวจสอบเรื่องเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น อยู่ แถมยังลากโยงไปถึงกรณีที่มีการเปิดเผยข้อมูลออกมาว่า ศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์ยูเนี่ยนคลองจั่น ได้สั่งจ่ายเช็คจากสหกรณ์ฯคลองจั่น มาซื้อที่ดินและโอนขายต่อให้กับน.ส.อลิสา อัศวโภคิน บุตรสาวของ นายอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของบริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซึ่งใครๆ ก็รู้ดีว่า บิ๊กอสังหาริมทรัพย์คนนี้ แนบแน่นกับ ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มพรรคเพื่อไทยขนาดไหน ถึงขั้นเคยมีชื่อบริจาคเงินให้กับ พรรคเพื่อไทยมาแล้ว
และล่าสุดกับกรณีการตรวจสอบเรื่องการออกเอกสารสิทธิที่ดินบริเวณสนามแข่งรถของบริษัท โบนันซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล สปีดเวย์ จำกัด ของไพวงษ์ เตชะณรงค์ และครอบครัว ซึ่งมีความใกล้ชิดกับแกนนำเพื่อไทย หลายคนรวมถึงเป็นนายทุนใหญ่ให้กับคนเสื้อแดงมาตลอด
ปฏิบัติการตรวจสอบข้างต้น แม้อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาไม่พอใจอะไรขึ้นมาบ้าง แต่ก็เชื่อได้ว่าจะไม่มี หมัดสวน ใดๆ ออกมา เพราะหากทำเช่นนี้ ย่อมไม่เป็นผลดีแน่นอน สู้ใช้วิธีหลบเลี่ยงประคองตัวไปเรื่อยๆ เพราะของทำนองนี้ พวกนี้ก็รู้ดี อำนาจเปลี่ยน เรื่องก็เงียบ !
ทว่า ปฏิกิริยาโต้กลับหลังฉากของคนบางกลุ่มบางพวกที่ไม่พอใจรัฐบาล เป็นเรื่องที่ต้องดูกันต่อไปว่าจะมีขึ้นหรือไม่
**ในบรรดา 5 กลุ่ม ที่รัฐบาลอ้างการข่าวว่าอาจจะสร้างสถานการณ์ขึ้น ประมวลดูแล้วขอให้เทน้ำหนักไปที่ กลุ่มที่ 1. ผู้สูญเสียอำนาจทางการเมืองและ 2. กลุ่มทุน กลุ่มเศรษฐกิจ กลุ่มอิทธิพล ที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบทางสังคม เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนเอง โดยกลุ่มที่ 1 คือพวกที่ต้องจับตามากสุด