"สรรเสริญ" แจง "บิ๊กตู่" งดปริมาณจ้อสื่อลงหลังหลายฝ่ายแนะให้ปรับกลยุทธ์ มอบหน่วยงานเกี่ยวข้องอธิบายบ้าง "วิษณุ" เตรียมชี้แจงต่างประเทศให้เข้าใจถึงการใช้ ม.44 ชี้ตรวจสอบ "โบนันซ่า" ไม่ใช่ตัดท่อน้ำเลี้ยงบางพรรค แต่จะตรวจสอบทุกพื้นที่ ไม่เลือกปฏิบัติ เผย คสช.เบรกแดงจัดงานรำลึก 10 เม.ย. เหตุเป็นการประชุมเชิงสัญลักษณ์ ขณะที่โพลระบุ ประชาชนส่วนใหญ่หนุนใช้ ม.44 แต่ต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใส
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. งดให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในช่วงนี้ว่า ไม่ใช่งดให้สัมภาษณ์ เพียงแต่จะลดปริมาณลงบ้าง ที่ผ่านมานายกฯ พยายามลดการให้สัมภาษณ์ แต่ด้วยความตั้งใจจริง และบุคลิกของท่านนั้นต้องการให้สังคมมีความเข้าใจ เพราะที่ผ่านมามักจะได้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน หรือได้ข้อมูลคนละฝั่งไม่ตรงกับความเป็นจริง นายกฯ จึงพยายามอธิบายเรื่องต่างๆด้วยตัวเองว่าแต่ละเรื่องที่ทำคืออะไร และมีปัญหาอย่างไร ที่ผ่านมาพยายามที่จะชี้แจง และอธิบายความแต่ระยะหลังเมื่อได้รับฟังเสียงสะท้อน และมีสื่อเสนอแนะเข้ามาจำนวนมาก นายกฯ จึงพยายามปรับตัวโดยลดปริมาณการให้สัมภาษณ์ และการให้ข้อมูลข่าวสารลง แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะละเลย และไม่ให้ข้อมูลอะไรเลย เพียงแต่จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยชี้แจงงานที่รับผิดชอบมากขึ้น
** สั่ง "วิษณุ" แจงต ปท.เรื่องใช้ ม.44
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวถึงคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามมาตรา 44 ว่า หลังมีคำสั่ง คสช. ฉบับใหม่ออกมา มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างต่อเนื่อง แต่หากตรวจสอบตามผลโพลทั่วไปจากหลายสำนัก จะเห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่ให้ความเชื่อมั่น เชื่อถือกับทางคสช.และรัฐบาล รวมทั้งตัวนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ว่าจะใช้อำนาจตามมาตรา 44 อย่างสร้างสรรค์ ไม่เฉพาะเรื่องการควบคุมสถานการณ์ ความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง แต่จะใช้ในเรื่องการแก้ไขปัญหาในระบบการบริหารที่เป็นปัญหาแต่เก่าก่อน หากแก้ปัญหาโดยขั้นตอนปกติอาจจะทำไม่ทัน ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ และภาคประชาชน จะใช้อำนาจตาม มาตรา 44 ตามประกาศของ คสช.
ทั้งนี้ นายกฯเป็นห่วงเรื่องความเข้าใจของคนไทยด้วยกันเองในเรื่องการใช้อำนาจตาม มาตรา 44 แต่วันนี้จากผลโพลเห็นว่าคนไทยส่วนใหญ่มีความเข้าใจมากขึ้น ยกเว้นสื่อต่างประเทศ ที่อาจไม่เข้าใจในบริบทของประเทศไทยมากนักทำให้มีความวิตกกังวล ซึ่งนายกฯ เชื่อมั่นในการที่เอาคนในประเทศเป็นหลัก แต่ไม่ละเลยเรื่องของต่างประเทศ พยายามที่จะชี้แจงทำความเข้าใจอย่างสร้างสรรค์ โดยในวันที่ 7 เม.ย.นี้ นายกฯได้มอบหมายให้คสช.และฝ่ายรัฐบาล นำโดย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายเสข วรรณเมธี อธีบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงต่างประเทศ และ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช. เป็นผู้ชี้แจงทำความเข้าใจ เรื่องดังกล่าวกับทางตัวแทนสำนักข่าวต่างประเทศ ที่กระทรวงต่างประเทศ และจะเชิญเอกอัครราชทูต แต่ละประเทศมารับฟังบ้าง
"มาตรา 44 ไม่ได้เพิ่งมีในวันนี้ แต่มีมาตั้งแต่ประกาศรัฐธรรมนูญชั่วคราว และถ้าย้อนกลับไปดู คสช.ยังไม่เคยใช้มาตรา 44 ไปรุกรานสิทธิใครเลย เคยใช้เพียงแค่ครั้งเดียว ในช่วงที่มีการหมดวาระขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และมาใช้อีกครั้ง ตอนประกาศคำสั่ง คสช. ฉบับล่าสุด”พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
**ยัน ม.44 ไม่ละเมิดสิทธิ เสรีภาพสื่อ
รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า นายกฯ ต้องการให้ทำความเข้าใจกับสื่อมวลชนด้วยว่า ตามคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ได้มีการกล่าวถึงสื่อมวลชนนั้น ยืนยันว่าที่ผ่านมา คสช. และรัฐบาลไม่เคยทำอะไรในลักษณะเช่นนั้น เพียงแต่มีการเขียนครอบคลุมไว้ก่อน ซึ่งปัจจุบันสื่อส่วนใหญ่ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติในการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งคสช.ไม่มีปัญหาอะไร เพราะมาตรา 44 ไม่สามารถไปจับใครมาลงโทษจำคุก หรือดำเนินคดีได้ เพียงแต่เป็นการให้อำนาจเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวน ตรวจสอบในพื้นที่ต่างๆ โดยไม่ต้องขอหมายศาล และเมื่อได้ตัวเรียบร้อยต้องส่งให้พนักงานสอบสวน ซึ่งจะมีการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ถ้าผิดเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม แต่ถ้าไม่ผิด คือไม่ผิด ขอให้มั่นใจว่าคสช. จะไม่ไปละเมิดสิทธิหน้าที่ของสื่อแต่อย่างใด
สำหรับต่างประเทศที่ยังมีข้อสงสัยเกิดลักษณะที่เรียกว่า กดดันนั้น อยากชี้ให้เห็นว่าที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์บาดเจ็บล้มตาย ทุจริตมีการบุกรุกป่า ไม่รู้กี่คดีไม่เคยจับกุมได้ อยากถามว่ารัฐบาลปกติดูแลได้หรือไม่ อย่างในปี 53 มีปัญหาใช้ทั้ง พ.ร.บ.มั่นคงฯ และพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ยังมีการบิดเบือนไม่รับผิดชอบ เรื่องอย่างนี้อย่ามาอ้างประชาชน หรือประชาธิปไตยกันอีกเลย เพราะคงไม่มีใครอยากให้กลับไปเป็นเหมือนเก่า อย่าลืมเหตุการณ์การทำลายการประชุมผู้นำอาเซียนที่ พัทยา จ.ชลบุรี กันเร็วนัก
ทั้งนี้ นายกฯและคสช. รู้ดีว่าควรใช้กฎหมายนี้แค่ไหน และจะใช้อำนาจอย่างระมัดระวัง ซึ่งน่าจะดีกว่าคนที่เคยมีอำนาจ ที่อ้างประชาชนและมาทำผิดเสียเอง แล้วทำไมที่ผ่านมาไม่เห็นพูดถึงเผด็จการรัฐสภากันบ้างอ้างประชาชนส่วนใหญ่ปลุกระดมให้เกิดความเข้าใจผิด
"แล้วที่ประชาชนบาดเจ็บล้มตาย ทหาร ตำรวจ เจ็บ และตาย คนเหล่านี้ไม่ใช่คนไทยหรือ มีการอ้างว่าไม่เกี่ยวข้องกับชุดดำ ทั้งที่มีภาพปรากฏอยู่ ทุกอย่างพอจับได้ก็อ้างว่าสร้างสถานการณ์ ยืนยันว่ารัฐบาลและคสช. จะดำเนินการทุกอย่าง จะไม่ท้อแท้ จะทำตามหลักฐานและกฎหมายที่มีอยู่ คนไม่ผิดไม่ต้องร้อนตัว แต่จะเปิดในทุกคดีก็ขอให้เตรียมสู้กันในชั้นศาลและจะพยายามทำกันให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะการรุกป่า การทุจริต และการโกง" พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
**บี้"โบนันซ่า"ไม่ใช่ตัดท่อน้ำเลี้ยง
พล.ต.สรรเสริญ ยังกล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการตรวจสอบที่ดินเขาใหญ่ ที่โบนันซ่า ของนายไพวงษ์ เตชะณรงค์ ว่า จะดำเนินการตรวจสอบในทุกพื้นที่ ไม่เลือกปฏิบัติ เพราะนายกรัฐมนตรีมีนโยบายชัดเจนว่า หากเป็นพื้นที่ของรัฐโดยเฉพาะพื้นที่ป่าสงวน หรืออุทยานแห่งชาติ หรือพื้นที่ป่าอนุรักษ์ต่างๆจะไม่ยอมให้นายทุนหรือใครก็ตามไปทำประโยชน์ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะเราต้องการสงวนพื้นที่ที่เป็นทรัพยากรของประเทศไว้ การแก้ปัญหาไม่เฉพาะการป้องกันการบุกรุก แต่แก้ปัญหาให้เกษตรกรที่มีพื้นที่ทำกินน้อยด้วย ยืนยันว่าไม่ใช่เป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ขอร้องว่าอย่างนำประเด็นเรื่องการเมืองมาเป็นเรื่องใหญ่
**พบ10จนท.เอี่ยวออกเอกสารสิทธิมิชอบ
แหล่งข่าวจากทีมสืบสวนระหว่าง ป.ป.ท.กับดีเอสไอ เปิดเผยว่า ภายหลังการตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ บริเวณสนามแข่งรถโบนันซ่า พบหลักฐานว่า มีการรุกล้ำเขตป่าสงวนกว่า 100 ไร่ ชุดสืบสวนจึงขยายผลการตรวจสอบไปยังสนามกอล์ฟ เนื้อที่กว่า 1,000 ไร่ และที่ดินในโครงการหมู่บ้านจัดสรร พบว่า มีการปลูกสร้างบนที่ดินที่มีเอกสารสิทธิจริง แต่อาจเป็นการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ เนื่องจากเป็นการเดินสำรวจออก นส.3 ก. ในเขตป่าสงวน และต่อมาในปี 2549 มีการเดินสำรวจเพื่อออกโฉนดในเขตป่าสงวนอีกครั้ง
เบื้องต้นสันนิษฐานว่า การถือครองที่ดินของโบนันซ่าอาจมีเอกสารสิทธิที่ถูกต้องประมาณ 10% เท่านั้น นอกจากนี้ชุดสืบสวนยังได้เร่งสืบค้นประวัติการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กรมที่ดินประมาณ 10 ราย ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการออก นส.3 ก. และโฉนดให้กับโบนันซ่า ทำให้พบว่าเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ มีพฤติการณ์ออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบที่ดินในจังหวัดนครราชสีมาให้กับกลุ่มนายทุน และนักการเมืองตระกูลดังอีกหลายแปลง โดยแต่ละแปลง มีเนื้อที่ตั้งแต่ 100-1,000 ไร่ ปัจจุบันที่ดินในเขตป่าสงวนถูกนำไปพัฒนาก่อสร้างเป็นสนามกอล์ฟ และหมู่บ้านจัดสรร จนไม่หลงเหลือสภาพป่าไม้
** เกาะติด 5 กลุ่มต้านรัฐบาล
พล.ต.สรรเสริญ ยังกล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ระบุว่า ยังมีขบวนการที่ยังปลุกระดมต่อต้านรัฐบาลว่า ในรายละเอียดก็จะเหมือนกับที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้จัดกลุ่มไว้คือ 1. กลุ่มการเมืองที่สูญเสียอำนาจ 2. กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบของสังคม 3. กลุ่มธุรกิจที่เสียผลประโยชน์จากการปฏิรูป 4. ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ที่อาจไม่เกี่ยวกับกลุ่มทุน และกลุ่มการเมือง และ 5. กลุ่มที่จ้องจะป่วนเนื่องจากถ้าหากโรดแมปเดินหน้าสำเร็จ จะต้องเสียผลประโยชน์จากการปฏิรูป ซึ่งในกลุ่มเหล่านี้นั้น ก็มีบางกลุ่มที่เชื่อมโยงกับกลุ่มการเมืองอำนาจเก่า โดยมีการเคลื่อนไหวจากทั้งในประเทศ และนอกประเทศ
โดยสิ่งที่เป็นสิ่งบอกเหตุได้คือ มีการจาบจ้วงสถาบันฯ จากทั้งภายนอกประเทศ และภายในประเทศก็มีการขานรับลูกกัน รวมถึงเหตุระเบิดที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน และศาลอาญา รัชดาภิเษก ที่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะมีการโยงใยจะเห็นได้ว่า หลังจากจับกุมตัวผู้เกี่ยวข้องได้แล้ว ยังสามารถจับตัวผู้ร่วมขบวนการได้อีกหลายคน ซึ่งมีหลักฐานชัดเจนที่เชื่อมโยงกัน นอกจากนี้ ยังรวมไปถือการขานรับจากกลุ่มต่างๆ ทั้งสื่อหัวสีในประเทศ สื่อต่างประเทศ ที่มีล็อบบียิสต์วิ่งกันอยู่ เหล่านี้คือสิ่งที่บ่งบอกได้ชัดเจนว่า มีการเคลื่อนไหวจริง ไม่ได้อุปทานไปแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ทั้งนายกฯ และผู้เกี่ยวข้องด้านความมั่นคง ยังคงติดตามกลุ่มเหล่านี้อยู่ มีมาตราการทุกอย่างที่ให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าไประงับยับยั้งได้ในสิ่งที่เขาเตรียมการอยู่ ตนเชื่อว่าเมื่อยกเลิกกฎอัยการศึกแล้ว กลุ่มเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการติดตามจับตากลุ่มต่างๆ เหล่านี้ เจ้าหน้าที่ยังคงทำอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันสิ่งที่เรากังวลว่า จะปฏิบัติไม่สะดวกเหมือนตอนมีกฎอัยการศึก ก็มีการแยกออกมาเขียนเป็นกฎหมายฉบับใหม่ ถ้ายังขาดอยู่ก็มีสองกรณี แต่อาจไม่โดดเด่นจนเป็นอุปสรรคมากนัก คือ เรื่องการจัดระเบียบสังคม และการดำเนินการกับกลุ่มที่ชอบทวงหนี้นอกระบบ
**คสช.เบรกแดงจัดงานรำลึก 10 เม.ย.
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวถึงกรณีกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จะจัดงานเนื่องในโอกาสครบรอบเหตุการณ์การสลายการชุมนุม ในวันที่ 10 เม.ย.นี้ ว่า ต้องไปสอบถามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่เท่าที่ตนทราบข้อมูลจากคสช. พบว่าคสช.ไม่อนุญาตให้จัดงานนี้ เพราะเป็นการจัดการประชุมในเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งทุกคนทราบดีว่าการจัดกิจกรรมในลักษณะนี้ ต้องมีการให้ข้อมูลข่าวสารต่อสังคม และมีผู้ที่เกี่ยวข้องออกมาให้สัมภาษณ์ ซึ่งเนื้อหาที่จะออกมาย่อมเป็นไปตามความเข้าใจของกลุ่มคนดังกล่าวที่จะคงเป็นประเด็นปมขัดแย้งเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถเดินหน้าการปฏิรูปและก้าวข้ามความขัดแย้งได้ ดังนั้นวิธีทีี่ดีสุด คือขอให้ทุกฝ่ายหยุดวิพากษ์วิจารณ์ แล้วปล่อยให้เรื่องทั้งหลายเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และทุกฝ่ายต้องเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม มิฉะนั้นจะไม่มีทางแก้ไขปัญหาต่างๆได้
** 'เหวง'โวยคสช.ทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่
ด้านนพ.เหวง โตจิราการ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ฐานะแกนนำน ปช. กล่าวถึงกรณีที่ คสช. ระบุให้กลุ่ม นปช. ทำเรื่องถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขออนุญาตการจัดงานรำลึกถึงวีรชน นปช. ที่เสียชีวิต เมื่อปี 53 ในวันที่ 10 เม.ย. ที่วัดพลับพลาไชยว่า งานดังกล่าวถือเป็นเพียงงานทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิต โดยมีญาติของนปช. ที่เสียชีวิตเป็นเจ้าภาพจัดงานเท่านั้น ไม่มีการจัดเวทีปราศรัย หรือมีกิจกรรมการเมือง ที่ขัดคำสั่งของคสช. ดังนั้นคสช.ไม่ควรทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะหากงานของนปช. ต้องขออนุญาตแล้ว อาจกระทบต่อการจัดงานศพตามวัดต่างๆ ที่ต้องทำเรื่องขอจากคสช.ก่อน
นพ.เหวง กล่าวเรียกร้องไปถึง นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ฐานะแกนนำนปช. ให้ยุติการเสนอความเห็นที่ว่า ให้รัฐบาลทำบันทึกความเข้าใจ หรือ เอ็มโอยู ระหว่างแกนนำ และทุกฝ่ายที่เคลื่อนไหวว่า จะยุติความเคลื่อนไหว เนื่องจากนายวรชัยเป็นเพียง 1 ใน 20 แกนนำนปช.ไม่สามารถตัดสินใจแทนแกนนำคนใดได้ ขณะที่ปัจจุบันนปช.ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆอยู่แล้ว
**โพลหนุนใช้ ม.44 แต่ต้องโปร่งใส
สวนดุสิตโพล สำรวจความเห็นประชาชนเกี่ยวกับความเห็นการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก โดยประกาศใช้ มาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 แทน เพื่อสร้างความปรองดอง รักษาความสงบเรียบร้อย รวมถึงระงับและป้องกันปราบปรามการกระทำผิดที่อาจเกิดขึ้น
ผลสำรวจประชาชนคิดอย่างไร กับการประกาศใช้ มาตรา 44 ตาม รธน.ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 อันดับ 1 ขอให้ทำเพื่อส่วนรวมและความสงบสุขของบ้านเมืองอย่างแท้จริง 84.23% อันดับ 2 เป็นห่วงเรื่องการใช้อำนาจ อาจเป็นเผด็จการมากเกินไป 82.41% อันดับ 3 ทำให้ต่างชาติรู้สึกมั่นใจมากขึ้น โดยการยกเลิกกฎอัยการศึก 78.84% อันดับ 4 เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย มีทั้งผลดีและผลเสีย 62.04% อันดับ 5 ไม่ต่างกับกฎอัยการศึก ทหารเป็นผู้ควบคุมดูแล 58.08%
ส่วนคิดว่า“ผลดี”ที่คาดว่าจะได้รับจากการประกาศใช้ มาตรา 44 คือ อันดับ 1 บ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อย ควบคุมดูแลได้ง่าย 85.58% อันดับ 2 สามารถแก้ปัญหาได้รวดเร็ว เด็ดขาด 74.80% อันดับ 3 ทำให้คนเกรงกลัว ไม่กล้าทำผิดกฎหมาย 66.56% อันดับ 4 การท่องเที่ยว การลงทุนน่าจะฟื้นตัวเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น 64.66% อันดับ 5 ประชาชนรู้สึกปลอดภัย มั่นใจในการทำงานของ คสช. 63.47%
สำหรับ “ผลเสีย”ที่คาดว่าจะได้รับจากการประกาศใช้ มาตรา 44 อันดับ 1 ไม่มีการตรวจสอบ ถ่วงดุลอำนาจ 79.79% อันดับ 2 อาจเกิดความขัดแย้ง มีการคัดค้าน ต่อต้านจากผู้ที่ไม่เห็นด้วย 76.86% อันดับ 3 เนื้อหาของกฎหมายไม่ชัดเจน อาจทำให้มีอำนาจมากเกินไป 63.00% อันดับ 4 ถูกมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน 60.22% อันดับ 5 ต่างชาติอาจไม่ให้การยอมรับ กระทบต่อความเชื่อมั่น 56.34%
ส่วนประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ ว่าควรจะมีการใช้มาตรา 44 อันดับ 1 เห็นควรใช้ มาตรา 44 51.58% เพราะ ช่วยควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองได้ดี ระงับและป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้น ช่วยให้ทำงานได้เด็ดขาด แทนการใช้กฎอัยการศึก ลดความกดดันจากต่างชาติ การท่องเที่ยวและการลงทุนอาจฟื้นตัวได้ดีขึ้น ฯลฯ อันดับ 2 ไม่ควรใช้ มาตรา 44 32.33% เพราะเป็นการใช้อำนาจโดยไม่มีการตรวจสอบ ทำให้มีอำนาจมาก อาจกลายเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ฯลฯ อันดับ 3 ใช้ก็ได้ไม่ใช้ก็ได้ 16.09% เพราะ ยังไม่รู้เนื้อหารายละเอียดที่ชัดเจน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองมากกว่า ควรรอดูสักระยะ ฯลฯ
สิ่งที่ประชาชนอยากฝากบอก คสช. กรณีประกาศใช้ มาตรา 44 อันดับ 1 ขอให้ใช้อำนาจในทางที่ถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม ทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน 77.81% อันดับ 2 ปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิด ทุจริตคอร์รัปชันมาลงโทษอย่างเด็ดขาด 71.16% อันดับ 3 เร่งแก้ไขปัญหาสำคัญของประชาชน โดยเฉพาะปากท้องและชีวิตความเป็นอยู่ 69.57% อันดับ 4 อาจมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆทั้งในและต่างประเทศ ขอให้อดทนตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด 65.21% อันดับ 5 ขอให้รับฟังความคิดเห็นของประชาชน เพื่อนำไปแก้ปัญหาได้ตรงจุด 61.41%