xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯยันไม่กลั่นแกล้งใคร เดินหน้าม.44 บิ๊กป้อมลั่นไว้ป้องกันคนคิดชั่ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"บิ๊กตู่" เดินหน้าใช้อำนาจ ม. 44 ยันจะใช้อย่างสร้างสรรค์แค่เรื่องความมั่นคง คดีละเมิดสถาบันฯ ไม่รุกรานไม่กลั่นแกล้งใคร ชี้แม้ทำแย้งศาล ถ้าไม่เกินกว่าเหตุ ถือว่าไม่ผิด ปัดเจอ "ทักษิณ" ที่สิงคโปร์ บอกนักข่าวจะเตือนตัวเองให้เลิกโมโห กลัวเส้นเลือดแตกตาย ”ประวิตร” ลั่นใช้ป้องกันคนคิดไม่ดีต่อประเทศ "วิษณุ"เผยร่าง ม.44ถึงมือแล้ว เตรียมเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนวันนี้ ด้าน กสท. มีมติ เชือดทีวีจอแดง "PEACE TV-TV 24" ฐานออกอากาศขัดคำสั่ง คสช.

วานนี้ (30 มี.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวถึงการเตรียมยกเลิกการใช้ประกาศกฎอัยการศึก แล้วหันมาใช้อำนาจมาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว2557 แทน ว่า ตนจะใช้อำนาจตามมาตรา 44 อย่างสร้างสรรค์ มาตรา 44 เป็นการให้อำนาจตนในฐานะหัวหน้ารัฐบาล สามารถทำอะไรที่ให้เกิดความสงบเรียบร้อยในประเทศชาตินี้ได้ โดยสามารถทำได้เลย ไม่ต้องอาศัยอำนาจทาง 3 แท่ง คือ บริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ

"ถามว่าคนอย่างผม จะเพื่อไปรุกรานหรือแกล้งใคร ผมไม่ทำ แต่มันจำเป็น เข้าใจหรือยัง อะไรก็ได้ มาตรา 47 ก็มี ผมยังไม่ใช้สักอัน ตรงนี้ขอให้เข้าใจผมบ้าง ทำไมกลัวนักหนา มาตรา 44 วันนี้ไม่กลัวหรือ กฎอัยการศึก ซึ่งหนักกว่า มาตรา 44 ควบคุมทุกเรื่อง" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคเพื่อไทย เสนอหากจะใช้กฎหมายพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการฉุกเฉิน นายกฯ กล่าวว่า ลองไปถามทั้งสองพรรค สองรัฐบาลที่ผ่านมา 10 ปีที่ผ่านมา ประกาศหรือเปล่า ทั้ง พ.ร.บ.ความมั่นคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่ก็ยังตีกันเหมือนเดิม แล้วทั้งสองรัฐบาลโดนทั้งคู่ หากตนไปใช้แบบนั้น แล้วจะเอาอยู่ไหมล่ะ

เมื่อถามว่า แสดงว่านายกฯ จะใช้อำนาจตาม มาตรา 44 ที่มีอยู่อย่างจำกัด ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า พูดไปร้อยครั้งแล้ว ใช้อย่างสร้างสรรค์ ไม่ได้ใช้เพื่อสร้างความขัดแย้ง ฉะนั้นต้องเข้าใจ แต่คนที่ขัดแย้งใช้สิ่งเหล่านี้ เพื่อทำให้รัฐธรรมนูญ บ้านเมืองปลอดภัย ตนว่ามีเจตนาอะไรกันหรือเปล่า ไม่แน่ใจนะ ไม่อยากไปกล่าวอ้าง ขอถามว่ายกเลิกกฎอัยการศึกแล้วจะเกิดอะไรขึ้น 1. การประท้วง 2. แกนนำออกมาเคลื่อนไหว ท้าทายรัฐบาล ใช่หรือเปล่า ใช่ไหม ไม่มีใครตอบ ตอบสิ

"มาตรา 44 ให้ผมทำอะไรก็ได้ ถึงจะไปขัดแย้งกับสามอำนาจศาล ผมก็ทำได้ ถ้ามันทำแล้วไม่เกินกว่าเหตุ หรือสร้างสรรค์ ผมไม่มีความผิด เป็นการใช้อำนาจอาศัยตาม มาตรา 44 จะออกเป็นคำสั่งตามอำนาจ คสช. หรือรัฐบาลก็ได้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้เจอ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ศูนย์วัฒนธรรม มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ในงานพิธีเคารพศพ นายลี กวน ยู อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า " ไม่เจอ เขาคงจัดระเบียบ ไม่ใช่ใครเจอใครก็ได้ งานนี้เป็นงานศพ คงไม่มีใครไปคิดอย่างนั้น ต้องให้เกียรติเขา ผมไม่ต้องการพบใครอยู่แล้ว ถึงมา รปภ.ผมก็ไม่ให้เข้า หมายถึงใครจะมา รปภ.ผมก็ไม่ให้พบกับคนที่ไม่ควรจะพบอยู่แล้ว ผมจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง เขียนเรื่อยเปื่อย ไปหาว่ามีการติดต่อกัน ติดต่อใครล่ะ ทางอากาศมั้ง หายใจร่วมกันอะ ปัดโธ่"

**"ประยุทธ์" เตือนตัวเองจะเลิกโมโห

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา เมื่อเวลา 13.45 น.? วานนี้ ภายหลังเป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า ที่กระทรวงคมนาคม โดยก่อนให้สัมภาษณ์กับสื่อ พล.อ.ประยุทธ์? ได้ปรารภกับผู้สื่อข่าวระจำทำเนียบรัฐบาล ว่า "เมื่อวาน (29 มี.ค.) ทำไมไม่ไปรับ ทำไมไม่ไปรับฉัน เธอส่งใครไปรับฉัน "

เมื่อผู้สื่อข่าวตอบว่า ก็เป็นนักข่าวเหมือนกัน บางคน ก็ พล.อ.ประยุทธ์? ก็หันมายิ้ม ก่อนจะพยักหน้าเป็นสัญลักษณ์ว่าเข้าใจ พร้อมกล่าวว่า "โอเคนะ ก็อย่างน้อยมีพวกเยอะหน่อย พวกเรา เอ้าใครจะถามอะไรว่ามา"

อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดการให้สัมภาษณ์ และแถลงข่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ ?ในวันที่ 30 มี.ค. ก็ยังคงปกติ มีทั้งน้ำเสียงดุดัน เสียงดัง และแสดงอารมณ์โมโหบ้างบางช่วงบางตอนเช่นเดิม โดยเฉพาะเมื่อถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการเตรียมออกคำสั่ง คสช.เพื่อใช้ มาตรา 44 และ ปัญหาที่ญี่ปุ่นระงับการเพิ่มเที่ยวบินเหมาลำจากไทย

ทั้งนี้ระหว่างการให้สัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์? ได้บ่นผู้สื่อข่าวว่า มีเรื่องอะไรสื่อมักจะมาลงที่ตนเพียงคนเดียว ทั้งที่พยายามแก้ให้ทุกเรื่อง ประชุมก็นาน สั่งงานก็เยอะปวดท้องไปหมดแล้ว บางวันพูดคนเดียว ถามคนเดียว วันนี้ก็ประชุมไป 3-4 ชั่วโมง พูดคนเดียว

"และบางครั้งการให้สัมภาษณ์ผมก็เผลอตัว เสียงดังบ้าง โมโหบ้างนิดหน่อย ตอนนี้เขาก็ห้ามผมไม่ให้โมโหบ่อยแล้ว เดี๋ยวตายก่อน พวกสื่ออยู่ได้เพราะถามแค่ประโยคเดียวแต่ฉันตอบแบบยาวเหยียด"

เมื่อถามว่าใครเป็นคนเตือนไม่ให้โมโห และพูดน้อยๆ พล.อ.ประยุทธ์?กล่าวว่า "ผมเตือนตัวผมเอง เพราะว่าผมปวดหัวไง พูดแล้วโมโห ก็ปวดหัว เส้นโลหิตมันจะแตก เดี๋ยวตายก่อน ยอมรับว่าผมเป็นคนขี้โมโห แต่ตอนนี้ผมพยายามที่จะหยุดเพราะน้องๆ น่ารักทุกคน"

**"วิษณุ"เผยร่าง ม.44 ถึงมือแล้ว

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ในฐานะได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประยุทธ์ ให้ดูการประกาศใช้ มาตรา 44 ว่า ตนเพิ่งได้รับเนื้อหาร่างข้อกำหนดในการใช้ มาตรา 44 เมื่อเช้าวันที่ 30 มี.ค. ซึ่งได้ดูไปบ้างแล้ว แต่ยังไม่ได้ดูรายละเอียดทั้งหมด โดยเป็นการร่างจากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ร่างมาเรียบร้อยแล้ว ในส่วนของตนจะมาดูข้อกฎหมายเท่านั้น

เมื่อถามว่า จากนี้จะต้องหารือฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดหรือไม่ อย่างฝ่ายความมั่นคงที่ต้องนำไปปฏิบัติ นายวิษณุ กล่าวว่า หารือกันมาเรียบร้อยแล้ว มาถึงตนดูในเชิงกฎหมายเท่านั้นเอง ขอดูรายละเอียดทั้งหมดก่อน ได้ความอย่างไร แล้ววันนี้ (31 มี.ค.) จะเล่าให้ฟัง คงมีอะไรพูดบ้าง แต่อาจไม่หมด ตอนนี้พูดไปเดี๋ยวไม่จบ ไม่สิ้นกระแสความ

เมื่อถามว่า จะต้องใช้ 3 ศาล ในศาลทหาร คือ ศาลทหาร ศาลทหารกลาง และศาลทหารสูงสุด เหมือนศาลพลเรือน หรือไม่ ที่หลังศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว คำตัดสินจะไม่ใช่สิ้นสุดเพียงศาลเดียว นายวิษณุ กล่าวว่า ไว้พูดทีเดียว อย่าหลุดทีละท่อน สองท่อน ต่อไม่ติดจะเข้าใจผิด

**"ปณิธาน"เผยเข้าโหมดซักซ้อมแล้ว

นายปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงการใช้มาตรา 44 แทนกกฎอัยการศึก ว่า อยู่ระหว่างซักซ้อมข้อกำหนดแล้ว อะไรทำได้ ทำไม่ได้ เพราะภาพรวม มาตรา 44 มันกว้าง โดยเป็นการนำข้อดี 3 กฎหมาย คือ กฎอัยการศึก พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 และ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาพิจารณา ดูอะไรที่เป็นอุปสรรคในช่วงใช้ ปรับเปลี่ยนให้ยืดหยุ่น ยึดหลักการควบคุมกลุ่มขบวนการต่างๆ ที่เคลื่อนไหวสร้างเงื่อนไข ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพื่อเปิดพื้นที่ให้กลุ่มที่หวังดี แสดงความคิดเห็นตรงไปตรงมาเคลื่อนไหวได้มากขึ้น ทำบรรยากาศการร่างรัฐธรรมนูญ และการปฏิรูปดีขึ้น ตามหลักการที่นายกฯให้ไว้ มาตรา 44 จะออกเป็นคำสั่ง หรือประกาศคสช. และถ้ายกเลิกกฎอัยการศึก หากบางประเทศบอกว่ายังไม่เป็นประชาธิปไตย จะขอสงวนท่าทีก็ไม่ว่ากัน เข้าใจได้ แต่เมื่อพูดว่าต้องการให้ไทยยกเลิกกฎอัยการศึก เพราะกระทบเศรษฐกิจ การลงทุน เมื่อยกเลิกแล้วก็รอดูปฏิกริยา

** ใช้ม.44 กับคดีมั่นคง-ละเมิดสถาบันฯ

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช. ) กล่าวว่า ส่วนตัวสนับสนุนแนวทางดังกล่าวของพล.อ.ประยุทธ์ โดยขอชี้แจงว่า ที่ผ่านมา แม้รัฐบาลจะใช้กฎอัยการศึก ซึ่งดูว่าเป็นกฎหมายที่รุนแรงในสายตาต่างชาติ แต่ในทางปฏิบัติ คสช. กลับใช้อำนาจดังกล่าวบางเรื่อง บางมาตราเท่านั้น ไม่ได้กระทบต่อสิทธิ และเสรีภาพของประชาชน ประกอบกับคดีอาญาต่างๆ ก็ไม่ได้ขึ้นศาลทหารทั้งหมด แต่กฎอัยการศึก มีไว้ใช้เพื่อควบคุมคดีความมั่นคง ละเมิดสถาบันฯ การสั่งให้บุคคลรายงานตัวเท่านั้น

ในฐานะที่ตนเป็นหนึ่งในแม่น้ำ 5 สาย และ ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว โดยปัจจุบันมาตรา44 มีผลใช้บังคับอยู่แล้ว ควบคู่ไปกับกฎอัยการศึก แต่เจตนารมณ์ของ มาตรา 44 มีลักษณะพิเศษ คือ เป็นการให้อำนาจหัวหน้า คสช. ดูแลประเทศให้เป็นไปตามโรดแมปที่วางไว้ เพื่อเสริมสร้างความสามัคคี ไม่ใช่กฎหมายที่เข้าไปแทรกอำนาจฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นกรณีที่ศาลพิจารณาคดีใดอยู่ หัวหน้า คสช. ก็ไม่สามารถใช้อำนาจเข้าไปแทรกแซงคดีนั้นได้ เพราะ มาตรา 44 จะมีไว้เพื่อสร้างกลไก หรือกฎหมาย เพื่อดำเนินการควบคุมความสงบเรียบร้อยเท่านั้น ซึ่งคาดว่า คสช.มีแนวโน้มจะประกาศใช้กฎหมาย เพื่อออกแนวทางปฏิบัติกับคดีความมั่นคง และคดีละเมิดสถาบันฯ โดยอาศัยอำนาจตาม มาตรา 44 โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของสนช. เพื่อความรวดเร็วต่อการยกเลิกกฎอัยการศึก

เมื่อถามว่า สังคมจะมีหลักประกันอย่างไร เมื่อ มาตรา 44 ใช้อำนาจหัวหน้าคสช. เพียงคนเดียวในการตัดสินใจ นายพรเพชร กล่าวว่า เท่าที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ที่ไม่ถูกต้อง เกินความจำเป็น และคิดว่ามีการใช้อำนาจตาม มาตรา 44 จริง ก็จะเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับศรัทธาประชาชน ที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ และคิดว่า กฎหมายที่ออกตามมาตรา 44 จะไม่มีดีกรีความความรุนแรงมากกว่ากฎอัยการศึก ไม่กระทบต่อการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ในช่วงการปฏิรูปประเทศ

" หลักประกันการใช้อำนาจ มาตรา 44 อยู่ที่ตัวหัวหน้า คสช. และความศรัทธาของประชาชน ถ้าท่านทำความดีและใช้กฎหมายอยู่ในขอบเขตที่ถูกต้อง ผมก็เชื่อว่า มาตรา 44 จะเป็นประโยชน์ และจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมา หัวหน้า คสช. ยังไม่เคยใช้อำนาจที่รุนแรง ดังนั้นคงต้องดูกันต่อไป ท่านต้องสร้างความเชื่อมั่น" นายพรเพชร กล่าว

***บิ๊กป้อมลั่นใช้ป้องกันคนคิดไม่ดีต่อประเทศ

ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณี น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) แสดงความกังวลต่อการที่ นายกฯจะนำมาตรา 44 มาใช้แทนกฎอัยการศึก จะทำให้นายกฯ ใช้อำนาจมากเกินไป และเสนอให้ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แทนว่า ไม่น่าจะต้องมาสอนกัน เพราะกฎหมายที่นำมาใช้ เพื่อป้องกันคนคิดไม่ดีต่อประเทศเท่านั้น ดังนั้นคนดีไม่ต้องเป็นห่วง และไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยที่ผ่านมาทั้ง พ.ร.บ.ความมั่นคง และพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เคยใช้มาแล้วเป็น10 ปี แต่ก็ไม่ได้ผล

"เจ้าหน้าที่ทุกคนทราบกฎหมายดี และสุดท้ายนายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยเห็นว่าสื่อมวลชนไม่ควรตั้งคำถามเรื่องนี้อีก เพราะนายกรัฐมนตรีตอบมาแล้วหลายครั้ง" พล.อ.ประวิตร กล่าว

**เชือดจอแดง"PEACE TV-TV 24"

วานนี้ (30 มี.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) มีมติ 4 ต่อ 1 สั่งพักใบอนุญาตสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม พีซทีวี (PEACE TV)และสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ทีวี ยี่สิบสี่ (TV 24) เป็นระยะเวลา 7 วัน หลังออกอากาศมีเนื้อหายั่วยุ ปลุกปั่น ขัดกับประกาศ คสช. ฉบับที่ 97 และ 103 ทั้งนี้ คณะกรรมการของคสช.ได้ส่งข้อมูลให้ กสท. พิจารณาสั่งระงับการออกอากาศ ส่งผลให้ต้องระงับการออกอากาศ และแจ้งโครงข่ายดาวเทียมให้ทราบ

นายสมบัติ ลีลาพตะ รักษาการ รองเลขาธิการ กสท. เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้พิจารณาการออกอากาศรายการโทรทัศน์ช่องรายการ 24 ทีวี ตามที่คณะอนุกรรมการพิจารณาผังรายการ ที่ตรวจสอบเนื้อหาของ กสทช. เสนอ เห็นว่าเนื้อหารายการเข้าข่ายให้ข้อมูลข่าวสารยั่วยุ ปลุกปั่น ขัดต่อประกาศ คสช. ฉบับที่ 97/2557 และฉบับที่ 103/2557 ได้แก่ รายการ Awakened ออกอากาศวันที่ 2, 5 และ 10 มี.ค. 58, รายการ News Room ออกอากาศ 28 ก.พ., 2 และ 10 มี.ค. 58 และรายการ The Clear ออกอากาศ 7 มี.ค. 58 โดยที่ประชุมมีมติเสียงข้างมาก เห็นด้วยตามที่คณะอนุกรรมการเสนอฯ และหน่วยงานความมั่นคงส่งมาว่า ขัดกับประกาศ คสช.จริง จึงมีมติให้พักใช้ใบอนุญาตการออกอากาศช่องรายการ 24 ทีวี เป็นเวลา 7 วัน นับตั้งแต่วันได้รับหนังสือแจ้งคำสั่ง และให้มีหนังสือแจ้งผู้ให้บริการโครงข่ายทีวีดาวเทียมไทยคม เพื่อระงับการออกอากาศ

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติให้พักใช้ใบอนุญาต ช่องรายการ พีช ทีวี เป็นเวลา 7 วัน หลังหน่วยงานความมั่นคงส่งความเห็นมาว่า มีเนื้อหาขัดประกาศ คสช.ได้แก่ รายการมองไกล (ดำเนินรายการโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ) ออกอากาศ 28 ก.พ. และ 7 มี.ค. 58, รายการคิดรอบด้าน ออกอากาศ 4 และ 5 มี.ค.58 (ดำเนินรายการโดย นายธนกร ภักดีนพรัตน์ แขกรับเชิญ นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ และ นายสมพงษ์ สระกวี), รายการเดินหน้าต่อไป (ดำเนินรายการโดย นพ.เหวง โตจิราการ) ออกอากาศ 4-6 มี.ค.58 และรายการเข้าใจตรงกันนะ (ดำเนินรายการโดย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) ออกอากาศ 4 และ 5 มี.ค.58 โดยที่ประชุมเสียงข้างมาก มีมติว่า การออกอากาศดังกล่าว มีเนื้อหายั่วยุปลุกปั่น ขัดต่อประกาศ คสช. ตามที่ผู้รับใบอนุญาตเคยทำบันทึกข้อตกลงร่วมกันกับ สำนักงาน กสทช. ตามที่คณะอนุกรรมการพิจารณาผังรายการเสนอ

ทั้งนี้ ในส่วนของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมพีซทีวี ซึ่งมีผู้ดำเนินรายการเป็นแกนนำกลุ่ม นปช. หรือกลุ่มคนเสื้อแดง พบว่าก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ กสทช. ได้เรียกนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่ม นปช. ในฐานะผู้บริหารช่องพีซทีวี เพื่อสอบถามถึงแผนผังรายการและชี้แจงว่า เนื้อหาบางรายการ เช่น รายการมองไกล ที่นายจตุพร เป็นผู้ดำเนินรายการนั้น ค่อนข้างรุนแรง และสร้างความไม่เข้าใจกันต่อสถานการณ์บ้านเมือง อีกทั้งยังมีเนื้อหาต่อว่า คสช. ด้วย ก่อนจะทำการปิดช่องชั่วคราวเป็นเวลา 7 วัน

ต่อมานายจตุพร ได้กล่าวออกทีวีว่า การสั่งปิดทีวีคนเสื้อแดง ที่ถือเป็นการทำร้ายหัวใจฝ่ายเดียว เพราะทีวีบางช่องใช้ถ้อยคำยิ่งกว่าทีวีเสื้อแดงไม่เห็นมีปัญหา ที่ผ่านมาได้เปิดรายการฟังความรอบด้าน โดยเชิญผู้รว่มรายการแต่ละฝ่ายมาทั้งหมด แต่ไม่สามารถเชิญผู้ร่วมรายการมาทั้งวันได้ เพราะหาคนยาก แต่ได้พยายามเปิดประตู คนในแม่น้ำ 5 สาย และฝ่ายตรงข้าม เช่น กลุ่ม กปปส. มาร่วมรายการ พร้อมตั้งคำถามกับ กสทช. ว่าทำไมไม่สร้างบรรยากาศไม่ให้เลวร้าย หรือทำไมต้องไปบีบบังคับให้คนไม่มีที่ยืน หรือบีบบังคับให้จนตรอก

อย่างไรก็ตาม พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ (กสท.) โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กเพจ “Natee Sukonrat” ตอบโต้นายจตุพร ว่า การได้รับการอนุญาตให้เปิดสถานีโทรทัศน์ขึ้นมาออกอากาศใหม่ ได้อีกครั้งหลังถูกคำสั่ง คสช.ให้ปิดสถานี เป็นการดำเนินการเปิดโดยมีเงื่อนไขว่า จะไม่มีการออกอากาศเนื้อหาที่ส่งผลทำให้เกิดความแตกแยก หรือกระทบกับความมั่นคงของชาติ ซึ่งทุกสถานีได้ยอมรับข้อตกลงดังกล่าว ดังนั้นในห้วง 6 เดือนที่ผ่านมา กสท.ได้เชิญสถานีที่ออกอากาศเนื้อหาไม่ถูกต้องมาตักเตือนโดยตลอด กสท.ได้ดำเนินการตามลำดับขั้นตอน มีกระบวนการชัดเจน ไม่เลือกปฏิบัติต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ตามหลักกฎหมายและข้อตกลงที่ได้จัดทำร่วมกัน

**"สมจิตต์"ปวดใจบิ๊กตู่ซัดไม่ใช่คนไทย

วานนี้ (30 มี.ค.) น.ส.สมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์สี ช่อง 7 ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก“สมจิตต์ นวเครือสุนทร”ในหัวข้อ “ช่วงเวลาท้าทายระหว่าง“สื่อ”กับ“ผู้มีอำนาจ”” ซึ่งได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่น.ส.สมจิตต์ เดินทางไปสัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ที่เดินทางกลับจากการร่วมพิธีศพ นายลี กวนยู ที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 29 มี.ค. ซึ่งมีการถามตอบคำถามที่ค่อนข้างดุเดือด และมีช่วงหนึ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ เปรียบเปรยว่า น.ส.สมจิตต์ ไม่ใช่คนไทย ว่า ส่วนตัวมีความเข้าใจพล.อ.ประยุทธ์ ที่อาจมีความเครียดจากการบริหารประเทศที่หนัก และเหนื่อย แต่ในฐานะสื่อมวลชน ก็มีหน้าที่ในการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นจริงต่อประชาชนเช่นเดียวกัน

"ดิฉันไม่โกรธ และไม่มีอคติกับพล.อ.ประยุทธ์ แต่อยากบอกตรงๆว่า ตลอดการทำข่าวกว่า 20 ปี ไม่เคยเศร้า และสะเทือนใจมากเท่านี้มาก่อน เพราะเพิ่งรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนไทย จากการตัดสินของคนเป็นผู้นำประเทศ" น.ส.สมจิตต์ ระบุ

นอกจากนี้ น.ส.สมจิตต์ ยังระบุถึงการนำเสนอข่าวของเว็บไซต์มติชนออนไลน์ ด้วยว่า“ขอขอบคุณที่เกาะติดความเคลื่อนไหวของดิฉัน ทั้งที่เป็นแค่นักข่าวคนหนึ่ง แต่การนำเสนอข่าวที่พาดหัวว่า “คลิป “บิ๊กตู่”ปะทะ“สมจิตต์ ช่อง 7”ผมแก้ปัญหาเศรษฐกิจดีกว่ารัฐบาลที่คุณชอบ” นั้น เป็นความพยายาม ที่ต้องการชี้นำบางอย่าง”

ทั้งนี้ น.ส.สมจิตต์ ยังระบุด้วยว่า มีความยึดมั่นในเรื่องความดี และตลอดชีวิตการเป็นสื่อสารมวลชน มั่นใจว่าไม่เคยทำผิดต่อจรรยาวิชาชีพ โดยไม่เคยรับเงินรัฐบาลใด 240 ล้าน เพื่อจัดงานอีเวนต์ประชาสัมพันธ์ และไม่เคยหลบหนีกระบวนการตรวจสอบของสมาคมวิชาชีพ ด้วยการลาออกจากการเป็นสมาชิก

"ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องขอบคุณที่กรุณานำคลิปสัมภาษณ์มาเผยแพร่ แต่คงจะดีกว่านี้ ถ้าไม่มีการตัดต่อเลย" น.ส.สมจิตต์ ระบุในช่วงท้าย.
กำลังโหลดความคิดเห็น