ในช่วงนี้มีเรื่องราวของมหาเศรษฐีถี่ยิบ ในสื่อหลากหลายรวมทั้งในสังคมออนไลน์เช่นเฟซบุ๊ก ทั้งนี้คงเพราะเฉกเช่นทุกปี นิตยสารฟอร์บส์แถลงการจัดอันดับมหาเศรษฐีออกมาในตอนต้นปี ทั้งในระดับโลกและในระดับประเทศ นอกจากนั้น สื่ออื่นมักนำเรื่องราวของมหาเศรษฐีเหล่านั้นมาเสนอว่าพวกเขาเอาทรัพย์สินอันมหาศาลนั้นไปทำอะไร
ปีนี้ สื่อไทยและผู้ใช้สังคมออนไลน์เฟซบุ๊กนำมาขยายต่อ โดยเฉพาะรูปของมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของเมืองไทย (ภาพ 1) ซึ่งมีทรัพย์สิน 13,600 ล้านดอลลาร์ หรือราว 4.4 แสนล้านบาท ตามมาติดๆ ด้วยอันดับ 2 ซึ่งมีทรัพย์สิน 13,200 ล้านดอลลาร์ อันดับ 2 เป็นเจ้าของเบียร์ช้างซึ่งฟอร์บส์ประเมินว่า ในช่วงปีที่ผ่านมามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากที่สุด นั่นคือ 4,200 ล้านดอลลาร์
แต่ฟอร์บส์มิได้นำคนไทยมาเสนอเพียง 2 คนเท่านั้น หากนำมาทั้งหมด 17 คนซึ่งมีทรัพย์สินเข้าข่ายของเขา นั่นคือ มีอย่างน้อย 1 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่า 32,000 ล้านบาท มีใครบ้างตรวจสอบดูได้ ผมถ่ายหน้านิตยสารฟอร์บส์ประจำเดือนมีนาคมแนบมา (ภาพ 2 อาจต้องขยายเพื่ออ่านรายชื่อและตัวเลขความร่ำรวย) อาจสังเกตจากภาพได้ว่าอีก 15 คน แม้จะติดอันดับ แต่ก็ยังห่างสองคนแรกมากเนื่องจากไม่มีใครมีทรัพย์สินถึง 4 พันล้านดอลลาร์ ฉะนั้น จึงนับได้ว่า มหาเศรษฐีไทยหมายเลข 1 และ 2 นั้นเป็นระดับโลกอย่างแท้จริงคือ เป็นอันดับ 81 และอันดับ 87 ส่วนคนไทยคนต่อไปเป็นอันดับ 452
นิตยสารนำมหาเศรษฐีอเมริกันมาเสนอเช่นเคย ตามคาด สองเพื่อนซี้ (แม้จะต่างวัยกันมากถึงกับเป็นรุ่นลูกกับพ่อ) บิล เกตส์ และวอร์เรน บัฟเฟตต์ (ภาพ 3) เข้ามาเป็นอันดับ 1 และ 2 ด้วยทรัพย์สิน 79,2000 ล้านดอลลาร์และ 72,7000 ล้านดอลลาร์ตามลำดับ
สำหรับเรื่องเศรษฐีนำทรัพย์สินไปทำอะไร สำนักข่าวรอยเตอร์เพิ่งเสนอเรื่องราวของทิม คุก (ภาพ 4) เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ในการให้สัมภาษณ์นิตยสารฟอร์จูน เขาบอกว่าจะบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์หลังจากเก็บไว้เพียงส่วนที่จะใช้ส่งหลานชายวัย 10 ขวบให้เรียนหนังสือเท่านั้น (ทิม คุก ไม่มีลูกเพราะเป็นเกย์) ทิม คุก เป็นหัวหน้าคณะผู้บริหารของบริษัทแอปเปิลซึ่งในขณะนี้มีมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์สูงที่สุดในโลก เขามิได้เป็นมหาเศรษฐีระดับโลกเช่นเดียวกับบิล เกตส์ เพราะมิใช่เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิลเอง รอยเตอร์รายงานว่าเขามีทรัพย์สินราว 785 ล้านดอลลาร์
แม้รายงานนั้นจะมิได้บอกว่า ทิม คุก ได้เข้าร่วมโครงการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ของบิล เกตส์ และ วอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือไม่ แต่ในบริบทของรายงาน เขาคงเข้าร่วมแน่ แต่มิได้ลงชื่อไว้และไม่ได้เขียนข้อความที่ให้เหตุผลว่าเพราะอะไรเขาจึงทำเช่นนั้น
โครงการของบิล เกตส์ และวอร์เรน บัฟเฟตต์ ชื่อ Giving Pledge ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ในเว็บไซต์ www.givingpledge.org (ภาพ 5) เป้าหมายของโครงการคือ เชิญชวนมหาเศรษฐีด้วยกันให้บริจาคทรัพย์สินอย่างน้อยกึ่งหนึ่งเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ (บิล เกตส์ จะบริจาค 95% ของทรัพย์สิน ส่วนวอร์เรน บัฟเฟตต์ จะบริจาค 99%)
ตอนนี้มหาเศรษฐี 128 คนเข้าร่วมโครงการแล้ว รวมทั้งมหาเศรษฐีหนุ่ม มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก (ภาพ 6) ผู้ก่อตั้งสังคมออนไลน์เฟบุ๊คซึ่งอายุเพียง 30 ปีเท่านั้น (เขาเริ่มบริจาคครั้งแรกเมื่ออายุ 25 ปีด้วยเงิน 100 ล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนการศึกษาที่รัฐนิว เจอร์ซี) ในบรรดาเหตุผลที่มหาเศรษฐีเหล่านั้นเขียนไว้ในเว็บไซต์ดังกล่าว เหตุผลหนึ่งซึ่งเด่นชัดมากคือ พวกเขาบอกว่ารู้สึกโชคดีที่มีทรัพย์สินมหาศาลและต้องการทดแทนคุณของโลกด้วยการช่วยเหลือชาวโลกให้โชคดีบ้าง
สังคมออนไลน์พูดถึงมหาเศรษฐีไทยกันมาก เท่าที่พออ่านได้ ส่วนใหญ่เป็นไปในทางลบเพราะพวกเขาถูกมองว่าขาดจรรยาบรรณและเป็นเสมือนปลิงที่คอยสูบเลือดของสังคม การบริจาคหากมีบ้างก็ทำไปเพื่อสร้างภาพ หรือเพื่อการเอื้อให้เข้าหาผู้มีอำนาจได้โดยหวังจะใช้เป็นทางต่อยอดความร่ำรวยและเอาเปรียบสังคมของตน (ภาพ 7)
เนื่องจากในช่วงนี้มีประเด็นเรื่องภาษีที่ดินซึ่งรัฐบาลพับไปด้วยเหตุผลที่มีผู้สงสัยว่าเพราะไม่ถูกใจมหาเศรษฐีผู้มีที่ดินมากที่สุด จึงมีผู้นำข้อมูลเกี่ยวกับการถือครองที่ดินมาเสนอ (ภาพ 8) จะเห็นว่ามหาเศรษฐีหมายเลข 1 และ 2 เป็นเพียงสองคนเท่านั้นที่ถือครองที่ดินนับแสนไร่ ทิ้งคนอื่นไปแบบไม่เห็นฝุ่น
ในขณะเดียวกัน ก็มีอีกส่วนหนึ่งของสังคมออนไลน์ที่กล่าวหาว่า มหาเศรษฐีไทยอยู่เบื้องหลังการเผาป่าที่ทำให้เกิดหมอกควันร้ายแรงในภาคเหนือของไทยอยู่ในปัจจุบัน ต้นเหตุส่วนหนึ่งของการเผาป่านั้นก็เพื่อปลูกข้าวโพดตามโครงการเกษตรพันธสัญญาซึ่งมหาเศรษฐีคนหนึ่งทำอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ผมไม่มีข้อมูลที่จะยืนยันความถูกผิดของข้อกล่าวหา ได้แต่หวังว่ามหาเศรษฐีไทยจะไม่เลวทรามต่ำช้าถึงขนาดนั้น ภาพ 9 เป็นหนึ่งในหลายๆ ภาพที่มีอยู่ในสังคมออนไลน์เฟซบุ๊กในขณะนี้ซึ่งมักมีผู้เข้ามาให้ความเห็นต่อท้ายในแนวชิงชังอย่างนำมาเขียนต่อไม่ได้
ขอเรียนท่านมหาเศรษฐีไทยว่า ผมไม่ทราบว่าท่านคิดอย่างไรและทำอะไร แต่ส่วนใหญ่ผมยังมองในแง่ดีว่า พวกท่านจะหาโอกาสทดแทนคุณแผ่นดินไทยที่เอื้อให้ท่านร่ำรวยจนจะกินและใช้ไปร้อยชาติก็ยังไม่หมด ตอนนี้ผมมีข้อเสนอต่อท่านที่มีที่ดินจำนวนมากว่า กรุณาพิจารณาหาทางทำโครงการนำร่องในด้านการเก็บน้ำฝนไว้เพื่อใช้แก้ความแห้งแล้งแสนสาหัสซึ่งเวียนมาเยือนเมืองไทยทุกปี ผมได้เสนอต่อรัฐบาลไทยไปแล้ว แต่ไม่มีใครฟัง คงเพราะสายตาไม่ยาวพอ ข้อเสนอของผมคือ ใช้พื้นที่ซึ่งไม่มีการชลประทานและขาดน้ำแสนสาหัส 500-1,000 ไร่ขุดสระน้ำขนาด 10x10x2 เมตร ไว้ในระยะห่างกันพอประมาณ โดยมีสระน้ำ 1 ลูกในทุกๆ 1.5- 2 ไร่ ผมเข้าใจว่าเมืองไทยเรียกสระน้ำจำพวกนี้ว่า “สระพวง”
สระน้ำเหล่านั้นจะเก็บน้ำฝนไว้ ส่งผลให้พื้นดินชื้นตลอดทั่วกันตลอดปี น้ำในสระจะไม่แห้งในฤดูแล้งหากไม่สูบมาใช้มากๆ เช่นเพื่อการทำนา แต่ถ้าใช้ปลูกเพียงพืชผักสวนครัว น้ำจะพอใช้ไปตลอดปี วิธีนี้บางแห่งเรียกว่า “การเกี่ยวฝน” ซึ่งใช้ได้ผลกระทั่งในพื้นที่กึ่งทะเลทรายเช่นในอินเดีย
ที่นั่น หลังจากขุดสระไว้จำนวนมาก พื้นที่กึ่งทะเลทรายกลับมาชุ่มชื้น ส่งผลให้ต้นไม้กลับมาขึ้นจนเป็นป่าและธารน้ำเล็กๆ ที่เหือดแห้งไปกลับมามีน้ำไหลอีก รายละเอียดอาจหาได้ในหนังสือ 2 เล่มซึ่งชื่อเหมือนกัน นั่นคือ Water Wars: Privatization, Pollution, and Profit โดย Vandana Shiva และ Water Wars: Drought, Flood, Folly, and the Politics of Thirst โดย Diane Raines Ward ทั้งสองเล่มมีบทคัดย่อภาษาไทยอยู่ในเว็บไซต์ของมูลนิธินักอ่านบ้านนา และในหนังสือชื่อ ธาตุ 4 พิโรธ ซึ่งดาวน์โหลดได้ฟรีที่เว็บไซต์เดียวกัน www.bannareader.com
(ภาพ 10)
ผมมองว่า ถ้าท่านมหาเศรษฐีจะทำ ท่านไม่จำเป็นต้องซื้อที่ดินผืนใหญ่ทั้งหมด หากเสนอซื้อ หรือเช่าระยะยาวจากชาวนาเฉพาะส่วนที่จะใช้ขุดสระและให้เจ้าของที่ดินใช้น้ำได้ในฤดูแล้ง แต่ใช้ในปริมาณจำกัดเช่นเพื่อปลูกพืชผักสวนครัว นอกจากนั้น พวกเขาจะได้ประโยชน์จากการปล่อยปลาและปลูกผักจำพวกผักบุ้งและบัวไว้ในสระน้ำด้วย หลักเกณฑ์สำคัญคือต้องขุดสระจำนวนมากในพื้นที่ติดต่อกันหลายร้อยไร่ ผมเชื่อว่า การทำนำร่องตามแนวนี้จะได้คำตอบที่ดีภายในเวลาไม่เกิน 3 ปีแน่นอน หลังจากนั้น เมื่อชาวนาเห็นตัวอย่าง พวกเขาจะนำไปทำเอง นั่นจะเป็นทางหนึ่งซึ่งนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน แทนการพัฒนาแบบทำลายจนป่าไม้กำลังหมดไปจากประเทศ
ข้อเสนอนี้มาจากความปรารถนาดีและไมตรีจิต หากท่านมหาเศรษฐีทั้งหลายทำได้ ชื่อของท่านจะได้รับการจารึกไว้ในแผ่นดินไทยนานเท่านาน หรือหากท่านไม่เห็นด้วย จะเลือกทำอย่างอื่นก็ได้ แต่ควรเป็นในสัดส่วนของทรัพย์สินที่ บิล เกตส์ และวอร์เรน บัฟเฟตต์ เสนอและเด็กหนุ่มเช่นมาร์ค ซักเคอร์เบิร์กเห็นคล้อยตามและนำไปปฏิบัติแล้ว
ปีนี้ สื่อไทยและผู้ใช้สังคมออนไลน์เฟซบุ๊กนำมาขยายต่อ โดยเฉพาะรูปของมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของเมืองไทย (ภาพ 1) ซึ่งมีทรัพย์สิน 13,600 ล้านดอลลาร์ หรือราว 4.4 แสนล้านบาท ตามมาติดๆ ด้วยอันดับ 2 ซึ่งมีทรัพย์สิน 13,200 ล้านดอลลาร์ อันดับ 2 เป็นเจ้าของเบียร์ช้างซึ่งฟอร์บส์ประเมินว่า ในช่วงปีที่ผ่านมามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากที่สุด นั่นคือ 4,200 ล้านดอลลาร์
แต่ฟอร์บส์มิได้นำคนไทยมาเสนอเพียง 2 คนเท่านั้น หากนำมาทั้งหมด 17 คนซึ่งมีทรัพย์สินเข้าข่ายของเขา นั่นคือ มีอย่างน้อย 1 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่า 32,000 ล้านบาท มีใครบ้างตรวจสอบดูได้ ผมถ่ายหน้านิตยสารฟอร์บส์ประจำเดือนมีนาคมแนบมา (ภาพ 2 อาจต้องขยายเพื่ออ่านรายชื่อและตัวเลขความร่ำรวย) อาจสังเกตจากภาพได้ว่าอีก 15 คน แม้จะติดอันดับ แต่ก็ยังห่างสองคนแรกมากเนื่องจากไม่มีใครมีทรัพย์สินถึง 4 พันล้านดอลลาร์ ฉะนั้น จึงนับได้ว่า มหาเศรษฐีไทยหมายเลข 1 และ 2 นั้นเป็นระดับโลกอย่างแท้จริงคือ เป็นอันดับ 81 และอันดับ 87 ส่วนคนไทยคนต่อไปเป็นอันดับ 452
นิตยสารนำมหาเศรษฐีอเมริกันมาเสนอเช่นเคย ตามคาด สองเพื่อนซี้ (แม้จะต่างวัยกันมากถึงกับเป็นรุ่นลูกกับพ่อ) บิล เกตส์ และวอร์เรน บัฟเฟตต์ (ภาพ 3) เข้ามาเป็นอันดับ 1 และ 2 ด้วยทรัพย์สิน 79,2000 ล้านดอลลาร์และ 72,7000 ล้านดอลลาร์ตามลำดับ
สำหรับเรื่องเศรษฐีนำทรัพย์สินไปทำอะไร สำนักข่าวรอยเตอร์เพิ่งเสนอเรื่องราวของทิม คุก (ภาพ 4) เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ในการให้สัมภาษณ์นิตยสารฟอร์จูน เขาบอกว่าจะบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์หลังจากเก็บไว้เพียงส่วนที่จะใช้ส่งหลานชายวัย 10 ขวบให้เรียนหนังสือเท่านั้น (ทิม คุก ไม่มีลูกเพราะเป็นเกย์) ทิม คุก เป็นหัวหน้าคณะผู้บริหารของบริษัทแอปเปิลซึ่งในขณะนี้มีมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์สูงที่สุดในโลก เขามิได้เป็นมหาเศรษฐีระดับโลกเช่นเดียวกับบิล เกตส์ เพราะมิใช่เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิลเอง รอยเตอร์รายงานว่าเขามีทรัพย์สินราว 785 ล้านดอลลาร์
แม้รายงานนั้นจะมิได้บอกว่า ทิม คุก ได้เข้าร่วมโครงการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ของบิล เกตส์ และ วอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือไม่ แต่ในบริบทของรายงาน เขาคงเข้าร่วมแน่ แต่มิได้ลงชื่อไว้และไม่ได้เขียนข้อความที่ให้เหตุผลว่าเพราะอะไรเขาจึงทำเช่นนั้น
โครงการของบิล เกตส์ และวอร์เรน บัฟเฟตต์ ชื่อ Giving Pledge ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ในเว็บไซต์ www.givingpledge.org (ภาพ 5) เป้าหมายของโครงการคือ เชิญชวนมหาเศรษฐีด้วยกันให้บริจาคทรัพย์สินอย่างน้อยกึ่งหนึ่งเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ (บิล เกตส์ จะบริจาค 95% ของทรัพย์สิน ส่วนวอร์เรน บัฟเฟตต์ จะบริจาค 99%)
ตอนนี้มหาเศรษฐี 128 คนเข้าร่วมโครงการแล้ว รวมทั้งมหาเศรษฐีหนุ่ม มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก (ภาพ 6) ผู้ก่อตั้งสังคมออนไลน์เฟบุ๊คซึ่งอายุเพียง 30 ปีเท่านั้น (เขาเริ่มบริจาคครั้งแรกเมื่ออายุ 25 ปีด้วยเงิน 100 ล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนการศึกษาที่รัฐนิว เจอร์ซี) ในบรรดาเหตุผลที่มหาเศรษฐีเหล่านั้นเขียนไว้ในเว็บไซต์ดังกล่าว เหตุผลหนึ่งซึ่งเด่นชัดมากคือ พวกเขาบอกว่ารู้สึกโชคดีที่มีทรัพย์สินมหาศาลและต้องการทดแทนคุณของโลกด้วยการช่วยเหลือชาวโลกให้โชคดีบ้าง
สังคมออนไลน์พูดถึงมหาเศรษฐีไทยกันมาก เท่าที่พออ่านได้ ส่วนใหญ่เป็นไปในทางลบเพราะพวกเขาถูกมองว่าขาดจรรยาบรรณและเป็นเสมือนปลิงที่คอยสูบเลือดของสังคม การบริจาคหากมีบ้างก็ทำไปเพื่อสร้างภาพ หรือเพื่อการเอื้อให้เข้าหาผู้มีอำนาจได้โดยหวังจะใช้เป็นทางต่อยอดความร่ำรวยและเอาเปรียบสังคมของตน (ภาพ 7)
เนื่องจากในช่วงนี้มีประเด็นเรื่องภาษีที่ดินซึ่งรัฐบาลพับไปด้วยเหตุผลที่มีผู้สงสัยว่าเพราะไม่ถูกใจมหาเศรษฐีผู้มีที่ดินมากที่สุด จึงมีผู้นำข้อมูลเกี่ยวกับการถือครองที่ดินมาเสนอ (ภาพ 8) จะเห็นว่ามหาเศรษฐีหมายเลข 1 และ 2 เป็นเพียงสองคนเท่านั้นที่ถือครองที่ดินนับแสนไร่ ทิ้งคนอื่นไปแบบไม่เห็นฝุ่น
ในขณะเดียวกัน ก็มีอีกส่วนหนึ่งของสังคมออนไลน์ที่กล่าวหาว่า มหาเศรษฐีไทยอยู่เบื้องหลังการเผาป่าที่ทำให้เกิดหมอกควันร้ายแรงในภาคเหนือของไทยอยู่ในปัจจุบัน ต้นเหตุส่วนหนึ่งของการเผาป่านั้นก็เพื่อปลูกข้าวโพดตามโครงการเกษตรพันธสัญญาซึ่งมหาเศรษฐีคนหนึ่งทำอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ผมไม่มีข้อมูลที่จะยืนยันความถูกผิดของข้อกล่าวหา ได้แต่หวังว่ามหาเศรษฐีไทยจะไม่เลวทรามต่ำช้าถึงขนาดนั้น ภาพ 9 เป็นหนึ่งในหลายๆ ภาพที่มีอยู่ในสังคมออนไลน์เฟซบุ๊กในขณะนี้ซึ่งมักมีผู้เข้ามาให้ความเห็นต่อท้ายในแนวชิงชังอย่างนำมาเขียนต่อไม่ได้
ขอเรียนท่านมหาเศรษฐีไทยว่า ผมไม่ทราบว่าท่านคิดอย่างไรและทำอะไร แต่ส่วนใหญ่ผมยังมองในแง่ดีว่า พวกท่านจะหาโอกาสทดแทนคุณแผ่นดินไทยที่เอื้อให้ท่านร่ำรวยจนจะกินและใช้ไปร้อยชาติก็ยังไม่หมด ตอนนี้ผมมีข้อเสนอต่อท่านที่มีที่ดินจำนวนมากว่า กรุณาพิจารณาหาทางทำโครงการนำร่องในด้านการเก็บน้ำฝนไว้เพื่อใช้แก้ความแห้งแล้งแสนสาหัสซึ่งเวียนมาเยือนเมืองไทยทุกปี ผมได้เสนอต่อรัฐบาลไทยไปแล้ว แต่ไม่มีใครฟัง คงเพราะสายตาไม่ยาวพอ ข้อเสนอของผมคือ ใช้พื้นที่ซึ่งไม่มีการชลประทานและขาดน้ำแสนสาหัส 500-1,000 ไร่ขุดสระน้ำขนาด 10x10x2 เมตร ไว้ในระยะห่างกันพอประมาณ โดยมีสระน้ำ 1 ลูกในทุกๆ 1.5- 2 ไร่ ผมเข้าใจว่าเมืองไทยเรียกสระน้ำจำพวกนี้ว่า “สระพวง”
สระน้ำเหล่านั้นจะเก็บน้ำฝนไว้ ส่งผลให้พื้นดินชื้นตลอดทั่วกันตลอดปี น้ำในสระจะไม่แห้งในฤดูแล้งหากไม่สูบมาใช้มากๆ เช่นเพื่อการทำนา แต่ถ้าใช้ปลูกเพียงพืชผักสวนครัว น้ำจะพอใช้ไปตลอดปี วิธีนี้บางแห่งเรียกว่า “การเกี่ยวฝน” ซึ่งใช้ได้ผลกระทั่งในพื้นที่กึ่งทะเลทรายเช่นในอินเดีย
ที่นั่น หลังจากขุดสระไว้จำนวนมาก พื้นที่กึ่งทะเลทรายกลับมาชุ่มชื้น ส่งผลให้ต้นไม้กลับมาขึ้นจนเป็นป่าและธารน้ำเล็กๆ ที่เหือดแห้งไปกลับมามีน้ำไหลอีก รายละเอียดอาจหาได้ในหนังสือ 2 เล่มซึ่งชื่อเหมือนกัน นั่นคือ Water Wars: Privatization, Pollution, and Profit โดย Vandana Shiva และ Water Wars: Drought, Flood, Folly, and the Politics of Thirst โดย Diane Raines Ward ทั้งสองเล่มมีบทคัดย่อภาษาไทยอยู่ในเว็บไซต์ของมูลนิธินักอ่านบ้านนา และในหนังสือชื่อ ธาตุ 4 พิโรธ ซึ่งดาวน์โหลดได้ฟรีที่เว็บไซต์เดียวกัน www.bannareader.com
(ภาพ 10)
ผมมองว่า ถ้าท่านมหาเศรษฐีจะทำ ท่านไม่จำเป็นต้องซื้อที่ดินผืนใหญ่ทั้งหมด หากเสนอซื้อ หรือเช่าระยะยาวจากชาวนาเฉพาะส่วนที่จะใช้ขุดสระและให้เจ้าของที่ดินใช้น้ำได้ในฤดูแล้ง แต่ใช้ในปริมาณจำกัดเช่นเพื่อปลูกพืชผักสวนครัว นอกจากนั้น พวกเขาจะได้ประโยชน์จากการปล่อยปลาและปลูกผักจำพวกผักบุ้งและบัวไว้ในสระน้ำด้วย หลักเกณฑ์สำคัญคือต้องขุดสระจำนวนมากในพื้นที่ติดต่อกันหลายร้อยไร่ ผมเชื่อว่า การทำนำร่องตามแนวนี้จะได้คำตอบที่ดีภายในเวลาไม่เกิน 3 ปีแน่นอน หลังจากนั้น เมื่อชาวนาเห็นตัวอย่าง พวกเขาจะนำไปทำเอง นั่นจะเป็นทางหนึ่งซึ่งนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน แทนการพัฒนาแบบทำลายจนป่าไม้กำลังหมดไปจากประเทศ
ข้อเสนอนี้มาจากความปรารถนาดีและไมตรีจิต หากท่านมหาเศรษฐีทั้งหลายทำได้ ชื่อของท่านจะได้รับการจารึกไว้ในแผ่นดินไทยนานเท่านาน หรือหากท่านไม่เห็นด้วย จะเลือกทำอย่างอื่นก็ได้ แต่ควรเป็นในสัดส่วนของทรัพย์สินที่ บิล เกตส์ และวอร์เรน บัฟเฟตต์ เสนอและเด็กหนุ่มเช่นมาร์ค ซักเคอร์เบิร์กเห็นคล้อยตามและนำไปปฏิบัติแล้ว